สงสัยเรื่องเรือดำน้ำ สืบเนื่องจากกระทู้ (ทำไมกองทัพเรือไทยถึงเน้นหนักไปทางกองเรือผิวน้ำครับ)

สืบเนื่องมาจากกระทู้ http://ppantip.com/topic/30504145

ซึ่งหลังๆ ได้มีการถกเถียงกันในหัวข้อ เรือดำน้ำ และความลึกของพื้นทะเลอ่าวไทย
เลยอยากทราบว่าแต่ละท่านมีความเห็นอย่างไรกันบ้างครับ

โดยส่วนตัวผมก็ไม่รู้เรื่องอะไรหรอกครับ แค่สงสัย

แต่มีท่านนึงให้ข้อมูลไว้ว่า เรือดำน้ำ ปฏิบัติการที่ระดับความลึก 40 - 80 เมตร
ส่วนพื้นทะเลอ่าวไทย ข้อมูลจากวิกิพีเดีย บอกความลึกเฉลี่ยอยู่ที่ 45 เมตร

ทีนี้ก็เลยมีหัวข้อที่ถกเถียงกันในกระทู้
ฝ่ายนึงบอกซื้อมาใช้ได้ ไม่ครอบคลุมพื้นที่ ไม่คุ้ม
อีกฝ่ายนึงบอกซื้อมา ไม่ได้เอาไว้แค่ตรวจชายฝั่งอย่างเดียว
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 5
เหมือนจะเคยตอบไปหลายครั้งแล้วมั้ง   แต่ลองเอาของเก่ามาเรียบเรียงอีกทีละกัน เข้ามาดู



1. อ่าวไทยตื้น  แต่ไม่ได้หมายความว่ารดน. จะใช้งานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ   พื้นที่ทะเลหลายแห่งระดับน้ำแค่ 40-50 เมตร แถบยุโรปก็ใช้ทำสงครามใต้ผิวน้ำมาตลอด โดยเฉพาะสงครามทุ่นระเบิด  ล่าทำลายเรือผิวน้ำ และข่าวกรอง  ภูมิประเทศตื้นเขินก็สร้างสภาวะที่สัญญาณเสียงจะตรวจจับได้ยากเช่นกัน


2. รดน. ไม่จำเป็นต้องปฎิบัติการเฉพาะพื้นที่อ่าวไทย (เชิงรับ) แต่สามารถทำการรบนอกพื้นที่เพื่อกดดัน/คุกคามฝ่ายตรงข้าม โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีความลึกกว่าเช่น สแปตลีย์  เกาะแก่งแถบทะเลจีนใต้  และทำลายแนวหลัง ซึ่งมีความซับซ้อนและค้นหารดน.ได้ยากมาก


3. เรือดำน้ำขนาดใหญ่ของอเมริกา เช่น นิวเคลียร์ชั้นลอสฯ ที่ระวางขับน้ำหนักกว่าเรือรบของกองทัพเรือไทยเราทุกลำด้วยซ้ำ  (น้อยกว่าเรือจักรีฯหน่อยนึง) ยังมาซ้อมรบกับเราประจำ และทำได้อย่างยอดเยี่ยมด้วย   ขนาดตอนฝึกปราบเรือดำน้ำไทยเราขอให้โชว์ฝีมือให้เต็มที่จะได้คล่องๆ แต่กัปตันเรือแกบอกเลยว่าลงมือเต็มที่ไม่ได้ เพราะมาที่นี่เพื่อสอนการใช้อุปกรณ์ต่างๆที่ซื้อมา  แล้วก็ดำโชว์ให้ดูตรงหน้าแล้วกองเรือทั้งกองฯเราก็หาไม่เจอ (สัญญาณตรวจจับโดนภูมิประเทศสะท้อนกลับหมด) นี่ขนาดไม่ได้ใช้เทคนิคอะไรลวงเลยด้วยซ้ำ


4. การปฎิบัติการทางทหารของทุกเหล่าทัพ  ควรจะมีความสามารถในการปฎิบัติการครบทุกมิติ เพื่อให้ตอบโต้ภัยคุกคามได้อย่างมีประสิทธิผล (ไม่ต้องประสิทธิภาพก็ได้)  กรณีของกองทัพเรือก็คือ   ผิวน้ำ - น่านฟ้า - และใต้น้ำ   การที่มีอาวุธไม่ครบก็เหมือนกับการเป่ายิ้งฉุบโดยคุณสามารถออกได้แค่กรรไกร+ค้อน  ยังไงก็เสียเปรียบคู่กรณี (ถ้าฝั่งนู้นรบได้ครบ 3 มิติ) อย่างมากครับ


5. ประโยชน์สูงสุดของเรือดำน้ำต่อกองทัพเรือไทยในเบื้องต้น (มากๆ) คือ "การฝึกฝน" ครับ  เพราะปัจจุบันเราต้องยืมจมูกเพื่อนบ้าน หรือชาติมหาอำนาจทุกครั้ง   ต่อให้ราชนาวีไทยเรามีอาวุธที่เทพระดับโลก หรือของมาตรฐานเดียวกับอเมริกา (ซื้อมานิ) แต่ก็ใช้ว่าฝีมือเราจะสูงพอ..ตรงนี้ต้องยอมรับว่าทัพเรือมีโอกาศซ้อมรบกับเรือดำน้ำน้อยมากๆ  เพราะสู้กับฝั่ง-เรือผิวน้ำ-อากาศยาน ยังมีเป้าให้สู้ได้ .... แต่ตอนนี้เรือฟรีเกตปราบเรือดำน้ำของเราจะซ้อมทีก็เหมือนนักฟุตบอลที่ซ้อมวิ่งอย่างหนักแต่ดันไม่มีงบซื้อลูกบอลให้ฝึกยิง



ประมาณนั้นมั้ง..  แต่ถ้าถามว่าเมื่อไหร่จะมี รดน. ใช้  คงต้องทำใจครับ  โครงการนี้กี่รัฐบาลก็ถูกพลังอำนาจลึกลับสั่งแบนมาตลอด ร้องไห้



ปล.  พึ่งเห็นที่ถกกันกระทู้เก่า  แต่อ่านแล้ว Facepalm   เลยขี้เกียจย้อนกลับไปตอบ  ถือว่าขอแปะแค่กระทู้นี้ละกัน
ความคิดเห็นที่ 6
ในมุมมองของผมมันเป็นการลงทุนที่สูงเกินกว่าที่งบประมาณอันจำกัดของประเทศจะอำนวยให้ได้  และไม่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ในการป้องกันประเทศของไทยเรา  ประกอบกับประเทศไทยไม่มีกรณีพิพาททางทะเลกับประเทศมหาอำนาจเหมือนกับที่ มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนิเซีย และเวียดนาม มีกรณีพิพาทกับจีนในกรณีแย่งชิงกรรมสิทธิ์เหนือหมู่เกาะสแปรตลีย์  เราจึงไม่จำเป็นต้องมีอาวุธเชิงรุกเพื่อปฎิบัติการกดดันเหนือพื้นที่พิพาทเหมือนกับที่ประเทศเหล่านั้นจำต้องกระทำเพื่อสร้างอำนาจต่อรองและรักษาสิทธิตามข้ออ้างของตน



การจัดหายุทโธปกรณ์จำต้องพิจารณายุทธศาสตร์ของประเทศเป็นสำคัญ.....มิใช่จัดหาตามแบบประเทศอื่นโดยไม่ดูว่าเค้าจัดหามาเพื่อการใด....สิงคโปร์  มาเลเซีย  อินโดนิเซีย   ภูมิศาสตร์ตั้งอยู่ในเส้นทางเดินเรือที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลก (ช่องแคบมะละกา)  จึงจำต้องมีกำลังทางเรือเชิงรุกเพื่อคุ้มครองผลประโยชน์ทางทะเลของตน   เนื่องจากนโยบายช่วงก่อนของอเมริกาที่ถอนทหารออกจากภูมิภาคเอเชียใต้  ทำให้สมดุลทางทหารเปลี่ยนไป  ประกอบกับประเทศในแถบอาเซียนเริ่มมีขนาดเศรษฐกิจที่ดีขึ้น จึงได้ทุ่มเทงบประมาณปรับปรุงกองทัพเพื่อควบคุมดุลอำนาจทางทะเลที่กำลังเปลี่ยนไป   เพราะการที่ประอาเซียนพึ่งพาความมั่นคงจากสหรัฐมายาวนานทำให้ได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาจากการที่อเมริกาถอนทหารออกไปจาภูมิภาค



เพราะการที่อเมริกาถอนทหารออกไปจากเอเชียใต้ และมุ่งความสำคัญไปที่การคุ้มครองประโยชน์ในตะวันออกกลาง  ทำให้ จีน  และ อินเดีย  ซึ่งเป็นมหาอำนาจใหม่เริ่มแผ่อิทธิพลเข้ามาในน่านน้ำทะเลจีนใต้มากยี่งขึ้น  จึงเป็นแรงกดดันที่ทำให้ประเทศอาเซียนที่ควบคุมช่องแคบมระกาและที่อ้างกรรมสิทธิเหนือหมู่เกาะสแปรตลีย์จำต้องสะสมอาวุธเชิงรุกเพื่อคุ้มครองสิทธิของตนตามกำลังเศรษฐกิจของประเทศนั้นๆ ที่พอจะอำนวยให้กองทัพได้




แต่กับประเทศไทยเรา....เราไม่มียุทธศาสตร์ในการป้องกันประเทศในเชิงรุก....และไม่มีกรณีพิพาทกับมหาอำนาจใดๆ ในโลกในการที่จะต้องขวนขวายจัดหายุทโธปกรณ์เชิงรุกเพื่อมาตอบสนองยุทธศาสตร์ในการป้องกันและปกป้องทรัพย์กรของชาติ....ซึ่งผิดกับประเทศ สิงคโปร์  มาเลเซีย  อินโดนิเซีย   และเวียดนาม ที่จำต้องมี....และที่เค้ามีก็มิได้มีไว้เพื่อเตรียมรบกับไทย  แต่มีไว้เพื่อตอบสนองยุทธศาสตร์ในการป้องกันและปกป้องทรัพย์กรธรรมชาติทางทะเลของเค้าเป็นสำคัญ



และที่สำคัญที่สุดคือ....ประเทศเรา "จน" ครับ...งบประมาณเรามีจำกัด  กำลังพลเรามีมาก  นายพลเรามีเยอะ   แค่เงินเดือนเบี้ยหวัดกำลังพลตั้งแต่ นายพล ลงไปถึง พลทหาร ก็แทบจะไม่มีงบประมาณเหลือพอจัดหายุทโธปกรณ์ใหม่ๆ แล้วครับ....ซึ่งโครงสร้างของกองทัพไทยนั้นสวนทางกับประเทศอื่นๆ ที่พัฒนาแล้วในการจำกัดอัตตากำลังพล  แต่กองทัพไทยเราหาทางเพิ่มอัตตาตลอด  (เพราะอะไรคงไม่จำต้องพูดถึงนะครับ)



ดังนั้น....ด้วยงบประมาณที่จำกัด  ด้วยยุทธศาสตร์ของชาติ   ด้วยสภาพภูมิศาสตร์   "เรือดำน้ำ" จึงไม่ใช่สิ่งจำเป็นเร่งด่วนของไทย.....งบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัดของกองทัพไทยควรนำไปใช้จัดหายุทโธปกรณ์ที่มีคุณค่าทางยุทธศาสตร์มากกว่านี้   แต่ด้วยงบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัดเช่นนี้แค่จัดหายุทโธปกรณ์ทดแทนของเก่าที่ต้องปลดระวางก็ยังจัดหาได้ไม่ครบอัตตาเลยครับ  





อนึ่ง...โครงการจัดหาเครื่องบินขับไล่กริพเพนของกองทัพอากาศ  ในความคิดของผมเป็นโครงการที่คุ้มค่าสูงสุด.....เพราะตอบสนองยุทธศาสตร์ในการป้องกันประเทศได้อย่างสูงสุดภายใต้งปประมาณที่จำกัด.....เพราะประเทศเรามียุทธศาสตร์ในการป้องกันเชิงรับ  มีขาดประเทศที่ไม่ใหญ่มาก  มีสนามบินกระจายไปทั่วทุกภูมิภาค   การจัดหาเครื่องบินขับไล่สมรรถนะสูงที่มีขนาดเล็ก ประหยัด ค่าใช้จ่ายถูก และมีเครื่องบินเตือนภัยทางอากาศจึงเพิ่มขีดความสามารถในการป้องกันประเทศให้สูงมากขึ้น....เป็นการจัดหายุทโธปกรณ์ที่ตอบสนองภาระกิจของกองทัพอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ


แต่ประเทศอย่างสิงคโปร์ที่ต้องมี F-15SE เพราะเค้ามียุทธศาสตร์ในการป้องกันประเทศเชิงรุก....ด้วยขนาดของประเทศ  ด้วยภูมิศาสตร์ที่เป็นเกาะ สิงคโปร์ต้องมีเครื่องบินโจมตีทางลึกเพื่อชิงลงมือโจมตีต่อภัยคุกคามก่อน....เพราะข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์ของสิงคโปรทำให้เค้าไม่มีพื้นที่ร่นถอย  ถ้าชิงความได้เปรียบก่อนข้าศึกในการโจมตีระลอกแรกไม่ได้สิงคโปรมีสิทธิสิ้นชาติสูง....เพราะถ้าข้าศึกครองอากาศเหนือเกาะสิงคโปร์ได้เมื่อไหร่ก็เป็นอันจบ  นับเวลาถอยหลังสู่วันสิ้นชาติได้เลย


ส่วน มาเล  อินโด  เวียดนาม  ที่ต้องมีเครื่องบินขับไล่ตระกูล SU 27  ก็เพื่อตอบสนองยุทธศาสตร์ของชาติในการปกป้องผลประโยชน์ทางทะเลในพื้นที่ทับซ้อนหมู่เกาะสแปรตลีย์.....เค้าจึงต้องการเครื่องบินขับไล่โจมตีที่มีระยะปฎิบัติการไกลครอบคลุมถึงพื้นที่พิพาท



ดังนั้น...การจัดหายุทโธปกรณ์ใดๆ จึงต้องพิจารณายุทธศาสตร์ของชาติเป็นสำคัญ....มิใช่จะจัดหาตามประเทศเพื่อนบ้านเสมอไปโดยไม่ตอบสนองต่อยุทธศาสตร์ในการป้องกันประเทศเลย.....เช่นนี้แล้วก็จะเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณโดยใช่เหตุ โดยเฉพาะสำหรับประเทศที่มีงบประมาณจำกัดเช่นไทยเรา



อนึ่งสอง.....ในการจัดหายุทโธปกรณ์ในส่วนกองทัพเรือ  ผมเองก็ค่อนข้างประหลาดใจมาหลายครั้งแล้ว  ตั้งแต่การจัดหา "เรือจักรีนฤเบศร"  จนถึงถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครมาให้คำตอบได้เลยว่าประเทศไทยเราจำเป็นต้องมีเรือบรรทุกเครื่องบินเบามั้ย? มันตอบสนองภาระกิจในการป้องกันประเทศทางทะเลอย่างไร  และคุ้มค่ามั้ยกับงบประมาณที่เสียไป


จริงอยู่ว่า เรือจักรีนฤเบศร ก็มีคุณค่าในตัวของมันเองอยู่เหมือนกัน.....แต่มันคุ้มกับเงินงบประมาณมหาศาลที่เสียไปหรือไม่?  นี่คือคำถามที่หลายคนยังคาใจกับเรือใหญ่ลำนี้อยู่จนถึงทุกวันนี้เหมือนกัน



แต่จะว่าไปกองทัพเรือก็จัดหาเรือแปลกๆ มาใช้ตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่สองแล้ว  เช่นเรือชุด ธนบุรี  ที่มีระวางเพียงสองพันตันเศษๆ  แต่ติดปืนใหญ่เกินตัวขนาดถึง 8 นิ้วซึ่งเป็นปืนใหญ่หลักของเรือลาดตระเวณขนาดหมื่นตันขึ้นไป.....การติดปืนขนาดใหญ่มากกับเรือที่มีขนาดเล็กจึงมีผลทำให้เรือขาดความคล่องตัว มีความเร็วต่ำเพียง 15 นอต....และมีอัตตาการยิงที่ช้ากว่าปืนขนาด 5 นิ้วมาก....แม้แต่ประเทศญี่ปุ่นผู้สร้างก็ยังไม่ประจำการเรือรบแบบนี้เลย  เพราะมันขัดต่อสมดุลทางการรบที่ต้องประสานความคล่องตัว อำนาจการยิง และการป้องกันตัว (ลักษณะเหมือนรถถัง)....แต่กองทัพเรือไทยก็สั่งให้ต่อเรือแบบนี้....ซึ่งเมื่อออกรบจริงจึงได้เห็นว่าคุณลักษณะเช่นนี้ไม่เหมาะกับการทำการรบเลย   เพราะอำนาจยิงไกลของปืนใหญ่ 8 นิ้วจะหมดความหมายทันทีเมื่อข้าศึกอาศัยความเร็วปิดระยะเข้ามาใกล้  เมื่อนั้นเรือธนบุรีที่อุ้ยอ้ายก็ไม่ต่างอะไรกับเป้าลอยน้ำให้ข้าศึกเลือกยิงได้ตามชอบ



ลองพิจารณาดูครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่