สวัสดีค่ะเพื่อนๆชาวพันทิป กระทู้นี้เกิดขึ้นจากการอยู่ในสถานะ “คนว่างงาน” และโดนคนรอบข้างสนับสนุนให้ตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาเพื่อเป็นประโยชน์กับคนที่ “คิด”อยากจะไปเรียนต่างประเทศ แต่ยังไม่เคยมีประสบการณ์หรือไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไร วันนี้เราเลยอยากมาแชร์ประสบการณ์ขั้นตอนการทำเรื่องเรียนต่อ, การขอวีซ่า และสิ่งที่ต้องทำหลังจากได้วีซ่าแล้ว ไม่ได้ตั้งกระทู้นานมากแล้วภาษาอาจติดขัดไปบ้างนะคะ ที่สำคัญยาวมากค่ะ เป็นคนพูดมาก แหะๆ
เรามาเริ่มต้นกันเลยค่ะ จากคำถามที่ได้รับจากคนรอบข้างมาเยอะมากว่า “ถ้าอยากไปเรียนที่ตปท.นี่เค้าต้องเริ่มต้นยังไง?” คือคนรอบตัวเราส่วนใหญ่จะมืดมนกันมากว่าจะเริ่มจากตรงไหน ดังนั้นมาย้อนไปเมื่อ 8 เดือนที่แล้วกันค่ะ
1.เราต้องตั้งเป้าหมายก่อนค่ะ ว่าจะเรียนอะไร และประเทศไหนดี ทางมืดมิดของเราก็จะมีไฟเปิดขึ้นมาหนึ่งดวงละ ยกตัวอย่างกรณีของเรา เรียนอะไร? เราอยากไปลงคอร์สปรับภาษาอังกฤษก่อนเนื่องจากหลังเรียนจบก็ไม่ได้เรียนอะไรเพิ่มเติมเลย แกรมม่งแกรมม่าลืมไปหมดแล้ว หากจบคอร์สก็ต่อคอร์ส TOEFL ต่อและไปสอบเพื่อนำคะแนนมาสอบโทเข้ามหาวิทยาลัยกับคณะที่อยากเรียน (หากเป็นประเทศในโซนยุโรป เช่น อังกฤษ สวีเดน นอร์เวย์ อิตาลี ส่วนใหญ่จะใช้คะแนน IELTS ในการสอบเข้า) ต่อด้วยประเทศไหนดี? ขึ้นอยู่กับความชอบและโอกาสของเพื่อนๆแต่ละคนเลยค่ะ เพราะอย่างเราเลือก เมืองนิวยอร์ค, สหรัฐอเมริกาเพราะเคยไป Work & Travel มาก่อนและแวะเที่ยวเมทองนี้ เคยใช้ชีวิตอยู่ช่วงสั้นๆ ค่อนข้างจะทราบ Life Style คนเมืองนี้และมีเพื่อนที่อยู่ จึงง่ายมากสำหรับเราที่จะเลือกที่นี่เพื่อไปเรียน
2.เมื่อเราได้เป้าหมายแล้ว เรามาเปิดไฟอีกดวงคือ seach google ค่ะ ฮ่าๆ หาสถาบันภาษาที่จะเรียนเพื่อต่อยอดเลยค่ะ ตลอดจนหานิทรรศการเกี่ยวกับการไปเรียนต่อตปท.ด้วยหากมี เพื่อไปหาข้อมูลเพิ่มเติม ที่เรียน และ “เอเย่นซี่” ใช่ค่ะ เอเย่นซี่ ที่จะช่วยจัดการเรื่องเอกสารและการสมัครเรียน สำหรับคนวัยทำงานที่ยุ่งมากและไม่ค่อยมีเวลาจัดการขั้นตอนเบื้องต้นได้ ซึ่งเราเป็นหนึ่งในนั้น เนื่องจากทำงานบริษัททัวร์และไม่ค่อยจะมีหน้าโลว์ซีซั่นเลย ไฮซีซั่นงานยุ่งตลอดเวลา เราจึงคิดจะใช้เอเย่นซี่ช่วย และโชคดีของเราที่จะมีนิทรรศการเรียนต่อตปท.ที่พารากอนฮอลล์ประมาณปลายเดือนตุลาคมปีที่แล้ว จากนั้นเรากะเพื่อนที่จะไปเรียนด้วยกันก็แวะไปทุกซุ้มของ USA สอบถามราคา โปรโมชั่น(สำคัญมาก ถ้าได้ถูกหรือของแถมก็ดี อิอิ) คอร์สที่เปิดสอน บลาๆ และหอบใบปลิวและหนังสือที่เค้าแจกในงานมาซะหลังหัก จากนั้นก็มารื้อๆเปิดเอเย่นซี่ที่เรากะเพื่อนสนใจ เนื่องจากทุกเอเย่นซี่จะเก็บค่ามัดจำในราคาที่สูงมาก(ก็หลายหมื่นอยู่) ดังนั้นเราต้องเมคชัวร์ว่าเอเย่นซี่ที่เราจะเลือกใช้บริการนั้นน่าเชื่อถือหรือไม่ อาจจะเปิดกูเกิ้ลหาประวัติ,โทรไปสอบถามโดยตรง หรือคุยกับเค้าที่ออฟฟิศเลยก็ดีค่ะ จะได้รู้ว่ามีตัวตนจริงน่าเชื่อถือ เรากะเพื่อนสุดท้ายเลือก TSAB เพราะตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว
3.เลือกสถาบันที่จะเรียนกับเอเย่นซี่ และเข้าไปคุยรายละเอียดกำหนดวันที่เราจะเรียน เพื่อเตรียมตัวและทำมาให้เอเย่นซี่ ขอบอกก่อนเลยนะคะว่าเอเย่นซี่จะช่วยเราได้แค่เรื่องสมัครเรียนเพื่อขอใบ I-20 กับทางสถาบัน, ตรวจสอบใบ DS-160 ที่เราต้องกรอกเอง, ให้รายการเอกสารที่เราต้องเตรียมเพื่อใช้ประกอบตอนขอวีซ่ากับสถานทูต, ช่วยจองคิวสัมภาษณ์และซักซ้อมก่อนสัมภาษณ์จริงหนึ่งวัน เค้าจะไม่รับประกันว่าจะได้วีซ่าหรือไม่เพราะทุกอย่างจะขึ้นกับดุลพินิจของกงสุลคนที่สัมภาษณ์เราเท่านั้นค่ะ ดังนั้นส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับตัวเราเองค่ะ อย่าคิดว่ามีเอเย่นแล้วจะได้วีซ่าทุกคนนะคะ สำหรับเอเย่นซี่ เราคิดว่า เราซื้อความสะดวกจากเค้าให้จัดการเรื่องเบื้องต้นที่เขียนไปข้างบนค่ะ
4.จ่ายเงินค่ามัดจำงวดแรกและเจรจาเคลียร์ข้อสงสัยกับเอเย่นกรณีที่วีซ่าไม่ผ่านเสร็จ เอเย่นก็จะให้เราเตรียมเอกสารชุดแรกที่ต้องเตรียมเพื่อขอ I-20 กับทางสถาบัน คือ
4.1 Bank Letter ของสปอนเซอร์ (รับรองฐานะทางการเงินที่มีอยู่ในบัญชีในวันที่ทำกับธนาคาร ไม่ต่ำกว่า 5 แสนบาทค่ะ)
4.2 จดหมายรับรองจากสปอนเซอร์ ซึ่งทางเอเย่นซี่พิมพ์ให้ และเราก็แค่กรอกชื่อลง ให้สปอนเซอร์เซนต์ให้
4.3 สำเนาพาสปอร์ตของเราและสปอนเซอร์ค่ะ
เดี๋ยวมาต่อข้อ 5 นะคะ
แชร์ประสบการณ์สำหรับคนที่อยากไปเรียนภาษาที่ USA ค่ะ
เรามาเริ่มต้นกันเลยค่ะ จากคำถามที่ได้รับจากคนรอบข้างมาเยอะมากว่า “ถ้าอยากไปเรียนที่ตปท.นี่เค้าต้องเริ่มต้นยังไง?” คือคนรอบตัวเราส่วนใหญ่จะมืดมนกันมากว่าจะเริ่มจากตรงไหน ดังนั้นมาย้อนไปเมื่อ 8 เดือนที่แล้วกันค่ะ
1.เราต้องตั้งเป้าหมายก่อนค่ะ ว่าจะเรียนอะไร และประเทศไหนดี ทางมืดมิดของเราก็จะมีไฟเปิดขึ้นมาหนึ่งดวงละ ยกตัวอย่างกรณีของเรา เรียนอะไร? เราอยากไปลงคอร์สปรับภาษาอังกฤษก่อนเนื่องจากหลังเรียนจบก็ไม่ได้เรียนอะไรเพิ่มเติมเลย แกรมม่งแกรมม่าลืมไปหมดแล้ว หากจบคอร์สก็ต่อคอร์ส TOEFL ต่อและไปสอบเพื่อนำคะแนนมาสอบโทเข้ามหาวิทยาลัยกับคณะที่อยากเรียน (หากเป็นประเทศในโซนยุโรป เช่น อังกฤษ สวีเดน นอร์เวย์ อิตาลี ส่วนใหญ่จะใช้คะแนน IELTS ในการสอบเข้า) ต่อด้วยประเทศไหนดี? ขึ้นอยู่กับความชอบและโอกาสของเพื่อนๆแต่ละคนเลยค่ะ เพราะอย่างเราเลือก เมืองนิวยอร์ค, สหรัฐอเมริกาเพราะเคยไป Work & Travel มาก่อนและแวะเที่ยวเมทองนี้ เคยใช้ชีวิตอยู่ช่วงสั้นๆ ค่อนข้างจะทราบ Life Style คนเมืองนี้และมีเพื่อนที่อยู่ จึงง่ายมากสำหรับเราที่จะเลือกที่นี่เพื่อไปเรียน
2.เมื่อเราได้เป้าหมายแล้ว เรามาเปิดไฟอีกดวงคือ seach google ค่ะ ฮ่าๆ หาสถาบันภาษาที่จะเรียนเพื่อต่อยอดเลยค่ะ ตลอดจนหานิทรรศการเกี่ยวกับการไปเรียนต่อตปท.ด้วยหากมี เพื่อไปหาข้อมูลเพิ่มเติม ที่เรียน และ “เอเย่นซี่” ใช่ค่ะ เอเย่นซี่ ที่จะช่วยจัดการเรื่องเอกสารและการสมัครเรียน สำหรับคนวัยทำงานที่ยุ่งมากและไม่ค่อยมีเวลาจัดการขั้นตอนเบื้องต้นได้ ซึ่งเราเป็นหนึ่งในนั้น เนื่องจากทำงานบริษัททัวร์และไม่ค่อยจะมีหน้าโลว์ซีซั่นเลย ไฮซีซั่นงานยุ่งตลอดเวลา เราจึงคิดจะใช้เอเย่นซี่ช่วย และโชคดีของเราที่จะมีนิทรรศการเรียนต่อตปท.ที่พารากอนฮอลล์ประมาณปลายเดือนตุลาคมปีที่แล้ว จากนั้นเรากะเพื่อนที่จะไปเรียนด้วยกันก็แวะไปทุกซุ้มของ USA สอบถามราคา โปรโมชั่น(สำคัญมาก ถ้าได้ถูกหรือของแถมก็ดี อิอิ) คอร์สที่เปิดสอน บลาๆ และหอบใบปลิวและหนังสือที่เค้าแจกในงานมาซะหลังหัก จากนั้นก็มารื้อๆเปิดเอเย่นซี่ที่เรากะเพื่อนสนใจ เนื่องจากทุกเอเย่นซี่จะเก็บค่ามัดจำในราคาที่สูงมาก(ก็หลายหมื่นอยู่) ดังนั้นเราต้องเมคชัวร์ว่าเอเย่นซี่ที่เราจะเลือกใช้บริการนั้นน่าเชื่อถือหรือไม่ อาจจะเปิดกูเกิ้ลหาประวัติ,โทรไปสอบถามโดยตรง หรือคุยกับเค้าที่ออฟฟิศเลยก็ดีค่ะ จะได้รู้ว่ามีตัวตนจริงน่าเชื่อถือ เรากะเพื่อนสุดท้ายเลือก TSAB เพราะตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว
3.เลือกสถาบันที่จะเรียนกับเอเย่นซี่ และเข้าไปคุยรายละเอียดกำหนดวันที่เราจะเรียน เพื่อเตรียมตัวและทำมาให้เอเย่นซี่ ขอบอกก่อนเลยนะคะว่าเอเย่นซี่จะช่วยเราได้แค่เรื่องสมัครเรียนเพื่อขอใบ I-20 กับทางสถาบัน, ตรวจสอบใบ DS-160 ที่เราต้องกรอกเอง, ให้รายการเอกสารที่เราต้องเตรียมเพื่อใช้ประกอบตอนขอวีซ่ากับสถานทูต, ช่วยจองคิวสัมภาษณ์และซักซ้อมก่อนสัมภาษณ์จริงหนึ่งวัน เค้าจะไม่รับประกันว่าจะได้วีซ่าหรือไม่เพราะทุกอย่างจะขึ้นกับดุลพินิจของกงสุลคนที่สัมภาษณ์เราเท่านั้นค่ะ ดังนั้นส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับตัวเราเองค่ะ อย่าคิดว่ามีเอเย่นแล้วจะได้วีซ่าทุกคนนะคะ สำหรับเอเย่นซี่ เราคิดว่า เราซื้อความสะดวกจากเค้าให้จัดการเรื่องเบื้องต้นที่เขียนไปข้างบนค่ะ
4.จ่ายเงินค่ามัดจำงวดแรกและเจรจาเคลียร์ข้อสงสัยกับเอเย่นกรณีที่วีซ่าไม่ผ่านเสร็จ เอเย่นก็จะให้เราเตรียมเอกสารชุดแรกที่ต้องเตรียมเพื่อขอ I-20 กับทางสถาบัน คือ
4.1 Bank Letter ของสปอนเซอร์ (รับรองฐานะทางการเงินที่มีอยู่ในบัญชีในวันที่ทำกับธนาคาร ไม่ต่ำกว่า 5 แสนบาทค่ะ)
4.2 จดหมายรับรองจากสปอนเซอร์ ซึ่งทางเอเย่นซี่พิมพ์ให้ และเราก็แค่กรอกชื่อลง ให้สปอนเซอร์เซนต์ให้
4.3 สำเนาพาสปอร์ตของเราและสปอนเซอร์ค่ะ
เดี๋ยวมาต่อข้อ 5 นะคะ