“รองเสือ” นายสกล วรรณพงษ์ รองผู้ว่าการ กกท. ฝ่ายกีฬาอาชีพและสิทธิประโยชน์ เปิดเผยว่า ศึกมวยไทยลีก (Muaythai League) ครั้งที่ 1 ประจำปี 2556 ที่จะเริ่มเปิดฉากดวลกำปั้นเดือนก.ค.นี้ จะมีรูปแบบการจัดแข่งขันที่อลังการ มีสีสันตระกาลตา ทั้งแสง-สี-เสียง อย่างแท้จริง ซึ่งรอบคัดเลือกระดับภูมิภาค กกท. กำหนดวางสังเวียนไว้ทั้งหมด 5 สนาม และจะนำเวทีมวยที่ใช้ในการชิงชัยไปตั้งบนห้างสรรพสินค้า เพื่อเป็นการดึงดูดประชาชนให้หันมาชมกีฬามวยไทย เพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกันจะมีการถ่ายทอดสดทางช่องฟรีทีวีให้คนทั่วประเทศได้รับชมด้วย
รองสกล กล่าวต่อว่า ศึกมวยไทยลีกครั้งนี้ ไม่มีนโยบายแบ่งแยกความสามารถของนักชกออกเป็นเกรด หรือดิวิชั่น สำหรับนักมวยที่สมัครลงแข่งขันตามพิกัดทั้ง 4 รุ่น ได้แก่ รุ่นซูเปอร์เวลเตอร์เวต (154 ปอนด์), รุ่นมิดเดิ้ลเวต (160 ปอนด์), รุ่นซูเปอร์มิดเดิ้ลเวต (168 ปอนด์) และรุ่นไลต์เฮฟวี่เวต (175 ปอนด์) จะต้องฝ่าฟันชกรอบภูมิภาคตามภูมิลำเนาของตัวเองก่อน โดยค่าตัวของนักมวยรอบภูมิภาค ผู้ชนะจะได้รับไฟต์ละ 2 หมื่นบาท คนแพ้รับ 1.5 หมื่นบาท หากคว้าแชมป์ระดับภาค จะได้รับเงินรางวัล 1 แสนบาท จากนั้นแชมป์แต่ละรุ่นของรอบภูมิภาค จะหลุดเข้ามาชกรอบ “แชมเปี้ยนส์ลีก” ที่กรุงเทพมหานคร ต่อไป เพื่อเฟ้นหานักมวยรุ่นใหญ่ยอดฝีมือ เข้ามาชิงกัน ซึ่งผู้ชนะเลิศรอบแชมเปี้ยนส์ลีก ในแต่ละรุ่นนั้น จะได้รับเงินรางวัล 2 ล้านบาท, บ้านหนึ่งหลัง, รถยนต์หนึ่งคัน ตามคอนเซ็ปที่ “กกท.” วางไว้ว่า “ต่อยมวยก็รวยได้”
“วัตถุประสงค์ที่ กกท. วางไว้ในการจัดศึกมวยไทยลีก ครั้งที่ 1 เพื่อเผยแพร่ศิลปะการต่อสู้ประจำชาติไทย และอนุรักษ์ส่งเสริมนักมวยไทยที่มีพิกัดน้ำหนักตัวมาก ดังนั้น หากเหล่านักชกซุปเปอร์สตาร์ชั้นนำของเมืองไทย อย่าง บัวขาว บัญชาเมฆ, สิงห์มณี แก้วสัมฤทธิ์, เข้ม ศิษย์สองพี่น้อง, อิกคิวซัง ก.รุ่งธนเกียรติ, ไทรโยค พุ่มพันธุ์ม่วง และสุดสาคร ส.กลิ่นมี รวมถึงอีกหลายๆ คน หากคิดว่าตัวเองเป็นยอดมวยจริงและอยากประสบความสำเร็จคว้าแชมป์ศึกมวยไทยลีก ครั้งที่ 1 ก็สามารถสมัครเข้าแข่งขันได้ ที่สำนักงานคณะกรรมการกีฬามวย กกท.” รอง
ล่าวทิ้งท้าย.
www.dailynews.co.th/sports/204965
ศึกมวยไทยลีก
รองสกล กล่าวต่อว่า ศึกมวยไทยลีกครั้งนี้ ไม่มีนโยบายแบ่งแยกความสามารถของนักชกออกเป็นเกรด หรือดิวิชั่น สำหรับนักมวยที่สมัครลงแข่งขันตามพิกัดทั้ง 4 รุ่น ได้แก่ รุ่นซูเปอร์เวลเตอร์เวต (154 ปอนด์), รุ่นมิดเดิ้ลเวต (160 ปอนด์), รุ่นซูเปอร์มิดเดิ้ลเวต (168 ปอนด์) และรุ่นไลต์เฮฟวี่เวต (175 ปอนด์) จะต้องฝ่าฟันชกรอบภูมิภาคตามภูมิลำเนาของตัวเองก่อน โดยค่าตัวของนักมวยรอบภูมิภาค ผู้ชนะจะได้รับไฟต์ละ 2 หมื่นบาท คนแพ้รับ 1.5 หมื่นบาท หากคว้าแชมป์ระดับภาค จะได้รับเงินรางวัล 1 แสนบาท จากนั้นแชมป์แต่ละรุ่นของรอบภูมิภาค จะหลุดเข้ามาชกรอบ “แชมเปี้ยนส์ลีก” ที่กรุงเทพมหานคร ต่อไป เพื่อเฟ้นหานักมวยรุ่นใหญ่ยอดฝีมือ เข้ามาชิงกัน ซึ่งผู้ชนะเลิศรอบแชมเปี้ยนส์ลีก ในแต่ละรุ่นนั้น จะได้รับเงินรางวัล 2 ล้านบาท, บ้านหนึ่งหลัง, รถยนต์หนึ่งคัน ตามคอนเซ็ปที่ “กกท.” วางไว้ว่า “ต่อยมวยก็รวยได้”
“วัตถุประสงค์ที่ กกท. วางไว้ในการจัดศึกมวยไทยลีก ครั้งที่ 1 เพื่อเผยแพร่ศิลปะการต่อสู้ประจำชาติไทย และอนุรักษ์ส่งเสริมนักมวยไทยที่มีพิกัดน้ำหนักตัวมาก ดังนั้น หากเหล่านักชกซุปเปอร์สตาร์ชั้นนำของเมืองไทย อย่าง บัวขาว บัญชาเมฆ, สิงห์มณี แก้วสัมฤทธิ์, เข้ม ศิษย์สองพี่น้อง, อิกคิวซัง ก.รุ่งธนเกียรติ, ไทรโยค พุ่มพันธุ์ม่วง และสุดสาคร ส.กลิ่นมี รวมถึงอีกหลายๆ คน หากคิดว่าตัวเองเป็นยอดมวยจริงและอยากประสบความสำเร็จคว้าแชมป์ศึกมวยไทยลีก ครั้งที่ 1 ก็สามารถสมัครเข้าแข่งขันได้ ที่สำนักงานคณะกรรมการกีฬามวย กกท.” รองล่าวทิ้งท้าย.
www.dailynews.co.th/sports/204965