การเดินทางครั้งยิ่งใหญ่จุดเปลี่ยนชีวิต จากยุโรปกลับบ้านเรา

การเดินทางจาก ยุโรป กลับเมืองไทยบ้านเรา เหมือนจะธรรมดา แต่ก็ไม่ธรรมดา
มันเป็นการเดินทางที่ยิ่งใหญ่ และเป็นจุดเปลี่ยนชีวิตของเราทีเดียวค่ะ

เราเองวนเวียนอยู่ในห้องชานเรือนมาก็ตั้งแต่แรกๆ เคยเล่าเรื่องตัวเองมาก็นามากแล้ว ตั้งแต่มีปัญหากับอดีตสามี เมื่อหลายปีก่อน
จุดนั้นก็มันยังไม่ทำให้เราหมดเวรหมดกรรม ก็ยังดันทุรัง เชื่อมั่น มองอนาคต (ที่ริบหรี่) ให้กับลูก จึงได้ทำเรื่องเดินทาง เพื่อไปอยู่ ตปท

(เชื่อมั้ยคะ ช่วงระหว่างที่เราพยายามทำเื่องต่างๆ เพื่อไปอยู่ ที่นั่น มันมีอุปสรรคทุกเรื่อง ย้ำ! ทุกเรื่องจริง มันติดขัดไปหมด นี่ขาดนู่นไม่ได้)
ตั้งแต่ลงเรียนเพื่อสอบ ฝ่ายชายจ่ายค่าเรียนก็ยังต้องผ่อนจ่ายครู (อายมาก) ค่าสอบก็ไม่พอ ค่าเครื่องบินก็ไม่พอ)

หลังจาก เรียนภาษา สอบผ่านกับสถานฑูต เพื่อเตรียมตัวขอรับวีซ่า แต่แทนที่จะได้วีซ่า ระยะยาว เพราะแต่งงานแล้ว แถมมี ลูกอีก 2 คน
กลับกลายเป็นว่า  อดีตสามี ขอให้ขอวีซ่าด่วน เพราะเรื่องในครอบครัวของเขา (พี่ชายใกล้เสียชีวิต) แล้วค่อยไปต่อวีซ่าที่นู่น
ด้วยความที่เราก็ไม่รู้ กม บ้านเค้า ก็ทำเรื่องวีซ่าท่องเที่ยว ซึ่งก็จะอยู่ได้ไม่เกิน 90 วัน (multi ไม่เกิน 120 วัน)  ในใจก็กังวลอยุ่ตลอด

จนมาถึงที่นี่ จัดการเรื่อง โรงเรียนของลูก จัดการว่าอยู่กันเป็นครอบครัว แต่เรื่องวีซ่าของเรายังไปไม่ถึงไหน
ในทุกๆ วัน ที่อยู่ที่นั้น เนื่องจากสามีเป็นชาวโมรอคโคที่ไปอาศัยประเทศที่สามคือ เนเธอแลนด์อยู่นั้น เราก็อยู่ในชุมชนของขาวโมรอคโค
ซึ่งเราก็พอปรับตัวได้ แต่ทุกๆวัน เรามีกิจกรรมแค่ การไปส่งลูกที่ รร (ที่ส่วนมากเป็นชาวโมรอคโค) ไป shopping และอยู่บ้าน
หรือการไปเยี่ยมบ้านฐาติเป็นบ้างครั้ง ซึ่งการเยี่ยมบ้านญาตินั้น เราก็รู้สึกอับอายอีก แทนที่เราไปบ้านเค้า แล้วนำของไปฝาก
แต่กลับเป็นครอบครัวเค้าต้อง เอาอาหารต่างๆ ให้เราเอากลับบ้าน (เพราะค่าใช้จ่ายในบ้านไม่พอ) การ shopping ของเรา
เราใช้จ่ายเดือนนึงไม่น่าจะเกิน 150 ยูโร ซึ่งซื้อมาแล้วคำนวณว่าจะอยู่กันอย่างไรใน 1 เดือน สำหรับการทำอาหารกินอยู่ 4 คน
ค่าใช้จ่ายอื่นๆเค้าเป้็นคนจ่าย (เขาไม่ทำงาน รับเงินรัฐอย่างเดียว) อ้างว่ารอให้เราได้อยู่แบบถาวรก่อนค่อยไปทำงานจริงจัง เฮ้อ
นอกจากเรื่องค่าใช้จ่ายที่พอแล้วยังมีเรื่องอีกมากที่เราคิดแล้วว่าไปกันไม่ได้แน่ๆจะเลิกกันหลายครั้งแล้วค่ะ

ไม่เคยได้ออกไปเที่ยวที่ไหนเลย ตลอดระยะเวลา 3 เดือนกว่าที่มาอยู่ที่นี่  จนกระทั่ง เค้ามี แผนว่าจะย้ายไปที่เบลเยี่ยมแทน
และวีซ่าของเราใกล้จะหมดแล้ว เค้าจะย้ายเพื่อที่ไปทำเรื่องแบบให้มันง่ายขึ้น! (มารู้ทีหลังว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายจะย้ายไปมา)
จนเค้าบอกอีกว่า จะย้ายไปประเทศบ้านเกิดของเค้า ซึ่งมาถึงจุดแตกของเรา เป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะยอมไปอยู่ที่นั่น เพราะเคยไปมาแล้ว
3 เดือน อยู่แต่บ้าน ในห้องแทบจะไม่ได้ทำอะไรเลย ช่วยงานที่บ้านอยู่บ้าง ภาษาก็พูดไม่ได้

จนกระทั่งเราไม่ไหวแล้ว วีซ่าก็จะหมด เอายังไงดี เรามีเพื่อนที่รู้จักกันมานาน เป็นคนที่นั่น  เราเคยทำงานให้เค้าที่เมืองไทย
เค้ารับรู้ว่าเรามาอยุ่ที่นี่แต่ไม่ค่อยได้คุยกันนัก ถ้าคุย อดีตสามี ไม่ให้ติดต่อแน่ๆ เป็น ผช มีครอบครัวแล้ว เราติดต่อเล่าเรื่องราวให้เค้าฟัง
เค้ายินดีช่วยเหลือเรา แม้ว่าจะเสี่ยง แต่เค้ารู้ว่า คนประเทศนี้อยู่ด้วยยากแน่นอน และเค้าก็เอ็นดูเราและลูกมากๆ เราส่งเมลคุยกัน
เราใช้เมลผ่านทางโทรศัพท์ ช่วยก่อนจะเริ่มแผนการออกจากบ้าน เราเครียดมากๆ แต่ต้องตั้งสติ และทำให้ทุกอย่างเป็นปกติ
นัดเส้นทางกับเค้า เราเองก็ไม่รู้จักเลย รุ็จักแต่ center ของรถสาธารณะ ตอนแรกจะใช้ช่วงหลังเลิกเรียนของลูกแล้วเดินทาง
แต่มันมีจังหวะเหมาะช่วงเช้า เค้ายังไม่ตื่น เราจึงจัดแจง ลูกๆ เพื่อทำให้เหมือนทุกวัน (จริงๆ พาสปอร์ตเค้าเอาของเรากับลูกไปซ่อน
แต่เราใช้ช่วงที่อยู่บ้านค้นหา แล้วเราก็เจอ แต่ยังไม่หยิบมาทันที แต่คอยวนเวียนดูว่ามันยังอยู่ที่เดิมมั้ยเพื่อพร้อมหยิบวันเดินทาง)

เราตระเตรียมกระเป๋าเดินทางใบเล็กๆ ไว้เพียง 1 ใบเท่านั้น ค่อยๆทยอยเก็บของที่จำเป็น เอกสารต่างๆ ใส่กระเป๋าแล้วเก็บใส่ตู้ไว้เหมือนเดิม
เมื่อพร้อมเค้าหลับเราก็หยิบ ของและตรวจตราว่าลืมอะไรหรือไม่ แล้วเราก็ออกจากบ้านไปอย่างเงียบๆ พร้อมลูกๆ ทั้งสอง
เราเดินไปร้านขายบัตรโทรศํพท์เพื่อเติมเงิน มีเงินติดตัวอยู่ 50ยูโร แล้วก็ไปขึ้นรถเมล์เพื่อลงที่จุดนัดพบ โทรหาเพื่อนว่าเรากำลังจะขึ้นรถแล้ว
ช่วงเวลาที่จะขึ้นรถตื่นเต้นมาก กลัวเค้าจะตื่นมาเจอ กลัวไปหมด แต่เราต้องเดินหน้าต่อ จนถึงจุดนัดพบเราก็โทรหาเพื่อน แล้วเค้าก็พาเราขึ้นรถ
แล้วพาไปที่พัก คนแรกที่เราติดต่อและบอกเรื่องราวก็คือ แม่ แม่กังวลมาก แต่พอร้ว่าเราอยู่กับใครแม่ก็สบายใจขึ้น
เค้าให้เราพักในอพาร์ทเม้นต์ที่เค้าไม่ได้อยู่ ให้เงินเราไว้ใช้ ซื้ออาหาร  ส่วนเค้าก็อยู่กับครอบครัว

เราอยู่ที่นั่นประมาณ 1 อาทิตย์ ตั๋วเครื่องบินขากลับเรามีแล้ว แต่ต้องซื้อของลูก เพราะไม่ได้ซื้อขากลับไว้ให้ ให้น้องสาวช่วยออกค่าตั๋วให้ก่อน
ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น อีก ไม่กี่วันเราจะได้บินกลับเมืองไทยแล้ว แต่ว่าวันนั้น อดีตสามีไปแจ้งความว่า เราหายไปพร้อมลูก
ทางตำรวจติดต่อเรามาทางอีเมล เราก็บอกเพื่อน เพื่อนเราบอกว่าให้เราติดต่อกับตำรวจไป และเราจะเข้าพบตำรวจเพื่อบอกว่าเราต้องกลับ
เมืองไทย เพราะวีซ่าเราจะหมด ลูกเราก็เกิดที่เมืองไทย มีพาสปอร์ตเมืองไทย ทางตำรวจไม่ติดใจอะไร เราก็ไม่ต้องพบหน้าเค้า
ทางตำรวจจะแจ้งไปทางนั้นเอง ทางเพื่อนเราก็มีติดต่อทนายของเค้าเพื่อปรึกษา ทางทนายแจ้งว่าเราจะอยู่ต่อก็ได้นะ เค้าจัดการได้
โดยไม่ต้องอยู่ร่วมกัน แต่เราคิดว่าเราตัวคนเดียว กับลูก 2 คน ทุกอย่างใหม่หมด ต้องทำงาน ภาษาเราก็ยังไม่ได้ ลำบากแน่นอน
เราจึงบอกความจำนงว่าเราขอกลับเมืองไทย เพราะเราสามารถกลับไปทำงานได้ มีญาติคอยดูแล ลูกๆ ได้
และเราก็ไม่อยากให้เพื่อนเราลำบากไปมากกว่านี้ ทางทนายก็เลยไม่ได้ซํกอะไรเพิ่มเติม เราก็เดินหน้าเพื่อเตรียมตัวกลับไทย

เชื่อมั้ยคะ 1 สัปดาห์ที่อยู่ที่บ้านเพื่อน มันแตกต่างมากกับบ้านที่เราอยู่ก่อนหน้า แถบนี้แทบจะไม่มีคนโมรอคโคอยู่เลย มีฝรั่งหัวทองเต็มไปหมด
ช่วงนั้นฤดูใบไม้ผลิ มันสวยมาก เราไม่เคยเห็นมาก่อน ใบไม้ร่วงหล่นเต็ม อากาศหนาวเย็น เดินไปที่ไหนก็สวยไปหมด น่าอยู่จัง
เราพาลูกไปสนามเด็กเล่น พาไปดู แม่น้ำ ใกล้ๆบ้าน ลูกๆดูมีความสุขมาก เราก็มีความสุขเช่นกัน
เราคิดในใจว่า นี่เราเพิ่งมาอยู่เนเธอแลนด์ได้อาทิตย์เดียวเองหรอเนี่ย

ใกล้วันเดินทางกลับ เพื่อนเราบอกว่าเรา้ต้องไม่ขึ้นเครื่องบินที่ประเทศนี้ เพราะเราไม่รู้ว่าจะยังมีข้อมูลของคนหายอยู้หรือไม่
ถ้ามีอยู่เราอาจจะไม่ได้ออกไป เพื่อนก็พาไปตรวจสอบที่สถานีตำรวจว่ามีข้อมูลมั้ย ตำรวจได้เอาออกแล้ว แต่ยังเหลือคนเล็กยังมีอยู่
เพื่อความไม่ประมาท จึงจัดการเปลี่ยนไฟลท์ไปขึ้นที่ อีกประเทศนึงแทน ซึ่งเราต้องขึ้นรถไฟไป ขึ้นเครื่องที่นั้น เพื่อนเราจึงพาไปซื้อตั๋วรถไฟ
แล้วก็จัดแจงบอกว่าเราต้องขึ้นรถเมล์สายอะไร ไปขึ้นรถไฟสายนี้ แล้วเป็นสายที่ต้องไปแต่เช้า เพื่อนเราไม่สามารถไปส่งได้
เพราะหากเกิดอะไรขึ้นเค้าจะถูกข้อหาลักพาตัวได้ เราก็พยายามจดจำที่เพื่อนบอก จำเส้นทาง เราได้คุยกับเพื่อนอีกคนที่ได้รู้จัก
ดีใจมากที่ยังมีคนคอบรับฟัง คอยคุยอยู่ช่วงระหว่างที่เครียด

คืนก่อนออกเดินทาง เพื่อนเราก็พาครอบครัวมาทานข้าวเพื่อเลี้ยงส่งเรา เราตื่นตันใจมาก
พอตกกลางคืนไม่มีใครแล้ว ความรู้สึกกลัวและตื่นเต้นมันเข้ามา จนเราต้องร้องไห้ ลูกๆหลับไปหมดแล้ว
เราจึงโทรหาเพื่อนผู้หญิงอีกคน กำลังใจผ่านสายโทรศัพท์ ทำให้เราสู้ต่อ เราต้องไป เราต้องทำได้ นอนแทบไม่หลับ แต่ต้องหลับ
เพราะเดี๋ยวจะไม่มีแรง ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ กังวลกลัวจะไม่ตื่น เราเอารูปในหลวงที่เรามีอยู่ในกระเป๋า ภาวนาว่าขอให้หนูได้กลับไปสู่บ้านเกิด
ด้วยเถอะค่ะ คุ้มครองหนูและลูกๆ ด้วย แล้วเราก็กลับไป

เช้าเวลาประมาณ ตี 4 เราตื่นมาจัดแจง แต่งตัว ตัวเองและลูกๆ เตรียมเดินทาง
เราลากกระเป๋าเดินทางมือนึงพร้อมจูงลูก และอุ้มลูกมือนึง เดินไปค่อนข้างไกลเพื่อขึ้นรถเมล์ที่จะไป ขึ้นรถไฟ เมื่อขึ้นรถเมล์เกือบ 1 ชม
ก็ไปที่สถานีรถไฟ ซื้อของกินติดไปนิดหน่อย แล้วก็รอที่ชานชาลา เราต้องอ่านและดูให้แน่ใจว่าเป็นรถไฟที่เราจะขึ้นแน่ๆ
รถไฟ ใช้เวลา ประมาณ 5-6 ชม ถึงสนามบิน เราก็ต้องคอยฟังว่าถึงไหนแล้ว ภาษาก็ฟังไม่ค่อยออก ก็ถามคนข้างๆ เอา
ระหว่างทาง ครูที่ รร ก็โทรมาว่าเราอยู่ไหน เราก็ม่ตอบมากมาย เราบอกแค่ว่าลูกคงไม่ได้เรียนที่นี่แล้ว แล้วเราก็วางสายไป

มาถึงสนามบิน เรากไปยังไฟล์ที่เราจะขึ้น แล้วก็รอขึ้นเครื่อง เช็คอิน ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่นไม่มีติดขัด ตอนนั้นโล่งใจมาก อีกไม่กี่ ชม
เราจะถึงบ้านแล้ว เมื่อเราขึ้นเครื่องบินออกจากที่นั่นทุกอย่างมันโล่งอกไปหมด แต่เราก็ยังต้องต่อเครื่องอีก เพราะเป็นเที่ยวบินราคาประหยัด
แต่ก็ไม่เป็นปัญหา แม้จะต้องรอต่อเครื่องถึง 3 ชม เราก็ผ่านมาได้ จนมาถึงสุวรรณภูมิเราโทรหาแม่ แต่แม่ก็ไม่ได้รับสาย แต่ไม่เป็นไร
ยังไงเราก็นั่งรถตรงกลับบ้านเองเลย เพราะไม่ได้นัดกัน กลับมาถึงบ้าน ไม่เจอแม่ มารู้ทีหลังว่า แม่อยาก เซอร์ไพรส์ ไปรับที่สนามบิน
เซอร์ไพรส์จริงๆ ลูกและหลาน กลับถึงบ้านเรียบร้อยแล้ว

ขาไปยุโรป ทุกอยากเป็นอุปสรรคไปหมด เหมือนมีใครจะบอกว่า อย่าไปเลยนะ ขัดขวางตลอดทุกเรื่อง แต่เราก็ยังดันทุรังไป
แต่ขากลับ ต้องขอบคุณคนนั้นที่บันดาลให้ทุกสิ่งเป็นไปอย่างราบรื่นไม่มีติดขัดซักอย่างเดียว ลื่นไหลมาก
และคนที่ต้องขอบคุณมากที่สุดก็คือเพื่อนของเราที่ช่วยเหลือเราทุกอย่าง จนทำให้เราได้กลับมาบ้านมาได้อย่างปลอดภัย

ผ่านมาเกือบ 2 ปีแล้ว เราก็ยังจำการเดินทางครั้งนี้ได้ไม่มีวันลืม มันเป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ ทุกวันนี้
เราและลูกๆอยู่กันอย่างมีความสุข แม้เราจะไมไ่ด้มีโอกาสเลี้ยงลูกเอง เหมือนตอนแรก  เพราะต้องกลับมาทำงานประำจำ
แต่ก็ได้เจอลูกทุกวัน มีความสุข ลูกก็มีความสุข และเราก็ปลดพันธะนั้นเรียบร้อยแล้ว
ส่วนทางนั้น เคยจะส่งเงินมาช่วยเหลือตอน 2 เดือนหลังจากที่เรากลับไทย แต่ก็ลีลา และเหมือนไม่อยากจะให้ เราจึงตัดใจ
เลิกติดต่อ เลิกรับเงิน (ที่น้อยนิด และเค้าไม่เต็มใจ) และหาเงินด้วยตนเองมา เพื่อเลี้ยงดูลูกจนถึงทุกวันนี้

สำหรับคุณแม่คนไหนที่เหนื่อยหรือท้อใจ มองกลับไปที่ลูก ลูกจะเป็นพลังที่ใำ้ห้เราก้าวต่อไป และทำทุกอย่างเพื่อเขาจริงๆค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่