ไปเจอข้อความเก่าๆ ที่เคยเขียนไว้ เลยเอามาให้อ่านเล่นๆ
อาจารย์ยาจกซู เคยเปรียบเทียบชื่อเหมือนเสื้อผ้า ผมก็มีข้อคิดเห็นบางอย่างมาให้อ่านเล่นๆ เกี่ยวกับเรื่องของชื่อด้วยเช่นกัน
ถ้าเรามาลองคิดดู จะเห็นว่าคนไทยเราถูกคลุมถุงชนมาตั้งแต่เกิด กล่าวคือ เมื่อแรกเกิดบุพพการีได้ตั้งชื่อให้ ส่วนใหญ่จะตั้งชื่อเล่นให้ก่อน เปรียบเสมือนท่านได้หาเนื้อคู่มาให้เราตั้งแต่แรก โดยชื่อแรกซึ่งมักจะเป็นชื่อเล่นนั้น เสมือนกับเมียที่แต่งตามประเพณี โดยที่ผู้ใหญ่เป็นคนเลือกหามาให้ เป็นการเลือกที่เกิดจากจิตเจตนาอันบริสุทธิ์ ชื่อเล่นจึงเปรียบเหมือนแม่ศรีเรือนโดยแท้
ต่อมาบุพพการีได้พิจารณาแล้วว่า เมียคนนี้(ชื่อเล่น) ถึงแม้จะเป็นแม่ศรีเรือน แต่หน้าตาอาจจะขี้ริ้วขี้เหร่เกินกว่าที่จะพาออกงานได้ จึงจัดการหาภรรยาน้อยให้ ซึ่งอาจจะหาเองหรือให้พ่อสื่อ( พระ หมอดู หรือผู้มีความรู้ หรือผู้รู้บ้างไม่รู้บ้างแต่มาดดี )เป็นผู้หาให้ และนำไปจดทะเบียนแต่งงานเป็นภรรยาแต่งตามกฏหมายเพื่อที่จะได้นำไปออกงานได้ อย่างไม่เคอะเขิน กลายเป็นว่าคนไทยเรามีเมียสองคน เมียหลวงมักจะอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน(บางคนพออยู่นานๆ ก็ยกเมียหลวงขึ้นหิ้ง) และก็พาเมียน้อย(ชื่อจริง)ซึ่งจดทะเบียนสมรสถูกต้องตามกฏหมายออกงานอยู่เสมอ คนอื่นๆจึงมักจะเห็นหน้าเมียน้อยมากกว่าเมียหลวง ยกเว้นคนที่สนิทกันจึงจะได้พบเห็นเมียหลวงด้วย
เมื่อมีการออกงานบ่อยๆ มีบ้างบางครั้งที่คนอื่นทักถึงหน้าตาเมียน้อยว่า ทำไมหน้าตาไม่สวย (ชื่อจริงมีอักษรกาลกิณี) หรือบางครั้งมีปัญหาในเรื่องต่างๆเกิดขึ้นในชีวิต แล้วคนอื่นบอกว่าเมียน้อยเป็นคนคอยถ่วง (บางครั้งคนเหล่านี้ไม่ได้รู้ความจริงเลย แต่ชอบออกความเห็น ทั้งๆที่เป็นเรื่องระหว่างผัวเมีย แต่คนเหล่านี้ชอบทำตัวเป็นมือที่สาม)
ก็กลายเป็นว่าเมียน้อยมักจะเป็นแพะรับบาปอยู่เสมอ บางคนถึงกับอยากจะหย่าและหาเมียน้อยใหม่มาจดทะเบียน ทั้งๆที่ตอนเงินขาดมือ ก็เพราะไปกินไปเที่ยวด้วยกันกับเมียน้อย ตอนทะเลาะกับผู้อื่น เมียน้อยไม่ได้ไปช่วยทะเลาะกับเขาด้วยหรืออาจช่วยบ้างแต่ก็ไม่มาก แต่ก็ไปโทษเมียน้อยซะทุกอย่าง คงกะหาเรื่องเปลี่ยนใหม่ให้มันกระชุ่มกระชวยหัวใจบ้างเท่านั้น แถมยังหวังว่าเมียน้อยคนใหม่คงจะสวย รวย เริ่ดซะไม่มีเสียอีก บางคนเมื่อหย่ากะเมียน้อยแล้วไปมองหาเมียน้อยคนใหม่(เมียหลวงไม่กล้าเปลี่ยน เกรงใจผู้ใหญ่ที่หามาแต่งตามประเพณี คงเปลี่ยนได้แต่เมียน้อยเท่านั้น) ก็ใช่ว่าจะได้เมียดี อาจจะได้แค่เมียสวยเท่านั้น ไม่ได้ช่วยเหลือในหน้าที่ชีวิตการงานการเงินเลยก็มี สุดท้ายก็ต้องซมซานกลับมาหาเมียน้อยที่ผู้ใหญ่จับจดทะเบียนคนแรกอยู่ดี
สรุปจากข้อความข้างบนได้ มีข้อคิดมาหลายอย่างเช่น
การหาเมียน้อย(ชื่อจริง) นอกจากจะดูที่หน้าตา (ทักษาวันเกิดกับความหมายทางภาษาศาสตร์) ดูนิสัยใจคอ (โหราศาสตร์ไทย/จาตุรงคโชค) ดูพื้นฐานชาติตระกูลฐานะเดิม (เลขศาสตร์) แล้ว ยังต้องดูด้วยว่า เมียน้อยคนนั้นเหมาะสมกับเจ้าชะตาหรือไม่ บางที่ชื่อจริงดูแล้ว ทั้งสวย รวย นิสัยดี แต่ดันไม่เหมาะที่จะอยู่กับเราซะเนี่ย อย่างน้อยควรจะดูถึงดวงสมพงษ์ด้วยว่า อยู่กับเราแล้วจะดีหรือไม่ อยู่แล้วรุ่งเรืองหรือรุ่งริ่งกันแน่ด้วย จะได้ไม่ต้องมองหาสาวๆ มาจดทะเบียนใหม่อีก
บางครั้งบางช่วง เมียน้อยก็เกิดอาการน้ำหนักขึ้น อุ้ยอ้าย ไม่สามารถช่วยเหลือเจ้าชะตาได้ ก็อย่าพึ่งไปทิ้งเค้าซะละ อยู่กันมาตั้งนาน ช่วยกันสร้างอนาคตมาถึงระดับนี้แล้ว แค่รูปร่างหน้าตาช่วงนั้นไม่สวย อ้วนอุ้ยอ้าย หรือแค่อาละวาดเพราะอยู่ในช่วงนั้นของเดือน ก็คิดจะหย่าซะแล้วหรือ ที่จริงอีกไม่นานเค้าก็จะกลับมานิสัยดีหรือสวยใหม่ได้อีก ไม่เชื่อก็ลองดู ทั้งนี้ต้องยกเว้นเมียน้อยที่นิสัยเสียมาตั้งแต่ต้น ถ้าอย่างนั้นการคิดจะหย่าแล้วหาใหม่ก็อยู่ในดุลพินิจที่สมควรอยู่บ้าง
ในช่วงเวลาที่เกิดปัญหา ที่เมียน้อยไม่สามารถช่วยได้ ทำไมไม่คิดถึงเมียหลวงที่ยกขึ้นหิ้งเอาไว้ ลองอัญเชิญจากหิ้งมาออกงานบ้างก็ดีนะ เพราะเมียหลวง (ชื่อเล่น) เป็นแม่พระ แม่ศรีเรือน ที่บุพพการีซึ่งเสมือนพรหมของลูกคัดสรรมาให้ ย่อมต้องมีอะไรดีๆที่ปกติไม่แสดงความสามารถออกมาให้เห็นเท่านั้นเอง ซึ่งโดยปกติผู้ชายมักจะหลงไหลเมียน้อย แต่ก็ให้ความเกรงใจกับเมียหลวง การที่ออกงานกับเมียหลวงจึงมักจะต้องวางท่านิดๆ มีสติหน่อยๆ ไม่วอกแวกจนเกินเหตุ ก็น่าจะดีนะถ้าช่วงที่มีปัญหาลองพาเมียหลวงออกงานบ้างก็ดี
การที่มองหาเมียน้อยคนใหม่มาจดทะเบียนแทนคนเดิมนั้น ปัญหาที่ตามมามีมากมาย เช่น การแบ่งทรัพย์สิน การแก้ไขเอกสารสัญญาต่างๆ ที่ได้ร่วมกันกระทำไว้ อีกทั้งยังไม่รู้ว่าคนใหม่ที่จะจดทะเบียนจะดีหรือปล่าวอีกด้วย อาจจะได้แบบรูปสวยหน้าตาดี มีฐานะชาติตระกูลใช้ได้ แต่ไม่มีความสามารถ หรือเข้ากับตัวเองไม่ได้ก็เป็นได้
ทั้งนี้และทั้งนั้น เป็นการอุปมาขึ้นมาเฉยๆ ให้อ่านเล่นๆ โดยยกตัวอย่างเจ้าชะตาเป็นผู้ชาย ครั้นจะยกตัวอย่างเจ้าชะตาเป็นผู้หญิงแล้วพูดแบบมีทั้งผัวหลวงและผัวน้อย ก็ดูกระไรอยู่ เอาเป็นว่าอ่านกันสนุกๆ ก็แล้วกัน
เขียนเล่นโดยนายสอบตก
เรื่องบางอย่างเกี่ยวกับชื่อ...
อาจารย์ยาจกซู เคยเปรียบเทียบชื่อเหมือนเสื้อผ้า ผมก็มีข้อคิดเห็นบางอย่างมาให้อ่านเล่นๆ เกี่ยวกับเรื่องของชื่อด้วยเช่นกัน
ถ้าเรามาลองคิดดู จะเห็นว่าคนไทยเราถูกคลุมถุงชนมาตั้งแต่เกิด กล่าวคือ เมื่อแรกเกิดบุพพการีได้ตั้งชื่อให้ ส่วนใหญ่จะตั้งชื่อเล่นให้ก่อน เปรียบเสมือนท่านได้หาเนื้อคู่มาให้เราตั้งแต่แรก โดยชื่อแรกซึ่งมักจะเป็นชื่อเล่นนั้น เสมือนกับเมียที่แต่งตามประเพณี โดยที่ผู้ใหญ่เป็นคนเลือกหามาให้ เป็นการเลือกที่เกิดจากจิตเจตนาอันบริสุทธิ์ ชื่อเล่นจึงเปรียบเหมือนแม่ศรีเรือนโดยแท้
ต่อมาบุพพการีได้พิจารณาแล้วว่า เมียคนนี้(ชื่อเล่น) ถึงแม้จะเป็นแม่ศรีเรือน แต่หน้าตาอาจจะขี้ริ้วขี้เหร่เกินกว่าที่จะพาออกงานได้ จึงจัดการหาภรรยาน้อยให้ ซึ่งอาจจะหาเองหรือให้พ่อสื่อ( พระ หมอดู หรือผู้มีความรู้ หรือผู้รู้บ้างไม่รู้บ้างแต่มาดดี )เป็นผู้หาให้ และนำไปจดทะเบียนแต่งงานเป็นภรรยาแต่งตามกฏหมายเพื่อที่จะได้นำไปออกงานได้ อย่างไม่เคอะเขิน กลายเป็นว่าคนไทยเรามีเมียสองคน เมียหลวงมักจะอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน(บางคนพออยู่นานๆ ก็ยกเมียหลวงขึ้นหิ้ง) และก็พาเมียน้อย(ชื่อจริง)ซึ่งจดทะเบียนสมรสถูกต้องตามกฏหมายออกงานอยู่เสมอ คนอื่นๆจึงมักจะเห็นหน้าเมียน้อยมากกว่าเมียหลวง ยกเว้นคนที่สนิทกันจึงจะได้พบเห็นเมียหลวงด้วย
เมื่อมีการออกงานบ่อยๆ มีบ้างบางครั้งที่คนอื่นทักถึงหน้าตาเมียน้อยว่า ทำไมหน้าตาไม่สวย (ชื่อจริงมีอักษรกาลกิณี) หรือบางครั้งมีปัญหาในเรื่องต่างๆเกิดขึ้นในชีวิต แล้วคนอื่นบอกว่าเมียน้อยเป็นคนคอยถ่วง (บางครั้งคนเหล่านี้ไม่ได้รู้ความจริงเลย แต่ชอบออกความเห็น ทั้งๆที่เป็นเรื่องระหว่างผัวเมีย แต่คนเหล่านี้ชอบทำตัวเป็นมือที่สาม)
ก็กลายเป็นว่าเมียน้อยมักจะเป็นแพะรับบาปอยู่เสมอ บางคนถึงกับอยากจะหย่าและหาเมียน้อยใหม่มาจดทะเบียน ทั้งๆที่ตอนเงินขาดมือ ก็เพราะไปกินไปเที่ยวด้วยกันกับเมียน้อย ตอนทะเลาะกับผู้อื่น เมียน้อยไม่ได้ไปช่วยทะเลาะกับเขาด้วยหรืออาจช่วยบ้างแต่ก็ไม่มาก แต่ก็ไปโทษเมียน้อยซะทุกอย่าง คงกะหาเรื่องเปลี่ยนใหม่ให้มันกระชุ่มกระชวยหัวใจบ้างเท่านั้น แถมยังหวังว่าเมียน้อยคนใหม่คงจะสวย รวย เริ่ดซะไม่มีเสียอีก บางคนเมื่อหย่ากะเมียน้อยแล้วไปมองหาเมียน้อยคนใหม่(เมียหลวงไม่กล้าเปลี่ยน เกรงใจผู้ใหญ่ที่หามาแต่งตามประเพณี คงเปลี่ยนได้แต่เมียน้อยเท่านั้น) ก็ใช่ว่าจะได้เมียดี อาจจะได้แค่เมียสวยเท่านั้น ไม่ได้ช่วยเหลือในหน้าที่ชีวิตการงานการเงินเลยก็มี สุดท้ายก็ต้องซมซานกลับมาหาเมียน้อยที่ผู้ใหญ่จับจดทะเบียนคนแรกอยู่ดี
สรุปจากข้อความข้างบนได้ มีข้อคิดมาหลายอย่างเช่น
การหาเมียน้อย(ชื่อจริง) นอกจากจะดูที่หน้าตา (ทักษาวันเกิดกับความหมายทางภาษาศาสตร์) ดูนิสัยใจคอ (โหราศาสตร์ไทย/จาตุรงคโชค) ดูพื้นฐานชาติตระกูลฐานะเดิม (เลขศาสตร์) แล้ว ยังต้องดูด้วยว่า เมียน้อยคนนั้นเหมาะสมกับเจ้าชะตาหรือไม่ บางที่ชื่อจริงดูแล้ว ทั้งสวย รวย นิสัยดี แต่ดันไม่เหมาะที่จะอยู่กับเราซะเนี่ย อย่างน้อยควรจะดูถึงดวงสมพงษ์ด้วยว่า อยู่กับเราแล้วจะดีหรือไม่ อยู่แล้วรุ่งเรืองหรือรุ่งริ่งกันแน่ด้วย จะได้ไม่ต้องมองหาสาวๆ มาจดทะเบียนใหม่อีก
บางครั้งบางช่วง เมียน้อยก็เกิดอาการน้ำหนักขึ้น อุ้ยอ้าย ไม่สามารถช่วยเหลือเจ้าชะตาได้ ก็อย่าพึ่งไปทิ้งเค้าซะละ อยู่กันมาตั้งนาน ช่วยกันสร้างอนาคตมาถึงระดับนี้แล้ว แค่รูปร่างหน้าตาช่วงนั้นไม่สวย อ้วนอุ้ยอ้าย หรือแค่อาละวาดเพราะอยู่ในช่วงนั้นของเดือน ก็คิดจะหย่าซะแล้วหรือ ที่จริงอีกไม่นานเค้าก็จะกลับมานิสัยดีหรือสวยใหม่ได้อีก ไม่เชื่อก็ลองดู ทั้งนี้ต้องยกเว้นเมียน้อยที่นิสัยเสียมาตั้งแต่ต้น ถ้าอย่างนั้นการคิดจะหย่าแล้วหาใหม่ก็อยู่ในดุลพินิจที่สมควรอยู่บ้าง
ในช่วงเวลาที่เกิดปัญหา ที่เมียน้อยไม่สามารถช่วยได้ ทำไมไม่คิดถึงเมียหลวงที่ยกขึ้นหิ้งเอาไว้ ลองอัญเชิญจากหิ้งมาออกงานบ้างก็ดีนะ เพราะเมียหลวง (ชื่อเล่น) เป็นแม่พระ แม่ศรีเรือน ที่บุพพการีซึ่งเสมือนพรหมของลูกคัดสรรมาให้ ย่อมต้องมีอะไรดีๆที่ปกติไม่แสดงความสามารถออกมาให้เห็นเท่านั้นเอง ซึ่งโดยปกติผู้ชายมักจะหลงไหลเมียน้อย แต่ก็ให้ความเกรงใจกับเมียหลวง การที่ออกงานกับเมียหลวงจึงมักจะต้องวางท่านิดๆ มีสติหน่อยๆ ไม่วอกแวกจนเกินเหตุ ก็น่าจะดีนะถ้าช่วงที่มีปัญหาลองพาเมียหลวงออกงานบ้างก็ดี
การที่มองหาเมียน้อยคนใหม่มาจดทะเบียนแทนคนเดิมนั้น ปัญหาที่ตามมามีมากมาย เช่น การแบ่งทรัพย์สิน การแก้ไขเอกสารสัญญาต่างๆ ที่ได้ร่วมกันกระทำไว้ อีกทั้งยังไม่รู้ว่าคนใหม่ที่จะจดทะเบียนจะดีหรือปล่าวอีกด้วย อาจจะได้แบบรูปสวยหน้าตาดี มีฐานะชาติตระกูลใช้ได้ แต่ไม่มีความสามารถ หรือเข้ากับตัวเองไม่ได้ก็เป็นได้
ทั้งนี้และทั้งนั้น เป็นการอุปมาขึ้นมาเฉยๆ ให้อ่านเล่นๆ โดยยกตัวอย่างเจ้าชะตาเป็นผู้ชาย ครั้นจะยกตัวอย่างเจ้าชะตาเป็นผู้หญิงแล้วพูดแบบมีทั้งผัวหลวงและผัวน้อย ก็ดูกระไรอยู่ เอาเป็นว่าอ่านกันสนุกๆ ก็แล้วกัน
เขียนเล่นโดยนายสอบตก