Star wars กับ Star Trek มองผิวเผินหนังแนวเดียวกัน แต่ผมว่าต่างกันมากในความรู้สึก
Star wars เพ้อฝัน ประมาณ ลิเกอวกาศมีดาบเลเซอร์
Star Trek อยู่บนพื้นฐานความจริงซะส่วนใหญ่ มักจะจับต้องได้
ผมดู Star Trek สนุกกว่ามากๆ
into darkness ภาคสองหนังที่ผมอยากดูมากที่สุดในซัมเมอร์2013 นี้ไม่ทำให้ผิดหวังเลย ดูไปแค่กลางเรื่องก็รู้แล้วว่านี่เป็นหนังภาคต่อที่ดีกว่าภาคแรก (เท่าที่มีมาในโลกภาพยนตร์) ความดีของมันประมาณ The Godfather 1-2 ถึงขั้นนั้นเลย
มาดูที่บท
ข่าวลือระหว่างถ่ายทำ เรื่องข่านเป็นจริงครับในหนัง ยืมไอเดียมาจากภาคเก่าตอน wrath of khan แน่นอน และมีหลายตอนให้เห็นเช่น
ของเก่า สป๊อคตาย ของใหม่เคริ์กตาย
ฉากประสานมือ และสป๊อคทำสัญลักษณ์คลาสสิค
ชื่อตัวร้ายใช้ชื่อ ข่าน เหมือนกัน
สรุปได้ว่าโครงเรื่องนั้นยืมเอามาจากของเก่าแน่นอน เพียงแต่มาปรับให้ดูร้ายแบบทันสมัยขึ้น
การแสดง
เคิร์ก กับสป๊อค มอบการแสดงเทียบเท่าภาคแรก ภาคนี้ไม่ค่อยเล่นประเด็นเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของสองคนมากเท่าภาคแรก แต่สป๊อคเด่นขึ้น ฉากแอ๊กชั่นมากขึ้นได้เตะต่อยตอนท้าย
มีสป๊อคต้นฉบับมาแจมนิดหน่อย พอให้ไม่ลืม
ผู้การไพค์ ตายในภาคนี้ ส่วนพระเอกโรโบคอปฉบับออริจินอล มาแสดงเป็นตัวร้ายอีกตัวที่อยู๋ฝั่งสตาร์ฟลีท
มีการเปิดตัวชาวคลิงกอน และยาน เบิร์ด ออพ เพรย์ ในภาคนี้
ตัวละครลูกเรือกลับมากันครบ หน้าตาแก่ลง แต่บางคนก็ยังดูหนุ่มเหมือนภาคแรก เช่นซูลู และ Chekov ตัวละครใหม่ Dr. Carol Marcus สวยดีหน้าคุ้นๆ
ไซมอน เป๊ก จอมขโมยซีนเหมือนเดิม
เทคนิคพิเศษ
ต้องยอมรับว่า เทคนิคพิเศษในเรื่องนี้ ล้ำอออกไปมากกว่าภาคแรก คือนอกจากสมจริงแล้วยังดูดีสุดๆ เทคนิคพิเศษรับใช้หนังได้ดีที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาเลย ทำให้เราเชื่อว่านี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในอนาคต ไม่ว่าจะเป็น
ฉากยานเอนเตอร์ไพรซ์ บินในอวกาศ ในรูหนอนตอนทำวาร์ป
ฉากตกมาในบรรยากาศโลก ยิ่งใหญ่สมจริงสุดๆ
ฉากซ่อนยานในน้ำ บินขึ้นอวกาศ
ฉากหล่นบนปุยเมฆ
ฉากดิ่งอวกาศไปที่ยานอีกลำ (ครีเอทเหมือนภาคที่แล้ว)
ฉากเมืองสตาร์ฟลีท ที่ดูดีมากมาย
ฉากสะพานเดินเรื่อที่สวยที่สุด
เพลงประกอบ
เป็นส่วนที่หวัง แล้วก็ผิดหวังนิดๆ เหมือน composer ไม่คิดอะไรใหม่ๆเท่าไหร่เลยอ่า
end title ยังใช้ของเก่าอยู่เลย เพลงธีมก็เหมือนปรับนิดหน่อย คล้ายกรณีของ MI-3,MI-4 (คนทำเป็นคนเดียวกัน)
การถ่ายภาพ
แสง flare ยังคงอยู่คู่หนังภาคต่อ และช่วยทำให้ดูดีมากมาย
โดย ผกก ภาพคนเดิม Daniel Mindel ที่บรรจงสร้างภาพสวยๆออกมาไม่ยั้ง
into darkness รอบแรกทำให้ผมอิ่มมาก(ครั้งล่าสุดที่ดูหนังแล้วรู้สึกแบบนี้คือ titanicปี97)
หนังตอบโจทย์คนที่อยากดูทุกด้าน สมการรอคอย (ไม่เจอแบบนี้กับ iron man3) จนทำให้ไม่อยากดูเรื่องอะไรในซัมเมอร์นี้อีกแล้ว อิ่มจริงๆ
กำลังคิดดูว่า คงต้องเดินทาง 700 กิโลเข้าดูฉบับ IMAX ซ้ำต้นเดือนหน้าซะแล้ว
star wars 7 ตอนนี้เป็นอะไรที่น่าดูชมมาก
โอวว JJ.ABRAMS เทพมากมาย อิ่มใจได้อรรถรส INTO DARKNESS (มหากาฬสปอยด์)
Star wars เพ้อฝัน ประมาณ ลิเกอวกาศมีดาบเลเซอร์
Star Trek อยู่บนพื้นฐานความจริงซะส่วนใหญ่ มักจะจับต้องได้
ผมดู Star Trek สนุกกว่ามากๆ
into darkness ภาคสองหนังที่ผมอยากดูมากที่สุดในซัมเมอร์2013 นี้ไม่ทำให้ผิดหวังเลย ดูไปแค่กลางเรื่องก็รู้แล้วว่านี่เป็นหนังภาคต่อที่ดีกว่าภาคแรก (เท่าที่มีมาในโลกภาพยนตร์) ความดีของมันประมาณ The Godfather 1-2 ถึงขั้นนั้นเลย
มาดูที่บท
ข่าวลือระหว่างถ่ายทำ เรื่องข่านเป็นจริงครับในหนัง ยืมไอเดียมาจากภาคเก่าตอน wrath of khan แน่นอน และมีหลายตอนให้เห็นเช่น
ของเก่า สป๊อคตาย ของใหม่เคริ์กตาย
ฉากประสานมือ และสป๊อคทำสัญลักษณ์คลาสสิค
ชื่อตัวร้ายใช้ชื่อ ข่าน เหมือนกัน
สรุปได้ว่าโครงเรื่องนั้นยืมเอามาจากของเก่าแน่นอน เพียงแต่มาปรับให้ดูร้ายแบบทันสมัยขึ้น
การแสดง
เคิร์ก กับสป๊อค มอบการแสดงเทียบเท่าภาคแรก ภาคนี้ไม่ค่อยเล่นประเด็นเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของสองคนมากเท่าภาคแรก แต่สป๊อคเด่นขึ้น ฉากแอ๊กชั่นมากขึ้นได้เตะต่อยตอนท้าย
มีสป๊อคต้นฉบับมาแจมนิดหน่อย พอให้ไม่ลืม
ผู้การไพค์ ตายในภาคนี้ ส่วนพระเอกโรโบคอปฉบับออริจินอล มาแสดงเป็นตัวร้ายอีกตัวที่อยู๋ฝั่งสตาร์ฟลีท
มีการเปิดตัวชาวคลิงกอน และยาน เบิร์ด ออพ เพรย์ ในภาคนี้
ตัวละครลูกเรือกลับมากันครบ หน้าตาแก่ลง แต่บางคนก็ยังดูหนุ่มเหมือนภาคแรก เช่นซูลู และ Chekov ตัวละครใหม่ Dr. Carol Marcus สวยดีหน้าคุ้นๆ
ไซมอน เป๊ก จอมขโมยซีนเหมือนเดิม
เทคนิคพิเศษ
ต้องยอมรับว่า เทคนิคพิเศษในเรื่องนี้ ล้ำอออกไปมากกว่าภาคแรก คือนอกจากสมจริงแล้วยังดูดีสุดๆ เทคนิคพิเศษรับใช้หนังได้ดีที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาเลย ทำให้เราเชื่อว่านี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในอนาคต ไม่ว่าจะเป็น
ฉากยานเอนเตอร์ไพรซ์ บินในอวกาศ ในรูหนอนตอนทำวาร์ป
ฉากตกมาในบรรยากาศโลก ยิ่งใหญ่สมจริงสุดๆ
ฉากซ่อนยานในน้ำ บินขึ้นอวกาศ
ฉากหล่นบนปุยเมฆ
ฉากดิ่งอวกาศไปที่ยานอีกลำ (ครีเอทเหมือนภาคที่แล้ว)
ฉากเมืองสตาร์ฟลีท ที่ดูดีมากมาย
ฉากสะพานเดินเรื่อที่สวยที่สุด
เพลงประกอบ
เป็นส่วนที่หวัง แล้วก็ผิดหวังนิดๆ เหมือน composer ไม่คิดอะไรใหม่ๆเท่าไหร่เลยอ่า
end title ยังใช้ของเก่าอยู่เลย เพลงธีมก็เหมือนปรับนิดหน่อย คล้ายกรณีของ MI-3,MI-4 (คนทำเป็นคนเดียวกัน)
การถ่ายภาพ
แสง flare ยังคงอยู่คู่หนังภาคต่อ และช่วยทำให้ดูดีมากมาย
โดย ผกก ภาพคนเดิม Daniel Mindel ที่บรรจงสร้างภาพสวยๆออกมาไม่ยั้ง
into darkness รอบแรกทำให้ผมอิ่มมาก(ครั้งล่าสุดที่ดูหนังแล้วรู้สึกแบบนี้คือ titanicปี97)
หนังตอบโจทย์คนที่อยากดูทุกด้าน สมการรอคอย (ไม่เจอแบบนี้กับ iron man3) จนทำให้ไม่อยากดูเรื่องอะไรในซัมเมอร์นี้อีกแล้ว อิ่มจริงๆ
กำลังคิดดูว่า คงต้องเดินทาง 700 กิโลเข้าดูฉบับ IMAX ซ้ำต้นเดือนหน้าซะแล้ว
star wars 7 ตอนนี้เป็นอะไรที่น่าดูชมมาก