ร่วมกันค้นหาความจริงด้วยวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์เกี่ยวกับการล้างพิษตับ [ฉายในรายการ "คนค้นคน"]

เนื่องจากเมื่อต้น พค. 56 ที่ผ่านมา ทางรายการ "คนค้นคน" ได้นำเรื่องราวเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับ "มหัศจรรย์แห่งการล้างพิษตับ" โดยมี 2 ตอนด้วยกัน หลังจากที่ตอนแรกได้ออกอากาศไป ก็พบว่ามีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ทั้งในทางดีและไม่ดีต่อการล้างพิษตับ และจากการสังเกตพบว่าประชาชนส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นผู้มีความรู้ทางการแพทย์หรือเป็นประชาชนทั่วไป หรือผู้ที่เห็นด้วยกับการล้างพิษตับหรือไม่เห็นด้วยก็ตาม ยังมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนจากความถูกต้องเป็นอย่างมาก จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะร่วมกันในการหาความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยอาศัยอ้างอิงจากความรู้พื้นฐานวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์เกี่ยวกับการล้างพิษตับ และจากการที่ได้แลกเปลี่ยนความรู้กับทุกท่าน ในกระทู้ "แฉการหลอกลวง เรื่อง การล้างพิษตับด้วยน้ำมันมะกอก" [ฉายในรายการ "คนค้นคน"] http://ppantip.com/topic/30447055 ทำให้ได้รับข้อมูลและความรู้ที่มีประโยชน์เพิ่มเป็นอย่างมาก และเพื่อประโยชน์ต่อประชาชนทั่วไปจะได้รับความเข้าใจที่ถูกต้องไม่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ก่อนจะตัดสินใจว่าจะทำการล้างพิษตับหรือไม่นั้น (ไม่ว่าจะด้วยตนเองหรือไปเข้าร่วมกับคอร์สล้างพิษตับตามที่ต่างๆก็ตาม) ก็ควรจะมีความรู้เบื้องต้นที่สำคัญและจำเป็น ทำให้ผู้ที่ตัดสินใจทำการล้างพิษตับนั้น ได้รับประโยชน์และความปลอดภัยสูงสุดครับ สำหรับท่านที่ทราบข้อมูลพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์เกี่ยวกับการล้างพิษตับแล้วตัดสินใจไม่ทำการล้างพิษตับ เพราะอาจจะเห็นว่าไม่มีประโยชน์หรือยังไม่จำเป็นสำหรับตนเอง ก็ยังจะได้ประโยชน์จากกระทู้นี้ครับ เพราะจะได้มีความรู้ที่ถูกต้องตามหลักการของวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์พื้นฐานและสามารถแนะนำผู้ที่กำลังตัดสินใจว่าจะทำการล้างพิษตับได้อย่างถูกต้องเหมาะสม มีหลักการทางวิทยาศาสตร์การแพทย์พื้นฐานเป็นตัวอ้างอิงครับ

การล้างพิษตับนั้น สามารถทำได้ด้วยตนเองที่บ้านของทุกท่านหรืออาจจะไปเข้าร่วมทำกับสถานที่ให้บริการล้างพิษตับ ตามสถานที่ต่างๆ (ซึ่งโดยส่วนตัวท่านจะไปเข้าคอร์สล้างพิษตับกับที่ใดก็ได้ แต่ท่านต้องมีความรู้พื้นฐานนี้ เพื่อจะสามารถพิจารณาได้ว่าคอร์สล้างพิษตับที่ท่านไปเข้านั้น มีหลักสูตรและวิธีการที่น่าเชื่อถือได้ มีหลักการที่ถูกต้อง ปลอดภัย และมีราคาประหยัด สมเหตุผลหรือไม่ครับ) โดยระยะเวลาที่ใช้ในกระบวนการล้างพิษตับนี้ อาจจะทำตั้งแต่ 1-7 วัน โดยยิ่งทำการล้างพิษตับนาน ก็ยิ่งสามารถกำจัดสารพิษในร่างกายของเราออกไปได้มากยิ่งขึ้น โดยมีตัวอย่างสูตร ดังนี้

ตัวอย่างสูตรล้างพิษตับแบบ 5 วัน



1. ใน 4 วันแรก เป็นวันอดให้ดื่มน้ำแอปเปิ้ล หรือน้ำมะขาม หรือน้ำข้าวกล้องงอก โดยไม่ทานอาหารที่มีกากอย่างอื่น ควรจะทยอยดื่มปริมาณน้อยๆทั้งวัน


2. ใน 4 วันแรก ดื่มลิดท๊อก (ซิลล์เลี่ยม ฮักค์ หรือ Psyllium husk ซึ่งเป็นไฟเบอร์ธรรมชาติชนิดหนึ่ง ผสมกับถ่าน Activated carbonและสมุนไพรอื่นๆ) ครั้งละ 1 แก้ว 3 เวลาแทนอาหารมื้อปกติ เวลา 9 โมง เที่ยง และบ่ายสามโมง

3. ใน 3 วันแรก ให้สวนลำไส้ด้วยน้ำเปล่า วันละ 1 - 2 ครั้ง เช้าและ/หรือเย็น, วันที่ 4 และ 5 สวนเฉพาะตอนเช้าเท่านั้น (การสวนลำไส้ก่อนการดื่มน้ำมันมะกอกอย่างน้อย 1-2 วัน มีความสำคัญ เพราะจะช่วยป้องกันอาการคลื่นไส้-อาเจียนหลังจากดื่มน้ำมันมะกอกได้เป็นอย่างดี)
4. ในเย็นวันที่ 4 ให้ดื่มดีเกลือทั้งหมด 4 ครั้ง โดย ในการดื่มแต่ละครั้ง ให้ผสมดีเกลือ 1 ช้อนโต๊ะ กับน้ำ 180 cc (ค่อนแก้ว) และให้ดื่มเวลา 18.00, 20.00 ในวันที่ 4 และให้ดื่มอีก 2 ครั้งในวันรุ่งขึ้น (วันที่5) เวลา 6.00-6.30 และ 8.00-8.30

5. ให้ดื่มน้ำมันมะกอก ผสมน้ำมะนาว ในเวลา 22.00 ของวันที่ 4 (ไม่ควรเกิน 22.15น.)
โดยการเตรียมดังนี้ นำน้ำมันมะกอก ไม่ควรเกิน 120 cc มาผสมกับน้ำมะนาว 120 cc (ปริมาณเท่ากัน 1 ต่อ 1) เขย่าให้เข้ากัน แล้วดื่มให้หมดภายใน 10 นาที จากนั้นให้ลงนอนราบบนเตียงทันที โดยอาจจะหนุนหมอนสูง 1-2 ใบ ในระหว่างที่นอน 30 นาทีแรกไม่ควรขยับตัว หลังจากผ่านไป 30 นาที สามารถนอนตามปกติได้ และควรประคับประคองไม่ให้อาเจียน (อย่างน้อยให้ถึงเวลา 02.00 น.) เนื่องจากเราต้องการให้น้ำมันผ่านกระเพาะอาหารลงสู่ลำไส้เล็กส่วนต้นเพื่อกระตุ้นให้ร่างกายขับน้ำดีที่มีสารพิษปนเปื้อนออกมา ซึ่งจะเห็นได้ในการถ่ายในตอนเช้าวันรุ่งขึ้น

6. วันที่ 5 หลังจากทำดีท๊อกซ์ตอนเช้าเสร็จแล้ว ให้ดื่มน้ำข้าวกล้องงอกในตอนเช้า หลังจากนั้นในมื้อเที่ยงให้เร่ิมกินอาหารอ่อนๆต่ออีกประมาณ 3 วัน และให้ทำการสวนลำไส้ด้วยน้ำเปล่าวันละครั้งต่ออีก 7 วัน

ซึ่งกระบวนการทั้งหมดของการล้างพิษตับนั้น จัดเป็นกระบวนทางสรีรวิทยาและกระบวนการชีวเคมีปกติตามธรรมชาติของร่างกาย เพียงแต่ได้ทำการจัดเรียงตามช่วงจังหวะเวลาที่เหมาะสม จึงส่งผลให้เกิดกระบวนการที่สามารถล้างพิษออกจากส่วนต่างๆของร่างกายได้ในที่สุด

จาก http://www.ener-chi.com/history-of-the-liver-and-gallbladder-flush/ คุณ Andreas Moritz ได้กล่าวไว้ว่า " จากบันทึกเก่าแก่ที่สุดที่ผมพบนั้น การดื่มน้ำมันและน้ำมะนาวหรือน้ำผลไม้อื่นๆนั้นถูกใช้ในการผสมผสานเพื่อกำจัดสารพิษออกจากตับ โดยพบบันทึกย้อนหลังไป 6-7 พันปีก่อน องค์ความรู้ทางการแพทย์ในสมัยโบราณที่เก่าแก่ที่สุดซึ่งก็คือ อายุรเวท ที่กำเนิดขึ้นในอินเดียนั้นมีองค์ความรู้เกี่ยวกับวิธีการในการใช้น้ำมันกำจัสารพิษออกจากตับและถุงน้ำดี"

"The oldest records that I am aware of, where oil and citrus juice or other juices were used in combination to dispel toxins from the liver, date back six to ten thousand years ago. The ancient system of medicine, the most ancient system of medicine, which is Ayurveda, that is originating in India, has had knowledge of how to use oil to dispel toxins from the liver and gallbladder."

ซึ่งเมื่อเข้าใจกระบวนการทั้งหมดแล้ว ก็รู้สึกทึ่งในความสามารถของภูมิปัญญาของบรรพบุรุษของเหล่ามนุษยชาติเป็นอย่างมาก เพราะองค์ความรู้โบราณดังกล่าว สมัยที่ยังไม่มีการเรียนการสอนเกี่ยวกับวิชาสรีรวิทยา (Physiology) หรือ วิชาชีวเคมี (BioChemistry) นั้น กลับสอดคล้องและถูกต้องกับความรู้ในวิชาดังกล่าวอย่างน่าอัศจรรย์ แต่คิดในอีกแง่หนึ่งว่า องค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ทุกอย่างที่เราได้มาในปัจจุบันนั้น ล้วนแล้วแต่ได้จากการสังเกตธรรมชาติอย่างตรงไปตรงมาโดยปราศจากอคติทั้งสิ้น และในเมื่อมนุษย์นั้นเกิดขึ้นในโลกมานานกว่าแสนปีแล้ว องค์ความรู้ที่ได้จากการสังเกตร่างกายตนเองและถ่ายทอดกันมารุ่นแล้วรุ่นเล่าเป็นเวลาหลายพันปี จึงเป็นความรู้ที่จำเป็นต้องสอดคล้องกับวิชาความรู้พื้นฐานทางการแพทย์ ดังเช่น สรีรวิทยา หรือ ชีวเคมี ของมนุษย์ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะองค์ความรู้ทางการแพทย์สมัยโบราณ กับองค์ความรู้ทางการแพทย์ในปัจจุบันล้วนสังเกตและทดลองศึกษาวิจัยในสิ่งเดียวกัน คือ ร่างกายของพวกเราทุกๆคนนั่นเองครับ

โดยสารพิษที่สามารถกำจัดออกได้จากการล้างพิษตับนี้ จะต้องมีคุณสมบัติเป็น สารพิษชนิดที่ละลายในไขมัน (Lipophilic toxin) ซึ่งจากงานวิจัย Factors affecting the storage and excretion of toxic lipophilic xenobiotics ซึ่งตีพิมพ์ในวราสาร Lipids ในปี 2001โดย คุณ Ronald J. Jandacek และ คุณ Patrick Tso ได้ทำการทบทวนงานวิจัยจำนวนมากเกี่ยวกับ อุบัติการณ์แพร่กระจายของสารพิษชนิดที่ละลายในไขมันไปทั่วโลก โดยทั้งสองท่านนี้พบว่าสารพิษที่ละลายในไขมันนี้ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพกับประชากรโลกเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะเป็นสารก่อมะเร็ง และมีผลต่อระบบฮอร์โมนและต่อมไร้ท่อของมนุษย์ ซึ่งสารพิษชนิดที่ละลายในไขมันที่พบในสิ่งแวดล้อมนี้ ได้แก่ ยาฆ่าแมลงกลุ่มออร์กาโนคลอรีน หรือที่รู้จักกันดีในนาม ดีดีที (ยาฆ่าแมลงกลุ่มออร์กาโนคลอรีน หรือ ดีดีที เป็นยาฆ่าแมลงที่ถูกใช้มานานกว่า 45ปี และเป็นที่นิยมใช้ไปทั่วโลก เป็นสารที่สามารถตกค้างอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้นานหลายสิบปีถึงเป็นร้อยปี ปัจจุบันมีการประกาศใช้กฎหมายห้ามใช้ดีดีทีในสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1972 และได้มีอนุสัญญาสตอกโฮล์ม ห้ามการใช้ดีดีทีทั่วโลกมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2001 ซึ่งแม้เราจะเลิกใช้ดีดีทีไปแล้วแต่ก็ยังมีสารนี้ตกค้างอยู่ในสิ่งแวดล้อมอยู่ดี) และ ของเสียจากอุตสาหกรรมจากเตาเผาขยะ หรือ จากโรงงานที่เปลี่ยนส่วนประกอบอิเล็คโทรนิคส์ ท่ามกลางสารพิษเหล่านี้เป็นส่วนประกอบของสารก่อมะเร็งและมีผลต่อระบบต่อมไร้ท่อของร่างกาย การได้รับสารพิษที่ละลายในไขมันเหล่านี้ในปริมาณสูงโดยไม่ได้ตั้งใจทำให้เกิดโรคและกลุ่มอาการต่างๆซึ่งรวมถึง โรคคลอร์แอคเน่ (ผื่นสิวปะทุจากยาฆ่าแมลง เช่น ดีดีที) และค่าเอมไซม์ตับเปลี่ยนแปลงไปจากปกติ หลักฐานของการแพร่กระจายในวงกว้างของสารพิษที่ละลายในไขมันในชั้นบรรยากาศนั้นได้มาจากการวิเคราะห์เนื้อเยื่อมนุษย์และน้ำนมมนุษย์ เส้นทางหลักของการเข้าของสารพิษที่ละลายในไขมันได้เข้าสู่ร่างกายมนุษย์ผ่านทางห่วงโซ่อาหาร และส่วนใหญ่สารพิษเหล่านี้ก็จะถูกสะสมอยู่ในชั้นไขมันในร่างกายเรา เส้นทางปกติในการขับสารพิษตัวนี้คือ น้ำดี แต่มีการพบหลักฐานของการขับสารพิษนี้เข้าไปในลำไส้โดยไม่ใช้เส้นทางของการขับน้ำดีเช่นกัน การไหลเวียนของระบบลำไส้-ตับของสารประกอบพิษเหล่านี้จำนวนมากทำให้การขจัดพวกมันออกจากร่างกายเป็นไปอย่างเชื่องช้า การขจัดสารพิษเหล่านี้ออกจากร่างกายทำได้โดยการใช้สารกลุ่มหนึ่งซึ่งสามารถรบกวนการไหลเวียนของสารประกอบในระบบลำไส้-ตับที่ซึ่งเข้าสู่ลำไส้เล็กโดยระบบทางเดินน้ำดีและเส้นทางที่ไม่ใช่ระบบน้ำดีช่วยเพิ่มอัตราของการขจัดสารเหล่านี้จากร่างกายและลดค่าครึ่งชีวิตของการสะสมของสารพิษเหล่านี้ลง การลดของไขมันในร่างกายควบคู่ไปกับการรับประทานสารกลุ่มหนึ่งเหล่านี้(ในที่นี้คือ นำ้มันชนิดที่ไม่่ดูดซึม, เรซิน(ยา cholestymine), ไฟเบอร์, ถ่าน Activated carbon) จะเป็นตัวช่วยรบกวนการไหลเวียนของระบบลำไส้-ตับได้และยังช่วยให้อัตราการขับสารพิษนานออกไปอีกด้วย นอกจากนี้ การลดน้ำหนักหรือการอดอาหารยังมีส่วนช่วยให้ร่างกายขจัดสารพิษชนิดที่ละลายในไขมันนี้ออกจากร่างกายได้ดีขึ้นอีกด้วย”

***เพิ่มเติมประเด็น*** ข้อมูลจากเปเปอร์ฉบับเต็ม (Full text) ของสารเหล่านี้ที่ขัดขวางกระบวนการดูดซึมกลับของสารพิษเข้าสู่ร่างกาย อันเป็นผลทำให้การขับสารพิษออกจากร่างกายมากขึ้น เพราะสารกลุ่มหนึ่งที่ช่วยขัดขวางกระบวนการดูดซึมกลับของน้ำดีที่ปนเปื้อนสารพิษนั้น ในงานวิจัยนี้ กล่าวถึง คือ

1. น้ำมันชนิดที่ไม่ดูดซึม (Mineral oil หรือน้ำมันพาราฟิน, Olestra หรือน้ำมัน Olean ซึ่งในงานวิจัยนี้ใช้แตกต่างจากสูตรล้างพิษตับ ก็จริงอยู่ แต่ในความเห็นส่วนตัวแล้ว การกินดีเกลือทั้งก่อนและหลัง การกินน้ำมันมะกอกนั้น ช่วยทำให้ลำไส้บีบตัวขับเอาน้ำมันมะกอกที่ปนกับน้ำดีที่ปนเปื้อนสารพิษได้เช่นกัน เพราะยังไม่ทันดูดซึมเข้าระบบ enterohepatic circulation จึงพอจะกล่าวได้ว่า การกินดีเกลือร่วมกับน้ำมันมะกอกนั้นจัดเป็นน้ำมันชนิดที่ไม่ดูดซึมได้ครับ และแน่นอนว่า น้ำมันมะกอก(ซึ่งเป็นธรรมชาติ)นั้น ย่อมปลอดภัยกว่าการกิน น้ำมันพาราฟิน หรือน้ำมัน Olean ซึ่งเป็นสารสังเคราะห์เป็นแน่) ประเด็นที่ว่าน้ำมันมะกอกไม่ถูกดูดซึมจริงหรือไม่นั้น อาจารย์เจษ ได้กรุณาช่วยพิสูจน์จนเป็นที่แน่ชัดแล้วนะครับว่าน้ำมันมะกอกในการล้างพิษตับนั้นไม่ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย แต่จะทำปฏิกิริยากับน้ำดีในลำไส้ ได้เป็นก้อนที่ก่อนหน้านั้นหลายๆท่านเข้าใจว่าเป็นนิ่ว ซึ่งจริงๆแล้วเป็นผลิตภัณฑ์น้ำมันมะกอกผสมกับน้ำดีมากกว่า (แต่แน่นอนว่า นิ่วในถุงน้ำดี ก็มีโอกาสขับออกมาได้เช่นกันครับ) ในกระทู้นี้ http://ppantip.com/topic/30447055/

(มีต่อครับ)
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 22
ทำไมวิธีนี้ จึงช่วยผู้ป่วยที่มีอาการจากความเป็นพิษของน้ำดีก่อโรค?

กรดน้ำดีแบ่งเป็น 3 กลุ่ม
1.กรดน้ำดีปฐมภูมิ(น้ำดีปกติ) จับกับไขมันได้ดี
เกิดจาก กระบวนการสร้างน้ำดีตามปกติโดยตับ
2.กรดน้ำดีทุติยภูมิ(น้ำดีก่อโรค) จับกับไขมันได้ไม่ค่อยดี(สร้างพันธะกับไขมันได้ลดลง)
เกิดจาก จุลินทรีย์ในลำไส้เล็กสร้างเอ็มไซม์ ที่ไปเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของน้ำดีปกติ ทำให้มีคุณสมบัติ hydrophobic และ Pka ลดลง ส่งผลให้เพิ่มอัตราการดูดกลับในลำไส้ใหญ่(สะสมในระบบหมุนเวียนของน้ำดีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ) และมีความเป็นพิษต่อร่างกายสูง
3.กรดน้ำดีชนิดพบปริมาณน้อยบางชนิด(น้ำดีก่อโรค) จับกับไขมันได้ไม่ค่อยดี
เกิดจาก กระบวนการสร้างน้ำดีที่ผิดปกติ เนื่องจากขาดวิตตามินบี อะมิโนอะซิดหรือแร่ธาตุที่จำเป็นในการสร้างน้ำดี ทำให้น้ำดีมีโครงสร้างผิดไปจากปกติ มีอะมิโนอะซิดชนิดอื่นหรือธาตุอื่นมาแทนที่ น้ำดีกลุ่มนี้บางชนิดมีความเป็นพิษต่อร่างกายสูง

การกินน้ำมันประเภทไม่ดูดซึม(เช่น น้ำมันมะกอก)
-ถ้ากินปริมาณน้อย น้ำดีชนิดปกติจะถูกขับออกจากร่างกายมากที่สุด เพราะ จับกับไขมันได้ดีกว่าชนิดที่2และ3 กลไกนี้มีลักษณะคล้าย ยาลดไขมันในเลือดประเภทจับกับน้ำดี(bile acid binding agents)
-ถ้ากินปริมาณมากเกินพอ น้ำดีจะถูกขับออกมาปริมาณมาก น้ำดีชนิดปกติจะจับกับไขมันส่วนใหญ่ และเหลือไขมันบางส่วนมาจับหรือห่อหุ้มน้ำดีก่อโรคทั้ง2ชนิด ทำให้สามารถกำจัดน้ำดีที่ก่อโรคออกจากร่างกายบางส่วนได้ ส่งผลให้อาการของผู้ป่วยลดลง

ตรงนี้เป็นเหตุผลว่า ทำไมวิธีนี้ ช่วยผู้ป่วยที่มีอาการจากความเป็นพิษของน้ำดีก่อโรค ให้มีสุขภาพดีขึ้นครับ
เช่น น้ำหนักลดในผู้ป่วยกลุ่มที่อ้วนเนื่องจากน้ำดีก่อโรค ลดน้ำตาลและไขมันในเลือดในผู้ป่วยเบาหวานประเภทไม่พึ่งอินซุลิน ลดไขมันในตับ ลดการเกิดนิ่วชนิดคลอเรตเตอรอลในท่อทางเดินน้ำดีในตับและถุงน้ำดี ลดการกระตุ้นการแบ่งตัวของมะเร็งลำไส้บางชนิด ลดผื่นแพ้อักเสบตามผิวหนังหรือการอักเสบตามบาดแผลเฉพาะที่ที่มีอาการเรื้อรัง   
*ข้อมูลน้ำดีชนิดไหนก่อโรคอะไรได้กล่าวถึงในกระทู้ด้านบนแล้ว

หวังว่าจะช่วยให้เข้าใจเพิ่มขึ้นนะครับ ^^
ปล. ตรงนี้อาจบอกได้ว่า ถ้ากินน้ำมันมะกอกน้อยเกินไป ก็ไม่สามารถกำจัดกรดน้ำดีที่ก่อโรคได้นะครับ หรือทำไมต้องทำซ้ำหลายรอบอาการจึงจะลดลง
**ควรใส่น้ำมะนาวให้เหมาะสมกับน้ำมันมะกอก เพื่อให้น้ำมันมะกอกกระจายตัวเป็นก้อนเล็ก เพิ่มพื้นที่ผิวในการจับกับน้ำดี
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่