เรามักได้ยินประโยคยอดฮิตของวัยรุ่นที่ว่า “เป็นวัยรุ่นมันเหนื่อย” เวลาที่วัยรุ่นเจอปัญหา อุปสรรค และด้วยประสบการณ์อันน้อยนิด รวมทั้งฮอร์โมนเพศอันพลุ่งพล่านของพวกเขา ส่งผลให้เกิดการกระทำเพื่อแก้ปัญหาต่างๆไปในทางที่พลาดที่ผิดอยู่บ่อยครั้ง ทั้งที่ความเป็นจริง ชีวิตไม่ว่าวัยไหนมันก็เหนื่อยไม่ต่างกัน ยิ่งโตเป็นผู้ใหญ่จะยิ่งรู้ว่าปัญหาที่รอให้แก้นั้นมีมากมายมหาศาล มันดาเข้ามาอย่างไม่พักรอให้เราสะสางปัญหาเก่าๆให้เรียบร้อยซะก่อน ผู้ใหญ่ก็เลยมีประโยคของตัวเองที่ว่า “อดีตมันหอมหวาน” และบางครั้งมันทำให้เรา “อยากกลับไปเยี่ยมเยือนความเป็นเด็กอีกสักครั้ง” เพราะเรามักรู้สึกกันว่า นั่นคือวัยวันที่เรามีความสุข เราสนุก เราเฮฮา และที่สำคัญเรามีเพื่อนสนิทที่อยู่เคียงข้างเราเสมอ
ทุกครั้งที่มีโอกาสได้ดูหนังวัยรุ่น เราจึงมักรู้สึกว่า ไม่ว่าตัวละครมันจะกาก มันจะเกรียน หรือมันจะหาทางแก้ปัญหาด้วยวิธีที่ติ่งต้อยชวนให้ขัดใจอย่างไรก็ตาม เราก็มักจะเอาใจช่วยให้มันผ่านปัญหาเหล่านั้นไปได้ด้วยดี นั่นเพราะส่วนหนึ่งเราไม่ได้แค่เห็นตัวละครในเรื่องกำลังพยายามแก้ปัญหา แต่เราเห็นบางเสี้ยวของตัวเราซ้อนทับตัวละครนั้นด้วย จำได้ว่าเมื่อปีกว่าๆก็เคยลุ้นเอาใจช่วยกลุ่มเด็กแสบรักดนตรีให้มันเอาชนะอุปสรรคและใจตัวเองเพื่อตามความฝันได้สำเร็จใน SuckSeed ห่วยขั้นเทพ หรือนานกว่านั้นอีกนิดก็เคยลุ้นให้ไอ้พวกเด็กกากชมรมวอลเล่ย์บอลชายที่ฝีมือแสนจะห่วยแตกชนะการแข่งขันสักนัด ใน Oppai Volleyball ซึ่งสุดท้ายไม่ว่าเหล่าตัวละครจะชนะหรือพ่ายแพ้ แต่สิ่งที่พวกเขาได้เรียนรู้ระหว่างการก้าวผ่านหนทางนั้นก็คือบทเรียนชีวิต การรู้ผิด รู้ถูก และสามารถแก้ไขปัญหาและอุปสรรคด้วยตัวพวกเขาเอง
ปีนี้ได้มีโอกาสลุ้นเอาใจช่วยให้ชีวิตของเด็กเกรียนกลุ่มหนึ่งกลับเขาสู่ทางเดินที่ถูกที่ควรตามวิถีตามครรลอง(ที่ตั้งโดยใครที่เราไม่รู้จัก)อีกครั้ง ในหนังชื่อเรื่องแสนธรรมดาแต่เนื้อในไม่ธรรมดา “เกรียนฟิคชั่น”
แรกเริ่มรู้จัก ‘เกรียน’
ออกตัวก่อนว่าชื่นชอบงานกำกับหนังยาว(ขอเน้นว่าหนังยาว)ของคุณมะเดี่ยวมากๆ ตั้งแต่ คน ผี ปีศาจ ที่ทำให้เราต้องเอาผ้าห่มมาคลุมโปงดู หลังจากนั้นตามดูผลงานของคุณมะเดี่ยวมาทุกเรื่อง จนเรื่องล่าสุด Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ ก็เป็นความทรงจำที่แสนดีสมชื่อเรื่อง หลังจากนั้นก็เฝ้ารอหนังคุณมะเดี่ยวเรื่องต่อไป และหวังว่าจะเป็นหนังแนวๆ Home และ รักแห่งสยาม นี่แหล่ะ (แอบคิดว่ายังไม่อยากให้มะเดี่ยวกำกับ 14 เพราะอยากดูหนังชีวิตลึกซึ้งแบบมะเดี่ยวต่อไปอีกหลายๆเรื่อง)
จนกระทั่งต้นปีได้ข่าวที่ทำให้ดีใจว่ามะเดี่ยวเปิดกล้องหนังเรื่องใหม่แล้ว แต่พอเห็นชื่อเรื่อง “เกรียนฟิคชั่น” พร้อมทีมนักแสดงเช่น กิ๊บซี่ ตั๊ก บริบูรณ์ ทำไมต่อมความอยากดูมันตกไปอยู่ที่ตาตุ่มก็ไม่รู้ แม้จะแอบคิดอยู่ในใจว่าหนังเกรียนๆแบบมะเดี่ยวมันต้องไม่ใช่ความเกรียนดาษดื่นทั่วๆไปแน่ๆ ถ้าจะมีอะไรที่ชวนให้สนใจหนังเรื่องนี้คงเป็นน้องแจ๊คที่ทำคะแนนตอนเล่น Home ไว้ได้ดีมากๆ แต่ก็คิดว่าเมื่อมะเดี่ยวมาท่านี้ เรื่องนี้ก็จะขออุดหนุนแผ่นเท่านั้นละกันนะ
หลังจากนั้นไม่นานก็มีป้ายโฆษณาหนังให้เห็นตามเสาใต้ทางรถไฟฟ้า รู้สึกแปลกใจว่าทำไมถ่ายเร็วจัง จะเข้าฉายแล้วเหรอ เห็นหน้าหนังผ่านโปสเตอร์แล้วความอยากดูยิ่งต่ำลงไปอีก แถมหน้าตานักแสดงหน้าใหม่ทั้งหลายก็ไม่ดึงดูดให้อยากเสียเงินเข้าไปดูในโรงเลย ทำให้แม้จะเห็นคนแชร์ตัวอย่างหนังผ่านเฟซบุ๊คอยู่บ้าง แต่ก็ไม่คิดจะเปิดเข้าไปดู งานนี้ยังยืนยันคำเดิม รออุดหนุมแผ่นนะคุณมะเดี่ยว
แล้วก็ถึงวันเริ่ม ‘เกรียน’
แม้จะไม่ได้คิดไปดูหนัง แต่ด้วยความที่เป็นแฟนคุณมะเดี่ยวและแอบคิดว่าหนังมันต้องไม่ธรรมดา พอหนังฉายรอบสื่อมวลชน เลยแอบตามดูปฏิกิริยาคนที่ไปดู แล้วก็จริงดังคาด เสียงวิจารณ์ส่วนใหญ่ไปนทางชื่นชม ตอนนั้นยังแอบคิดว่า “ว่าแล้วไม่มีผิด หนังเกรียนๆของมะเดี่ยวต้องไม่ธรรมดา” พอเบาใจเรื่องคำวิจารณ์จากรอบสื่อแล้วก็ไม่ได้สนใจอะไรอีก ยังไม่เปลี่ยนความคิดที่ว่าจะรอแผ่น แต่นานวันเข้า เสียงแซ่ซ้องยิ่งมาก ทั้งในเว็บบอร์ดและในกลุ่มโซเชียล สิ่งที่ทำให้เริ่มเปลี่ยนความคิดว่าอยากไปดูในโรงคือคำที่คนพูดกันว่า “ร้องไห้” “น้ำตาไหล” “อิ่มเอม” และ “จะไปซ้ำอีกรอบ” มันดีขนาดนั้นเลยเหรอ
แล้วหลังหาเพื่อนร่วม ‘เกรียน’ ได้ ก็เลยตัดสินใจไปดูในโรงให้หายคาใจ ไปดูในช่วงปลายโปรแกรมที่เขาไม่ดูกันแล้ว จนคนขายตั๋วพูดให้หวั่นว่า “ขอแจ้งล่วงหน้านะคะว่า ถ้ารอบนี้มีคนดูไม่ถึง 3 คนจะขออนุญาตงดการฉาย ลูกค้าสามารถคืนตั๋วหรือเปลี่ยนเรื่องที่ต้องการจะชมได้” ระหว่างรอหนังเข้าก็ใจเต้นตุ๊มๆต่อมๆว่าจะได้ดูไหม มันยังมีคนอยากดูเหมือนเรารึเปล่า สุดท้ายโชคดีมีเพื่อนร่วมเจตนารมณ์ตั้งสิบกว่าคน
เข้าไปนั่งดูแบบปล่อยใจให้หนังพาไปเต็มที่ เพราะไม่รู้เรื่องย่อมาก่อน ตัวอย่างก็ผ่านตาแบบผ่านๆจริงๆ แล้วมันก็กลายเป็น 2 ชั่วโมงกว่าๆที่แสนมีความสุข มันทำให้เราทั้งขำ ทั้งยิ้ม ทั้งลุ้น ทั้งซึ้ง ทั้งซึม ทั้งเศร้า แต่สุดท้ายก็อิ่มเอม ตื้นตัน และกลับบ้านโดยมีอะไรลอยวนๆฟุ้งๆอยู่ในหัวไปตลอด จนกลายเป็น “เกรียนฟีเวอร์” ต้องไปซ้ำ ต้องไปถอน อีกหลายรอบ (ดูวันเว้นวันกันเลยทีเดียว โชคดีมีคนดูมากกว่า 3 คนทุกรอบ ฮา)
สิ่งที่เป็นเสน่ห์ของหนังเรื่องนี้คือเรื่องราวที่ยังฉายความเป็นหนังมะเดี่ยวชัดเจน ในแบบที่คนรักหนังมะเดี่ยวเรื่องอื่นๆจะตกหลุมรักได้ไม่ยาก เพราะมันยังพูดเรื่องความสัมพันธ์ได้แลดูจริงไม่ใช่เป็นแค่เรื่องปั้นแต่ง เขาทำให้ตัวละครมีชีวิต เป็นมนุษย์ที่จับต้องได้ ไม่ได้ดีเลิศ คือมีด้านดี แต่ก็ยังมีมุมที่ยังคิดถึงเรื่องของตัวเองหรือเอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางอยู่ ไม่เว้นแม้แต่ตัวเอกอย่างตี๋ ที่แม้จะเล่าเรื่องในมุมของเขา แต่เราก็ยังเห็นความคิดแบบเด็กๆที่ตี๋เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของเรื่องในตอนที่โมโหที่เพื่อนๆไม่ลงมาตามหาตอนที่เขาหนีกลับบ้าน
ส่วนที่ทำให้หลงรักหนัง ‘เกรียน’
ตัวละครรายล้อมตี๋แม้จะเราจะไม่เห็นรายละเอียดหรือตัวตนของพวกเขาชัดเท่า แต่ทุกตัวต่างมีเรื่องราวและช่วงจำของตัวเอง ไม่ใช่ตัวละครที่ผ่านเข้ามาและผ่านไปอย่างไร้จุดหมาย และส่งผลให้ทุกการกระทำ ทุกการตัดสินใจของตัวตี๋มันมีผล มีความน่าเชื่อถือ บางตัวละครแม้จะเกลียดมาตลอดทั้งเรื่อง แต่สุดท้ายเราก็ยังเอาใจช่วยให้ได้พบกับความสุขในชีวิต
ปริศนาที่มะเดี่ยวใส่ไว้ให้ขบคิด ที่ชัดที่สุดคือทำไมโมนพัทยาต้องมีหน้าตาและชื่อที่เหมือนโมนเพื่อนตี๋อย่างกะโคลนนิ่งกันมา ดูเหมือนจะยังไม่มีใครหาคำตอบที่ชัดเจนได้(ต่างคนต่างคิดในทฤษฎีตน) แต่ส่วนตัวคิดว่ามันน่าจะเกี่ยวข้องกับฉากหนึ่งที่ตี๋เล่าว่าเพื่อนๆทุกคนต่างมีจุดหมายเรื่องเรียนกันหมดแล้ว เหลือแต่เขากับโมนเท่านั้น ซึ่งเมื่อมาอยู่พัทยาเจอกับโมนพัทยา ชีวิตของตี๋ก็ยังไร้จุดหมายอยู่เช่นเดิม
จุดหักมุมทั้งหลาย ประเดประดังเข้ามาหาตี๋จนคนดูอย่างเรายังเหนื่อยแทน อย่างที่บอกว่าไม่ได้รู้เรื่องย่อ ดูหนังตัวอย่าง กระทู้หรือคำวิจารณ์ก็อ่านแต่หัว มันเลยตะลึงไปซะทุกฉากที่ตี๋เจอ ทั้งฉากบนเวทีละคร ฉากคำถาม 3 วิทั้งในรีสอร์ทและบนรถไฟ
เพลงประกอบที่นอกจากจะเพราะเอาโล่ห์แล้ว ยังเข้ากับเนื้อหาและบางตอนยังเล่าแทนอารมณ์และความรู้สึกของตัวละครได้อีกด้วย เพลงที่ขอยกให้เป็นเพลงพิเศษคงต้องเป็นเพลง จุดหมาย ที่พาอารมณ์คนดูอย่างเราไปถึงจุดสูงสุดของทั้งความสุข เศร้า เหงา ซึ้ง ได้อย่างไม่น่าเชื่อ
และสุดท้ายที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้ ตัวละครตี๋และน้องที่รับบทเป็นตี๋ ยังไม่รู้ว่าถ้าเป็นคนอื่นแสดงในบทนี้ เราจะอินอย่างที่เราอินอยู่หรือเปล่า ขอชมว่าน้องไม่ได้ให้แค่การแสดงที่ถึงเท่านั้น แต่น้ำเสียงของน้องในขณะที่กำลังเล่าเรื่องให้เราฟังมันยังดังก้องๆฟุ้งๆอยู่ในหัว หลายๆคำที่ออกจากปากน้องมันบาดลึกในความรู้สึกของพี่มากๆ
ชอบหน้าน้องในฉากที่แสดงละครเวทีกับพลอยดาวในวันจริงมาก หน้าน้องแลดูมีความสุข แต่ในฉับพลันที่เกิดเหตุพลิกผันหน้าน้องก็เปลี่ยนอารมณ์จนเราเป็นห่วงตาม ตอนที่น้องไปเคาะประตูห้องน้ำแล้วบอกพี่สาวว่าคืนนี้ตี๋จะเล่นละครเวที แล้วไม่ได้รับการตอบสนอง สีหน้าที่เปลี่ยนเป็นความผิดหวังมันแลเห็นได้ จนพี่อยากเข้าไปปลอบ หน้าน้องตอนที่รู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนกับพลอยดาว ยิ่งตอนที่น้องคุยกับเพื่อน 2 ต่อ 2 หลังจากนั้น แล้วน้องยิ้มให้เพื่อนก่อนจะเดินจากมา มันทำเอาพี่เกือบตาย และฉากที่น้องพยักหน้าแล้วยิ้มให้พี่สาวบนรถไฟตอนที่พี่สาวบอกว่า “ตี๋ ไม่ว่ากันนะ” พี่น้ำตาซึมเลยนะ แม้ก่อนหน้านั้นจะรวดร้าวกับคำพูดของน้องหลังพี่สาวถามว่า “จำได้ไหม ใครทิ้งชั้นเป็นคนแรก” แล้วน้องตอบว่า “ไม่จำและไม่อยากจำ” (ดูรอบแรกไม่เก็ท เพราะตามไม่ทัน แต่รอบต่อมาคิดว่าหมายถึง....ของตี๋ใช่มั้ย)
สุดท้ายของสุดท้าย อยากขอบคุณคุณมะเดี่ยวมากๆที่ทำหนังเรื่องนี้ให้ดู ให้เราสุข เศร้า เหงา และย้อนกลับไปคิดถึงอดีตอันหอมหวลและว้าวุ่นไม่ต่างจากที่ตัวละคตรในเรื่องได้พบเจอ ได้นึกถึงเพื่อนบางคนที่เราไม่ได้นึกถึงเสียนาน และหลังหนังจบมันเป็นกำลังใจชั้นดีให้เรามีเรี่ยวมีแรงเดินต่อ ถ้าไม่เป็นการขอมากเกินไป อยากเห็น BoxSet สำหรับคนรักหนังเรื่องนี้ในอีก 3 – 4เดือนข้างหน้า และเชื่อแน่ว่าหลังหนังออกแผ่น คงมีคนที่พลาดการชมในโรงมาตั้งกระทู้และบอกเล่าความรู้สึกที่มีต่อหนังไม่ต่างจากคนที่อินจัดๆตอนดูในโรงเช่นเรา จะรอวันนั้น
เกรียนฟิคชั่น....เขียนถึงกันวันที่หนังเกือบลาโรง (สปอยเป็นระยะ)
ทุกครั้งที่มีโอกาสได้ดูหนังวัยรุ่น เราจึงมักรู้สึกว่า ไม่ว่าตัวละครมันจะกาก มันจะเกรียน หรือมันจะหาทางแก้ปัญหาด้วยวิธีที่ติ่งต้อยชวนให้ขัดใจอย่างไรก็ตาม เราก็มักจะเอาใจช่วยให้มันผ่านปัญหาเหล่านั้นไปได้ด้วยดี นั่นเพราะส่วนหนึ่งเราไม่ได้แค่เห็นตัวละครในเรื่องกำลังพยายามแก้ปัญหา แต่เราเห็นบางเสี้ยวของตัวเราซ้อนทับตัวละครนั้นด้วย จำได้ว่าเมื่อปีกว่าๆก็เคยลุ้นเอาใจช่วยกลุ่มเด็กแสบรักดนตรีให้มันเอาชนะอุปสรรคและใจตัวเองเพื่อตามความฝันได้สำเร็จใน SuckSeed ห่วยขั้นเทพ หรือนานกว่านั้นอีกนิดก็เคยลุ้นให้ไอ้พวกเด็กกากชมรมวอลเล่ย์บอลชายที่ฝีมือแสนจะห่วยแตกชนะการแข่งขันสักนัด ใน Oppai Volleyball ซึ่งสุดท้ายไม่ว่าเหล่าตัวละครจะชนะหรือพ่ายแพ้ แต่สิ่งที่พวกเขาได้เรียนรู้ระหว่างการก้าวผ่านหนทางนั้นก็คือบทเรียนชีวิต การรู้ผิด รู้ถูก และสามารถแก้ไขปัญหาและอุปสรรคด้วยตัวพวกเขาเอง
ปีนี้ได้มีโอกาสลุ้นเอาใจช่วยให้ชีวิตของเด็กเกรียนกลุ่มหนึ่งกลับเขาสู่ทางเดินที่ถูกที่ควรตามวิถีตามครรลอง(ที่ตั้งโดยใครที่เราไม่รู้จัก)อีกครั้ง ในหนังชื่อเรื่องแสนธรรมดาแต่เนื้อในไม่ธรรมดา “เกรียนฟิคชั่น”
แรกเริ่มรู้จัก ‘เกรียน’
ออกตัวก่อนว่าชื่นชอบงานกำกับหนังยาว(ขอเน้นว่าหนังยาว)ของคุณมะเดี่ยวมากๆ ตั้งแต่ คน ผี ปีศาจ ที่ทำให้เราต้องเอาผ้าห่มมาคลุมโปงดู หลังจากนั้นตามดูผลงานของคุณมะเดี่ยวมาทุกเรื่อง จนเรื่องล่าสุด Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ ก็เป็นความทรงจำที่แสนดีสมชื่อเรื่อง หลังจากนั้นก็เฝ้ารอหนังคุณมะเดี่ยวเรื่องต่อไป และหวังว่าจะเป็นหนังแนวๆ Home และ รักแห่งสยาม นี่แหล่ะ (แอบคิดว่ายังไม่อยากให้มะเดี่ยวกำกับ 14 เพราะอยากดูหนังชีวิตลึกซึ้งแบบมะเดี่ยวต่อไปอีกหลายๆเรื่อง)
จนกระทั่งต้นปีได้ข่าวที่ทำให้ดีใจว่ามะเดี่ยวเปิดกล้องหนังเรื่องใหม่แล้ว แต่พอเห็นชื่อเรื่อง “เกรียนฟิคชั่น” พร้อมทีมนักแสดงเช่น กิ๊บซี่ ตั๊ก บริบูรณ์ ทำไมต่อมความอยากดูมันตกไปอยู่ที่ตาตุ่มก็ไม่รู้ แม้จะแอบคิดอยู่ในใจว่าหนังเกรียนๆแบบมะเดี่ยวมันต้องไม่ใช่ความเกรียนดาษดื่นทั่วๆไปแน่ๆ ถ้าจะมีอะไรที่ชวนให้สนใจหนังเรื่องนี้คงเป็นน้องแจ๊คที่ทำคะแนนตอนเล่น Home ไว้ได้ดีมากๆ แต่ก็คิดว่าเมื่อมะเดี่ยวมาท่านี้ เรื่องนี้ก็จะขออุดหนุนแผ่นเท่านั้นละกันนะ
หลังจากนั้นไม่นานก็มีป้ายโฆษณาหนังให้เห็นตามเสาใต้ทางรถไฟฟ้า รู้สึกแปลกใจว่าทำไมถ่ายเร็วจัง จะเข้าฉายแล้วเหรอ เห็นหน้าหนังผ่านโปสเตอร์แล้วความอยากดูยิ่งต่ำลงไปอีก แถมหน้าตานักแสดงหน้าใหม่ทั้งหลายก็ไม่ดึงดูดให้อยากเสียเงินเข้าไปดูในโรงเลย ทำให้แม้จะเห็นคนแชร์ตัวอย่างหนังผ่านเฟซบุ๊คอยู่บ้าง แต่ก็ไม่คิดจะเปิดเข้าไปดู งานนี้ยังยืนยันคำเดิม รออุดหนุมแผ่นนะคุณมะเดี่ยว
แล้วก็ถึงวันเริ่ม ‘เกรียน’
แม้จะไม่ได้คิดไปดูหนัง แต่ด้วยความที่เป็นแฟนคุณมะเดี่ยวและแอบคิดว่าหนังมันต้องไม่ธรรมดา พอหนังฉายรอบสื่อมวลชน เลยแอบตามดูปฏิกิริยาคนที่ไปดู แล้วก็จริงดังคาด เสียงวิจารณ์ส่วนใหญ่ไปนทางชื่นชม ตอนนั้นยังแอบคิดว่า “ว่าแล้วไม่มีผิด หนังเกรียนๆของมะเดี่ยวต้องไม่ธรรมดา” พอเบาใจเรื่องคำวิจารณ์จากรอบสื่อแล้วก็ไม่ได้สนใจอะไรอีก ยังไม่เปลี่ยนความคิดที่ว่าจะรอแผ่น แต่นานวันเข้า เสียงแซ่ซ้องยิ่งมาก ทั้งในเว็บบอร์ดและในกลุ่มโซเชียล สิ่งที่ทำให้เริ่มเปลี่ยนความคิดว่าอยากไปดูในโรงคือคำที่คนพูดกันว่า “ร้องไห้” “น้ำตาไหล” “อิ่มเอม” และ “จะไปซ้ำอีกรอบ” มันดีขนาดนั้นเลยเหรอ
แล้วหลังหาเพื่อนร่วม ‘เกรียน’ ได้ ก็เลยตัดสินใจไปดูในโรงให้หายคาใจ ไปดูในช่วงปลายโปรแกรมที่เขาไม่ดูกันแล้ว จนคนขายตั๋วพูดให้หวั่นว่า “ขอแจ้งล่วงหน้านะคะว่า ถ้ารอบนี้มีคนดูไม่ถึง 3 คนจะขออนุญาตงดการฉาย ลูกค้าสามารถคืนตั๋วหรือเปลี่ยนเรื่องที่ต้องการจะชมได้” ระหว่างรอหนังเข้าก็ใจเต้นตุ๊มๆต่อมๆว่าจะได้ดูไหม มันยังมีคนอยากดูเหมือนเรารึเปล่า สุดท้ายโชคดีมีเพื่อนร่วมเจตนารมณ์ตั้งสิบกว่าคน
เข้าไปนั่งดูแบบปล่อยใจให้หนังพาไปเต็มที่ เพราะไม่รู้เรื่องย่อมาก่อน ตัวอย่างก็ผ่านตาแบบผ่านๆจริงๆ แล้วมันก็กลายเป็น 2 ชั่วโมงกว่าๆที่แสนมีความสุข มันทำให้เราทั้งขำ ทั้งยิ้ม ทั้งลุ้น ทั้งซึ้ง ทั้งซึม ทั้งเศร้า แต่สุดท้ายก็อิ่มเอม ตื้นตัน และกลับบ้านโดยมีอะไรลอยวนๆฟุ้งๆอยู่ในหัวไปตลอด จนกลายเป็น “เกรียนฟีเวอร์” ต้องไปซ้ำ ต้องไปถอน อีกหลายรอบ (ดูวันเว้นวันกันเลยทีเดียว โชคดีมีคนดูมากกว่า 3 คนทุกรอบ ฮา)
สิ่งที่เป็นเสน่ห์ของหนังเรื่องนี้คือเรื่องราวที่ยังฉายความเป็นหนังมะเดี่ยวชัดเจน ในแบบที่คนรักหนังมะเดี่ยวเรื่องอื่นๆจะตกหลุมรักได้ไม่ยาก เพราะมันยังพูดเรื่องความสัมพันธ์ได้แลดูจริงไม่ใช่เป็นแค่เรื่องปั้นแต่ง เขาทำให้ตัวละครมีชีวิต เป็นมนุษย์ที่จับต้องได้ ไม่ได้ดีเลิศ คือมีด้านดี แต่ก็ยังมีมุมที่ยังคิดถึงเรื่องของตัวเองหรือเอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางอยู่ ไม่เว้นแม้แต่ตัวเอกอย่างตี๋ ที่แม้จะเล่าเรื่องในมุมของเขา แต่เราก็ยังเห็นความคิดแบบเด็กๆที่ตี๋เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของเรื่องในตอนที่โมโหที่เพื่อนๆไม่ลงมาตามหาตอนที่เขาหนีกลับบ้าน
ส่วนที่ทำให้หลงรักหนัง ‘เกรียน’
ตัวละครรายล้อมตี๋แม้จะเราจะไม่เห็นรายละเอียดหรือตัวตนของพวกเขาชัดเท่า แต่ทุกตัวต่างมีเรื่องราวและช่วงจำของตัวเอง ไม่ใช่ตัวละครที่ผ่านเข้ามาและผ่านไปอย่างไร้จุดหมาย และส่งผลให้ทุกการกระทำ ทุกการตัดสินใจของตัวตี๋มันมีผล มีความน่าเชื่อถือ บางตัวละครแม้จะเกลียดมาตลอดทั้งเรื่อง แต่สุดท้ายเราก็ยังเอาใจช่วยให้ได้พบกับความสุขในชีวิต
ปริศนาที่มะเดี่ยวใส่ไว้ให้ขบคิด ที่ชัดที่สุดคือทำไมโมนพัทยาต้องมีหน้าตาและชื่อที่เหมือนโมนเพื่อนตี๋อย่างกะโคลนนิ่งกันมา ดูเหมือนจะยังไม่มีใครหาคำตอบที่ชัดเจนได้(ต่างคนต่างคิดในทฤษฎีตน) แต่ส่วนตัวคิดว่ามันน่าจะเกี่ยวข้องกับฉากหนึ่งที่ตี๋เล่าว่าเพื่อนๆทุกคนต่างมีจุดหมายเรื่องเรียนกันหมดแล้ว เหลือแต่เขากับโมนเท่านั้น ซึ่งเมื่อมาอยู่พัทยาเจอกับโมนพัทยา ชีวิตของตี๋ก็ยังไร้จุดหมายอยู่เช่นเดิม
จุดหักมุมทั้งหลาย ประเดประดังเข้ามาหาตี๋จนคนดูอย่างเรายังเหนื่อยแทน อย่างที่บอกว่าไม่ได้รู้เรื่องย่อ ดูหนังตัวอย่าง กระทู้หรือคำวิจารณ์ก็อ่านแต่หัว มันเลยตะลึงไปซะทุกฉากที่ตี๋เจอ ทั้งฉากบนเวทีละคร ฉากคำถาม 3 วิทั้งในรีสอร์ทและบนรถไฟ
เพลงประกอบที่นอกจากจะเพราะเอาโล่ห์แล้ว ยังเข้ากับเนื้อหาและบางตอนยังเล่าแทนอารมณ์และความรู้สึกของตัวละครได้อีกด้วย เพลงที่ขอยกให้เป็นเพลงพิเศษคงต้องเป็นเพลง จุดหมาย ที่พาอารมณ์คนดูอย่างเราไปถึงจุดสูงสุดของทั้งความสุข เศร้า เหงา ซึ้ง ได้อย่างไม่น่าเชื่อ
และสุดท้ายที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้ ตัวละครตี๋และน้องที่รับบทเป็นตี๋ ยังไม่รู้ว่าถ้าเป็นคนอื่นแสดงในบทนี้ เราจะอินอย่างที่เราอินอยู่หรือเปล่า ขอชมว่าน้องไม่ได้ให้แค่การแสดงที่ถึงเท่านั้น แต่น้ำเสียงของน้องในขณะที่กำลังเล่าเรื่องให้เราฟังมันยังดังก้องๆฟุ้งๆอยู่ในหัว หลายๆคำที่ออกจากปากน้องมันบาดลึกในความรู้สึกของพี่มากๆ
ชอบหน้าน้องในฉากที่แสดงละครเวทีกับพลอยดาวในวันจริงมาก หน้าน้องแลดูมีความสุข แต่ในฉับพลันที่เกิดเหตุพลิกผันหน้าน้องก็เปลี่ยนอารมณ์จนเราเป็นห่วงตาม ตอนที่น้องไปเคาะประตูห้องน้ำแล้วบอกพี่สาวว่าคืนนี้ตี๋จะเล่นละครเวที แล้วไม่ได้รับการตอบสนอง สีหน้าที่เปลี่ยนเป็นความผิดหวังมันแลเห็นได้ จนพี่อยากเข้าไปปลอบ หน้าน้องตอนที่รู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนกับพลอยดาว ยิ่งตอนที่น้องคุยกับเพื่อน 2 ต่อ 2 หลังจากนั้น แล้วน้องยิ้มให้เพื่อนก่อนจะเดินจากมา มันทำเอาพี่เกือบตาย และฉากที่น้องพยักหน้าแล้วยิ้มให้พี่สาวบนรถไฟตอนที่พี่สาวบอกว่า “ตี๋ ไม่ว่ากันนะ” พี่น้ำตาซึมเลยนะ แม้ก่อนหน้านั้นจะรวดร้าวกับคำพูดของน้องหลังพี่สาวถามว่า “จำได้ไหม ใครทิ้งชั้นเป็นคนแรก” แล้วน้องตอบว่า “ไม่จำและไม่อยากจำ” (ดูรอบแรกไม่เก็ท เพราะตามไม่ทัน แต่รอบต่อมาคิดว่าหมายถึง....ของตี๋ใช่มั้ย)
สุดท้ายของสุดท้าย อยากขอบคุณคุณมะเดี่ยวมากๆที่ทำหนังเรื่องนี้ให้ดู ให้เราสุข เศร้า เหงา และย้อนกลับไปคิดถึงอดีตอันหอมหวลและว้าวุ่นไม่ต่างจากที่ตัวละคตรในเรื่องได้พบเจอ ได้นึกถึงเพื่อนบางคนที่เราไม่ได้นึกถึงเสียนาน และหลังหนังจบมันเป็นกำลังใจชั้นดีให้เรามีเรี่ยวมีแรงเดินต่อ ถ้าไม่เป็นการขอมากเกินไป อยากเห็น BoxSet สำหรับคนรักหนังเรื่องนี้ในอีก 3 – 4เดือนข้างหน้า และเชื่อแน่ว่าหลังหนังออกแผ่น คงมีคนที่พลาดการชมในโรงมาตั้งกระทู้และบอกเล่าความรู้สึกที่มีต่อหนังไม่ต่างจากคนที่อินจัดๆตอนดูในโรงเช่นเรา จะรอวันนั้น