สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 24
เราเคยเป็นทั้ง 2 สถานะ เราขออธิบายแบบนี้ค่ะ
ตอนเราโสด แต่เพื่อนสาวคนสนิทแต่งงาน เรายอมรับว่ารักษาระยะห่างมากขึ้นเพราะ
1. เราเกรงใจครอบครัวเค้า เกรงใจสามีเค้า อยู่ๆจะมานัดไปช๊อปปิ้งทุกอาิทิตย์ กินข้าวเย็นทุกสัปดาห์ เค้าก็มีภาระรับผิดชอบของเค้า เราก็ไม่อยากให้เค้าลำบากใจถ้าเราชวนแล้วเค้าต้องปฏิเสธ เราเลยไม่ชวน แต่ถ้าเค้าชวนเราก็มาเจอเหมือนเดิมนะคะ
2. บางทีนัดกันเป็นกลุ่มแล้วเค้าต้องหอบลูกหอบสามีมาด้วย จะคุยกันก็ไม่ค่อยสะดวกปาก หันไปนี่ก็เด็ก หันอีกทางนั่นก็ผู้ชาย 555555 (วงเมาท์ชะนีนะคะ อิอิ)
3. เพื่อนบางคนอันนี้เรายอมรับว่าแอบเบื่อนะคะ หายใจเข้าออกเอาแต่พูดเรื่องลูก เห่อลูกเกินไป แบบว่าถ่ายรูปลูกที tag เพื่อนใน facebook ทั้งกลุ่มทุกวัน คือเด็กก็น่ารักนะแต่ wall เราอ่ะ มีแต่ลูกมัน เหอๆ ลูกกินไข่เจียว ลูกลูบหัวแมว ลูกอ้าปาก ลูกนอนหงาย ลูกตบบน ตบล่าง ตบหน้า ตบหลัง ตบพร้อมๆกัน คือเยอะมากเกินไป หลังๆเราก็ untag ค่ะ มันไม่ไหวนะ เพื่อนหลายๆคนก็รู้สึกเหมือนกันค่ะ
4. บางทีเพื่อนที่แต่งงานแล้วก็ทำเหมือนนี่คือสุดยอดเป้าหมายของชีวิต แล้วทำไมพวกแกที่เหลือไม่แต่งวะ แต่งสิ คนนั้นคนนั้นมาจีบก็เอาๆไปเหอะ ทำไมไม่เอาล่ะ เอาไปเหอะ กดดันจังเลย แบบว่าึคนเราเหตุผลไม่เหมือนกัน เพื่อนเจอคนดีเราก็ยินดีแต่ถ้าคนที่เหลือไม่ได้โชคดีเจอแต่แฟนไม่ดี พึ่งเลิกกับแฟน มีแต่คนไม่เวิร์คมาจีบ จะไปพูดทำไมนักเหมือนกดดันกัน เราไม่ชอบเลย อีกอย่างการแต่งงานก็ไม่ใช่จุดสูงสุดของชีวิตผู้หญิงขนาดนั้นซะหน่อย จะอะไรนักหนา เยอะไปก็น่าเบื่อค่ะ ราวกับชีวิตนี้ชีแตงงานแล้วชีบรรลุมรรคผลนิพพานแล้ว อะไรอย่างนั้นก็น่าเบื่อค่ะ คุยเรื่องอื่นสนใจเพื่อนในเรื่องอื่นบ้างก็ได้ เรื่องงาน เรื่องที่บ้าน เรื่องทั่วๆไปก็คุยกันได้นะ
มาอีกด้าน ตอนนี้เราแต่งงานแล้ว เราคิดแบบนี้ค่ะ
1. เราเองจะไปไหนกับเพื่อนบ่อยก็เกรงใจสามีและบ้านสามี กลับดึกก็เกรงใจ สามีเรารอทานข้าวทุกวัน เสาร์อาทิตย์บางทีก็มีธุระของครอบครัว ตอนนี้เราเกรงใจเพื่อนมากๆ ที่เราต้องปฏิเสธคำชวน แต่เราคิดถึงเพื่อนมาก บางทีเราเหงา อยากไปกับเพื่อนเหมือนกัน ก็มีไปบ้างแต่ไม่บ่อยเท่าเมื่อก่อน
2. เราอาจจะไม่ได้อินกับการมีลูกมาก (ตอนนี้ยังไม่มี) เราเฉยๆ เลยยังเซ็งๆบรรดาคุณแม่เห่อลูกเห่อหลานทั้งหลายเช่นเคย คือเห่อน่ะไม่เป็นไร ลูกใครๆก็รัก เราก็รักหลานๆเพื่อนลูกเราทุกคน แต่เยอะขนาดแชตแต่เรื่องลูกใน Line group ตลอดๆ (คนอื่นยังไมีมีลูก) ลูกชั้นผูกโบว์ ลูกชั้นซดน้ำแกง ลูกชั้นคันหัว หรือลง facebook แล้วระดม tag เยอะๆ มันก็ไม่ไหวนะคะ เกินไปค่ะ อะไรที่เยอะก็น่าเบื่อเกินกว่าจะน่าเอ็นดูนะคะบางทีใน group กำลังแชตกันเรื่องงาน เรื่องธุรกิจอยู่ๆชีก็โพล่งมาเลยแบบว่า "ทองราคาตกช่างมัน น้องเบลล่ายังเป่าฟองสบู่สบายใจเลยน๊า" (แน่นอน พร้อมรูปเป็นสิบๆ ทุกจังหวะที่เด็กน้อยสูดลมหายใจเข้าและพ่นออกเพื่อเป่าฟองสบู่) ก็วงแตก จบ
3. เราตั้งใจแน่วแน่จะไม่กดดันใครเรื่องแต่งงานแน่นอนเพราะคนเรามีจุดมุ่งหมายที่ไม่เหมือนกัน เพื่อนเราที่โสดและมีความสุขก็ดีอยู่แล้ว เราไม่ถามใครเรื่องแต่งงานเลยค่ะ เราแค่สนใจว่าเพื่อนมีความสุขดีใช่ไหม เท่านั้นเอง จะแต่งไม่แต่งแค่พวกแกแฮปปี้ชั้นก็ดีใจแล้ว
ตอนเราโสด แต่เพื่อนสาวคนสนิทแต่งงาน เรายอมรับว่ารักษาระยะห่างมากขึ้นเพราะ
1. เราเกรงใจครอบครัวเค้า เกรงใจสามีเค้า อยู่ๆจะมานัดไปช๊อปปิ้งทุกอาิทิตย์ กินข้าวเย็นทุกสัปดาห์ เค้าก็มีภาระรับผิดชอบของเค้า เราก็ไม่อยากให้เค้าลำบากใจถ้าเราชวนแล้วเค้าต้องปฏิเสธ เราเลยไม่ชวน แต่ถ้าเค้าชวนเราก็มาเจอเหมือนเดิมนะคะ
2. บางทีนัดกันเป็นกลุ่มแล้วเค้าต้องหอบลูกหอบสามีมาด้วย จะคุยกันก็ไม่ค่อยสะดวกปาก หันไปนี่ก็เด็ก หันอีกทางนั่นก็ผู้ชาย 555555 (วงเมาท์ชะนีนะคะ อิอิ)
3. เพื่อนบางคนอันนี้เรายอมรับว่าแอบเบื่อนะคะ หายใจเข้าออกเอาแต่พูดเรื่องลูก เห่อลูกเกินไป แบบว่าถ่ายรูปลูกที tag เพื่อนใน facebook ทั้งกลุ่มทุกวัน คือเด็กก็น่ารักนะแต่ wall เราอ่ะ มีแต่ลูกมัน เหอๆ ลูกกินไข่เจียว ลูกลูบหัวแมว ลูกอ้าปาก ลูกนอนหงาย ลูกตบบน ตบล่าง ตบหน้า ตบหลัง ตบพร้อมๆกัน คือเยอะมากเกินไป หลังๆเราก็ untag ค่ะ มันไม่ไหวนะ เพื่อนหลายๆคนก็รู้สึกเหมือนกันค่ะ
4. บางทีเพื่อนที่แต่งงานแล้วก็ทำเหมือนนี่คือสุดยอดเป้าหมายของชีวิต แล้วทำไมพวกแกที่เหลือไม่แต่งวะ แต่งสิ คนนั้นคนนั้นมาจีบก็เอาๆไปเหอะ ทำไมไม่เอาล่ะ เอาไปเหอะ กดดันจังเลย แบบว่าึคนเราเหตุผลไม่เหมือนกัน เพื่อนเจอคนดีเราก็ยินดีแต่ถ้าคนที่เหลือไม่ได้โชคดีเจอแต่แฟนไม่ดี พึ่งเลิกกับแฟน มีแต่คนไม่เวิร์คมาจีบ จะไปพูดทำไมนักเหมือนกดดันกัน เราไม่ชอบเลย อีกอย่างการแต่งงานก็ไม่ใช่จุดสูงสุดของชีวิตผู้หญิงขนาดนั้นซะหน่อย จะอะไรนักหนา เยอะไปก็น่าเบื่อค่ะ ราวกับชีวิตนี้ชีแตงงานแล้วชีบรรลุมรรคผลนิพพานแล้ว อะไรอย่างนั้นก็น่าเบื่อค่ะ คุยเรื่องอื่นสนใจเพื่อนในเรื่องอื่นบ้างก็ได้ เรื่องงาน เรื่องที่บ้าน เรื่องทั่วๆไปก็คุยกันได้นะ
มาอีกด้าน ตอนนี้เราแต่งงานแล้ว เราคิดแบบนี้ค่ะ
1. เราเองจะไปไหนกับเพื่อนบ่อยก็เกรงใจสามีและบ้านสามี กลับดึกก็เกรงใจ สามีเรารอทานข้าวทุกวัน เสาร์อาทิตย์บางทีก็มีธุระของครอบครัว ตอนนี้เราเกรงใจเพื่อนมากๆ ที่เราต้องปฏิเสธคำชวน แต่เราคิดถึงเพื่อนมาก บางทีเราเหงา อยากไปกับเพื่อนเหมือนกัน ก็มีไปบ้างแต่ไม่บ่อยเท่าเมื่อก่อน
2. เราอาจจะไม่ได้อินกับการมีลูกมาก (ตอนนี้ยังไม่มี) เราเฉยๆ เลยยังเซ็งๆบรรดาคุณแม่เห่อลูกเห่อหลานทั้งหลายเช่นเคย คือเห่อน่ะไม่เป็นไร ลูกใครๆก็รัก เราก็รักหลานๆเพื่อนลูกเราทุกคน แต่เยอะขนาดแชตแต่เรื่องลูกใน Line group ตลอดๆ (คนอื่นยังไมีมีลูก) ลูกชั้นผูกโบว์ ลูกชั้นซดน้ำแกง ลูกชั้นคันหัว หรือลง facebook แล้วระดม tag เยอะๆ มันก็ไม่ไหวนะคะ เกินไปค่ะ อะไรที่เยอะก็น่าเบื่อเกินกว่าจะน่าเอ็นดูนะคะบางทีใน group กำลังแชตกันเรื่องงาน เรื่องธุรกิจอยู่ๆชีก็โพล่งมาเลยแบบว่า "ทองราคาตกช่างมัน น้องเบลล่ายังเป่าฟองสบู่สบายใจเลยน๊า" (แน่นอน พร้อมรูปเป็นสิบๆ ทุกจังหวะที่เด็กน้อยสูดลมหายใจเข้าและพ่นออกเพื่อเป่าฟองสบู่) ก็วงแตก จบ
3. เราตั้งใจแน่วแน่จะไม่กดดันใครเรื่องแต่งงานแน่นอนเพราะคนเรามีจุดมุ่งหมายที่ไม่เหมือนกัน เพื่อนเราที่โสดและมีความสุขก็ดีอยู่แล้ว เราไม่ถามใครเรื่องแต่งงานเลยค่ะ เราแค่สนใจว่าเพื่อนมีความสุขดีใช่ไหม เท่านั้นเอง จะแต่งไม่แต่งแค่พวกแกแฮปปี้ชั้นก็ดีใจแล้ว
แสดงความคิดเห็น
เพื่อนที่โสดเค้าคิดและรู้สึกยังไงกับเพื่อนที่แต่งงานมีครอบครัวแล้ว?
แต่เราแต่งงานคนแรกในกลุ่ม แต่งมาเกือบแปดปีแล้ว เราว่าเราก็ไม่ได้รักเพื่อนน้อยลงนะ
แต่เรารู้สึกว่าเพื่อนทำตัวห่างๆไป เมื่อก่อนตอนโสดฮาก็ฮาด้วยกัน อยู่ข้างกันตลอด
เดี๋ยวนี้เวลาเพื่อนมีแฟน(บางคนคบมาเป็นสิบปี) เราถามไปว่าเมื่อไหร่แต่ง(วะ)?
คำถามนี้มันคำถามต้องห้ามหรือเปล่า?
พูดอะไรไปสกิดใจมันก็เหมือนจะไม่อยากคุยกับเราไปเลย
แล้วคุณที่ยังโสด ณ ที่นี้ คุณรู้สึกยังไง
กับเพื่อนคุณที่แต่งงานมีครอบครัวแล้วคะ? ยังสนิทกันเหมือนก่อนแต่งมั้ยหรืออย่างไร?