VIDEO
เพลงนกขมิ้น ประกอบละครดงผู้ดี
ขับร้อง คำหวาน วีรเวศร์
เพลงนกขมิ้น ๑
พ.ศ. 2487 เพื่อประกอบละครของ "แม่วง" เรื่อง "ป่าแก้ว"
คำร้อง-ทำนอง พยงค์ มุกดา
ขับร้อง ธานินทร์ อินทรเทพ
ค่ำคืน ฉันยืนอยู่เดียวดาย
เหลียวมองรอบกาย มิวายจะหวาดกลัว
มองนภามืดมัว สลัวเย็นย่ำ
ค่ำคืนเอ๋ย
ยามนภาคล้ำไปใกล้ค่ำ
ยินเสียงร่ำคำบอก เจ้าช่อดอกไม้เอ๋ย
เจ้าดอกขจร นกขมิ้นเหลืองอ่อน
ค่ำแล้วจะนอนไหนเอย เล่านกเอย
อกฉัน ทุกวันเฝ้าอาวรณ์
เหมือนคนพเนจร ฉันนอนไม่หลับเลย
หนาว พระพายพัดเชย
อกเอ๋ยหนาวสั่น สุดบั่นทอน
ยามนี้เราหลงทาง กลางค่ำ
ยินเสียงร่ำ คำบอก เจ้าช่อดอกไม้เอ๋ย
เจ้าดอกขจร
ฉันร่อนเร่พเนจร ไม่รู้จะนอนไหนเอย เอ๋ยโอ้หัวอกเอย
(นกขมิ้น ๒)
บ้านใดหรือใครจะเอ็นดู
รับรองอุ้มชู เลี้ยงดูให้หลับนอน
นกขมิ้นเหลืองอ่อน
ค่ำไหนนอนนั่น อกฉันหมอง
ทนระกำ ช้ำใจยามค่ำ
ยินเสียงร่ำน้ำตก โอ้หัวอกเอ๋ย
อกโอ้อาวรณ์ ฉันไร้คู่ร่วมคอน
ต้องฝืนนอนหนาวเอย เอ๋ย...โอ้หัวอกเอย
เมื่อมอง หมายปองก็แลเห็น
หวิวในใจเต้น เหมือนเป็นเพียงแต่มอง
เหมือนพบรังจะครอง
แต่หมองเกรงที่ หวั่นจะมีเจ้าของ
ฟังสำเนียง เสียงเพลงครวญคร่ำ
ใครหนอร่ำคำบอก เจ้าช่อดอกไม้เอ๋ย
เจ้าดอกขจร นกขมิ้นเหลืองอ่อน
ค่ำนี้จะนอนไหนเอย...นอนที่นี่เอย
http://www.oknation.net/blog/print.php?id=468498
พ่อนกขมิ้นชายรอง จากที่เคยช้ำรักเพราะเข้าใจผิด ต่างฝ่ายมิได้บอกความในแก่กัน ดั่งหนังรักอมตะเรื่องคาซาบลังก้า สุดท้ายก็เข้าใจกันคงไว้ซึ่งมิตรภาพที่งดงามตลอดไป ปมด้อยที่อยู่ในใจก็ได้รับการแก้ไขจนสิ้นจากใจ ไม่ต้องน้อยใจอีกต่อไป
แถมทำภารกิจเด็ดดอกฟ้าได้สำเร็จ กลายเป็นหลานสุดเลิฟ สุดโปรด เพราะได้ดองดีกว่าที่คาด เรื่องสัญญาเก่าก็เลื่อนไปก่อน
VIDEO
Casablanca - "As Time Goes By" is a song written by Herman Hupfeld in 1931. It became most famous in 1942 when it was sung by the character Sam (Dooley Wilson) in the movie Casablanca.
You must remember this
A kiss is just a kiss, a sigh is just a sigh.
The fundamental things apply
As time goes by.
เธอต้องจดจำสิ่งนี้ไว้.....
จุมพิตยังคงเป็น...จุมพิต
เสียงทอดถอนใจเป็นเพียง
....เสียงทอดถอนใจ....
สิ่งพื้นๆ ที่ยังดำรงอยู่....
ในห้วงวันเวลาที่ผ่านไป
And when two lovers woo
They still say, "I love you."
On that you can rely
No matter what the future brings
As time goes by.
และเมื่อคู่รักเกี้ยวพาราสี
พวกเขาจะยังคงพูดคำว่า “ฉันรักเธอ”
เรื่องราวเช่นนี้ ... เธอสามารถวางใจได้
ไม่ว่าอนาคตจะนำพาสิ่งใดเข้ามา....
....ในห้วงวันเวลาที่ผ่านไป....
Moonlight and love songs
Never out of date.
Hearts full of passion
Jealousy and hate.
Woman needs man
And man must have his mate
That no one can deny.
แสงจันทร์และเพลงรักไม่เคยล้าสมัย
ดวงใจที่เปี่ยมด้วยความรักลุ่มหลง
หึงหวง และ เกลียดชัง
ผู้หญิงต้องการผู้ชาย
และผู้ชายต้องมีคู่ครองของตน
นั่น....ไม่มีใครอาจปฏิเสธได้
It's still the same old story
A fight for love and glory
A case of do or die.
The world will always welcome lovers
As time goes by.
Oh yes, the world will always welcome lovers
As time goes by.
มันจะยังคงเป็นเรื่องราวเดิมๆ
การต่อสู้เพื่อความรักและเกียรติยศ
กรณีที่ต้องอยู่หรือตาย
โลกใบนี้ยังคงต้อนรับบรรดาคู่รักอยู่เสมอ...
....ในห้วงวันเวลาที่ผ่านไป....
http://www.ubmthai.com/leksoundsmf3/index.php?topic=81589.0
มาถึงชายสาม หมอหนุ่ม ไฟแรง ฝีมือดี กินอุดมการณ์ ไม่ต้องใช้เลนส์ช่วยก็สามารถผ่าเลือดคลั่งในสมองได้
"สายตาคมดั่งเยี่ยว มือเบาดั่งสตรี จิตใจหนักแน่นมั่นคงดั่งราชสีห์"
เป็นขวัญใจในโรงหมอ ที่สาวๆฝันถึง รายได้ดีแต่ไม่เลือกปฏิบัติต่อคนไข้ เคร่งครัดในวินัย
ชายรองจึงได้มอบนิยาม ถึงคุณสมบัติของสาวเจ้าที่จะมาเป็นศรีภรรยา แก่ชายสามไว้ว่า
"สวยสงบ เงียบสนิท ไม่ผิดประเพณี กุลสตรี เข้าครัว กราบผัววันละสามหน"
(แท้จริงก็คล้ายกับที่ชายรอง กระทำอยู่เนืองๆ กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำบ้าน แค่จากชายเป็นหญิง)
"สุขุมคัมภีรภาพ ไม่ขึ้นเสียง เข้าตามตรอกออกทางประตู สุภาพบุรุษ พ่อครัวหัวป่าก์ กราบเมียวันละสามหน"
แต่กฎทุกกฎย่อมมีข้อยกเว้น ชายสามมีฉายาในหมู่พี่น้องว่า "ฤาษี" ซึ่งคล้ายกับเรื่องราวของ ฤาษีกไลโกฎ บางส่วน จึงขอยกมาไว้ดังนี้
พระฤาษีกไลโกฎ(ประไลยโกฐ) เป็นครูแห่งการร้องรำ ทรงครองเพศเป็นฤาษี แต่มีหน้าเป็นเนื้อ มีเขาเป็นวัวด้วยท่านกำเนิดจากวัวและกวาง
แต่ได้บำเพ็ญจนคืนร่างเป็นมนุษย์ และได้ร้องเพลงอ้อนวอนพระอิศวรจนเสด็จมาประทานพรให้เป็นบรมครู แห่งการร้องทั้งปวง
ในรามเกียรติ์ตอน นารายณ์อวตาร ฝ่ายท้าวทศรถนั้น มีเพื่อนเป็นพญานกชื่อสดายุ พระองค์ไม่มีโอรสธิดาเห็นว่าจะไม่มีใครสืบราชสมบัติ ได้ทำพิธีขอโอรสที่มีฤทธิ์แต่ไม่สำเร็จ จึงไปนิมนต์ฤาษีกไลโกฎ ฤาษีกไลโกฎได้พาฤาษีอีก 4 องค์ ขึ้นไปเฝ้าพระอิศวรแล้วทูลว่า โลกมีความเดือดร้อนเพราะพระอิศวรและพระนารายณ์ได้ประทานศรแก่ยักษ์ คงมีแต่ท้าวทศรถเท่านั้นที่จะช่วยเหลือโลกได้ แต่พระองค์ไม่มีโอรส จึงควรให้พระนารายณ์อวตารไปปราบเหล่ายักษ์นั้น
ด้วย พระฤาษีกไลโกฎ เป็นบุตรพระมุนี ชื่อ อิสีสิงค์ บำเพ็ญพรตอยู่ในป่าศาลวัน เมืองพัทวิสัย แห่งท้าวโรมพัตตัน มีตบะเดชแก่กล้าจนทำให้ฝนแล้งไปสามปี
"ตบะกิจการฌาญกวดขัน สร้างพรตอดจิตเป็นนิรันดร์"
อิสีสิงค์บิดาของพระฤาษีสั่งว่า สัตว์ที่มี "เขาที่อก" อย่าไปยุ่งด้วยนะ จะแพ้ภัย
ท้าวโรมพัตบวงสรวงโดยปลูกศาลกลางพระนครได้เจิมรูปเทวดาด้วยเครื่องหอม จุดธูปเทียนโปรยดอกไม้ กระทำดั่งนี้อยู่ ๗ เดือน ๗ วัน
พรานป่ามากราบทูลว่านักพรตบำเพ็ญภาวนา ท้าวโรมพัตก็คิดล้างพิธี โดยส่ง "สตรีไปประโลมใจ ให้เสียฌาน"
จึงเรียกพระธิดาชื่ออรุณวดี มาเข้าเฝ้า มีราชโองการให้ออกไปทำลายตบะของกไลโกฎดาบส
นางอรุณวดีรับคำเพราะอยากเป็นเจ้าหญิงต่อไป ถ้าพระบิดาช่วยแก้ปัญหาให้พลเมืองไม่ได้ ก็คงโดนไล่ออก
และอยากพิสูจน์ความมีเสน่ห์ของตนเองด้วย
เช้าวันต่อมา นางอรุณวดีก็อาบน้ำแต่งตัวออกไปสึกพระมุนี
กไลโกฎดาบสไม่เคยเห็นผู้หญิง ก็ลูบคลำดูว่าเป็นสัตว์ประเภทใด ทำไม "มีเขาที่อก"
นางอรุณวดีก็เข้าใกล้ชิดนวดเฟ้น ท่าทางจะนวดต้นขา ขยำต้น..แขน
และแล้วก็เป็นไปตามครรลองธรรมชาติ จึงขอยกบทอัศจรรย์ระหว่างพระอภัยมณีกับนางเงือก ณ ริมหาดทรายชายทะเลที่เกาะแก้วพิสดาร ความว่า
...อัศจรรย์ครั่นครื้นเป็นคลื่นคลั่ง เพียงจะพังแผ่นผาสุธาไหว
กระฉอกฉาดหาดเหวเป็นเปลวไฟ พายุใหญ่เขยื้อนโยกกระโชกพัด
เมขลาล่อแก้วแววสว่าง อสูรขว้างเขวี้ยงขวานประหารหัด
พอฟ้าวาบปลาบแปลบแฉลบลัด เฉวียนฉวัดวงรอบขอบพระเมรุ
พลาหกเทวบุตรก็ผุดพุ่ง เป็นฝนฟุ้งฟ้าแดงดังแสงเสน
สีขรินทร์ อิสินธรก็อ่อนเอน ยอดระเนนแนบน้ำแทบทำลาย
กไลโกฎดาบส ตบะแตกเสียกิจพิธี เกิดคะนองฝน ฟ้าเปรี้ยง น้ำท่วม แก้ปัญหาประชาชนขาดน้ำไปได้
นางก็ชวนพระมุนีเข้าเมืองไปทำฝนอีก กไลโกฎดาบสนี้หน้าเป็นเนื้อทราย แต่กายเป็นคน
ท้าวโรมพัตก็เรียนพระดาบสว่า เมืองฝนไม่ตกต้องตั้งสามขวบปีแล้วนะ
ฤาษีบอกว่า แล้วทำไมไม่ไปบอกเล่า
ฤาษีก็มีความสุขสนุกสนาน พิธีกรรมเก่าๆก็ทำเป็นลืม
อะไรใหม่ๆที่ยังไม่คุ้นเคยก็หาความชำนาญเรื่อยไป ทุกเวลาด้วยสิ กลอนว่าไว้
เรื่องฤาษีกไลโกฎก็เอวังด้วยประการฉะนี้
http://wattanod.blogspot.com/2008/05/blog-post_6847.html
http://www.reurnthai.com/index.php?topic=3694.315
http://www.oknation.net/blog/print.php?id=691348
ครั้นชายสามหวั่นไหว พึงใจเมื่อแรกเห็นนางเอก มิพักต้องสงสัยว่าพระกามเทพได้แผลงศรเบจบุปผา ที่แม้แต่องค์ศิวมหาเทพก็มิอาจทานอำนาจได้ จนหลงรักพระอุมา สิ้นโศกาจากการตายของนางสตี เข้าให้แล้ว
แต่งานนี้มีจระเข้ขวางคลอง กับบรรดาสมุนลิ่วล้อเข้าขัดขวาง ทางนาวารัก โดยหมายจะพาโฉมยง ไปส่งยังวิมานสีชมพู ให้ท่านได้เชยชม หลังจากที่เบื่ออนุคนก่อนๆ โดยเมียหลวงหาให้ จะได้อยู่ในสายตา ดีกว่ามีคนมาชิงตำแหน่ง ผู้กำกับเลือกนักแสดงได้ดี ดูนุ่มหน่อยพอเป็นสัญลักษณ์
งานนี้ชายสาม ต้องเก็บข้ออ้างตามอุดมคติใส่ลิ้นชัก เพราะพบเพชรในตมเข้าให้แล้ว แต่ไม่แน่ใจกว่าเป็นเพชรแท้หรือเปล่า
เผอิญว่านางเอก ดูไม่ออกว่าเป็นเด็กม.ปลาย พอเคียงพระเอกบางครั้ง ค่อนข้างต่างวัยพอควร แลดูไม่ละม้ายสาวกรุงเก่า ดูเป็นสาวพระนคร ณ กทม. เสียมาก แต่พระเอกเราแม่ยกตรึม รับไปอยู่ในอ้อมใจไม่น้อย คนเลือกกรอบแว่นเลือกได้ดี ทำให้หน้าไม่จืดไป
ละครเดินเรื่องไม่เนิบ และมีรายละเอียดค่อนข้างมาก ไม่ใช้แค่แช่ภาพยืดเวลาไปเรื่อย แต่เพิ่งรู้ว่าเรือสมัยนั้นมีแบบไฟเบอร์กลาสแล้ว ตอนที่ชายสาม เบิ่งเรือเร็วมาต่อรถโฟคก์เปิดประทุน เข้าพระนคร มาดคุณชายจับเต็มๆ ต่างจากชายรองที่เฟอร์ฯน้อยไปหน่อย
พระรองเรื่องนี้ ฝีมือและชม.บินถึง แสดงอารมณ์ได้หลากหลาย แถมบทส่งให้ฝีปากคม ดั่งมีดโกนอาบน้ำผึ้ง แบบปัญญาชน น่าจะเจอรัมภาคงสนุกพิลึก
(นักแสดงตัวเอก สมทบ หลายท่าน ที่ไม่ได้ดังมาก แต่มีฝีมือ ประสบการณ์ ในการแสดงได้ดีกว่า ตัวเอกที่ดันจนเกินงาม หรือชม.บินต่ำ สามารถแสดงสีหน้าแววตา อากัปกิริยาได้ลุ่มลึก ทำให้ตัวละครมีความสมจริง จับต้องได้ อาทิเช่น พีท ในแผนร้ายพ่ายรัก เป็นเครื่องยืนยันว่า ถ้าบทอำนวย ผกก.ให้โอกาส ก็สามารถแสดงฝีมือได้ดีไม่แพ้ตัวเอกเด็กดัน แต่อย่างใด ซึ่งในยุโรปจะนิยมนักแสดงที่ดูสมจริง เหมาะกับบท มากกว่าเกินจริงชวนฝัน)
ผู้จัด และคณะ กล้านำเสนอ เรื่องเก่าๆในวงการ ที่ไม่ต่างจากยุคนี้เท่าใด แต่เล่าเรื่องได้แยบคาย ชวนติดตาม ภาษาชวนฟัง ไม่เร่อร่า
คงต้องลุ้นกันว่าคู่นี้จะสมหวังกันอย่างไร ในเมื่อเหตุและปัจจัย ไม่อำนวยเลย หม่อมย่าคงลมจับ ที่หลานแสนดีอยู่ในกรอบ กลับแหกกฎเสียเอง
ท้ายนี้หากผิดพลาดประการ ผู้เขียนต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ ขอบคุณครับ
สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายพุฒิภัทร จากพ่อนกขมิ้น ถึงฤาษีกไลโกฎ
เพลงนกขมิ้น ประกอบละครดงผู้ดี
ขับร้อง คำหวาน วีรเวศร์
เพลงนกขมิ้น ๑
พ.ศ. 2487 เพื่อประกอบละครของ "แม่วง" เรื่อง "ป่าแก้ว"
คำร้อง-ทำนอง พยงค์ มุกดา
ขับร้อง ธานินทร์ อินทรเทพ
ค่ำคืน ฉันยืนอยู่เดียวดาย
เหลียวมองรอบกาย มิวายจะหวาดกลัว
มองนภามืดมัว สลัวเย็นย่ำ
ค่ำคืนเอ๋ย
ยามนภาคล้ำไปใกล้ค่ำ
ยินเสียงร่ำคำบอก เจ้าช่อดอกไม้เอ๋ย
เจ้าดอกขจร นกขมิ้นเหลืองอ่อน
ค่ำแล้วจะนอนไหนเอย เล่านกเอย
อกฉัน ทุกวันเฝ้าอาวรณ์
เหมือนคนพเนจร ฉันนอนไม่หลับเลย
หนาว พระพายพัดเชย
อกเอ๋ยหนาวสั่น สุดบั่นทอน
ยามนี้เราหลงทาง กลางค่ำ
ยินเสียงร่ำ คำบอก เจ้าช่อดอกไม้เอ๋ย
เจ้าดอกขจร
ฉันร่อนเร่พเนจร ไม่รู้จะนอนไหนเอย เอ๋ยโอ้หัวอกเอย
(นกขมิ้น ๒)
บ้านใดหรือใครจะเอ็นดู
รับรองอุ้มชู เลี้ยงดูให้หลับนอน
นกขมิ้นเหลืองอ่อน
ค่ำไหนนอนนั่น อกฉันหมอง
ทนระกำ ช้ำใจยามค่ำ
ยินเสียงร่ำน้ำตก โอ้หัวอกเอ๋ย
อกโอ้อาวรณ์ ฉันไร้คู่ร่วมคอน
ต้องฝืนนอนหนาวเอย เอ๋ย...โอ้หัวอกเอย
เมื่อมอง หมายปองก็แลเห็น
หวิวในใจเต้น เหมือนเป็นเพียงแต่มอง
เหมือนพบรังจะครอง
แต่หมองเกรงที่ หวั่นจะมีเจ้าของ
ฟังสำเนียง เสียงเพลงครวญคร่ำ
ใครหนอร่ำคำบอก เจ้าช่อดอกไม้เอ๋ย
เจ้าดอกขจร นกขมิ้นเหลืองอ่อน
ค่ำนี้จะนอนไหนเอย...นอนที่นี่เอย
http://www.oknation.net/blog/print.php?id=468498
พ่อนกขมิ้นชายรอง จากที่เคยช้ำรักเพราะเข้าใจผิด ต่างฝ่ายมิได้บอกความในแก่กัน ดั่งหนังรักอมตะเรื่องคาซาบลังก้า สุดท้ายก็เข้าใจกันคงไว้ซึ่งมิตรภาพที่งดงามตลอดไป ปมด้อยที่อยู่ในใจก็ได้รับการแก้ไขจนสิ้นจากใจ ไม่ต้องน้อยใจอีกต่อไป
แถมทำภารกิจเด็ดดอกฟ้าได้สำเร็จ กลายเป็นหลานสุดเลิฟ สุดโปรด เพราะได้ดองดีกว่าที่คาด เรื่องสัญญาเก่าก็เลื่อนไปก่อน
Casablanca - "As Time Goes By" is a song written by Herman Hupfeld in 1931. It became most famous in 1942 when it was sung by the character Sam (Dooley Wilson) in the movie Casablanca.
You must remember this
A kiss is just a kiss, a sigh is just a sigh.
The fundamental things apply
As time goes by.
เธอต้องจดจำสิ่งนี้ไว้.....
จุมพิตยังคงเป็น...จุมพิต
เสียงทอดถอนใจเป็นเพียง
....เสียงทอดถอนใจ....
สิ่งพื้นๆ ที่ยังดำรงอยู่....
ในห้วงวันเวลาที่ผ่านไป
And when two lovers woo
They still say, "I love you."
On that you can rely
No matter what the future brings
As time goes by.
และเมื่อคู่รักเกี้ยวพาราสี
พวกเขาจะยังคงพูดคำว่า “ฉันรักเธอ”
เรื่องราวเช่นนี้ ... เธอสามารถวางใจได้
ไม่ว่าอนาคตจะนำพาสิ่งใดเข้ามา....
....ในห้วงวันเวลาที่ผ่านไป....
Moonlight and love songs
Never out of date.
Hearts full of passion
Jealousy and hate.
Woman needs man
And man must have his mate
That no one can deny.
แสงจันทร์และเพลงรักไม่เคยล้าสมัย
ดวงใจที่เปี่ยมด้วยความรักลุ่มหลง
หึงหวง และ เกลียดชัง
ผู้หญิงต้องการผู้ชาย
และผู้ชายต้องมีคู่ครองของตน
นั่น....ไม่มีใครอาจปฏิเสธได้
It's still the same old story
A fight for love and glory
A case of do or die.
The world will always welcome lovers
As time goes by.
Oh yes, the world will always welcome lovers
As time goes by.
มันจะยังคงเป็นเรื่องราวเดิมๆ
การต่อสู้เพื่อความรักและเกียรติยศ
กรณีที่ต้องอยู่หรือตาย
โลกใบนี้ยังคงต้อนรับบรรดาคู่รักอยู่เสมอ...
....ในห้วงวันเวลาที่ผ่านไป....
http://www.ubmthai.com/leksoundsmf3/index.php?topic=81589.0
มาถึงชายสาม หมอหนุ่ม ไฟแรง ฝีมือดี กินอุดมการณ์ ไม่ต้องใช้เลนส์ช่วยก็สามารถผ่าเลือดคลั่งในสมองได้
"สายตาคมดั่งเยี่ยว มือเบาดั่งสตรี จิตใจหนักแน่นมั่นคงดั่งราชสีห์"
เป็นขวัญใจในโรงหมอ ที่สาวๆฝันถึง รายได้ดีแต่ไม่เลือกปฏิบัติต่อคนไข้ เคร่งครัดในวินัย
ชายรองจึงได้มอบนิยาม ถึงคุณสมบัติของสาวเจ้าที่จะมาเป็นศรีภรรยา แก่ชายสามไว้ว่า
"สวยสงบ เงียบสนิท ไม่ผิดประเพณี กุลสตรี เข้าครัว กราบผัววันละสามหน"
(แท้จริงก็คล้ายกับที่ชายรอง กระทำอยู่เนืองๆ กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำบ้าน แค่จากชายเป็นหญิง)
"สุขุมคัมภีรภาพ ไม่ขึ้นเสียง เข้าตามตรอกออกทางประตู สุภาพบุรุษ พ่อครัวหัวป่าก์ กราบเมียวันละสามหน"
แต่กฎทุกกฎย่อมมีข้อยกเว้น ชายสามมีฉายาในหมู่พี่น้องว่า "ฤาษี" ซึ่งคล้ายกับเรื่องราวของ ฤาษีกไลโกฎ บางส่วน จึงขอยกมาไว้ดังนี้
พระฤาษีกไลโกฎ(ประไลยโกฐ) เป็นครูแห่งการร้องรำ ทรงครองเพศเป็นฤาษี แต่มีหน้าเป็นเนื้อ มีเขาเป็นวัวด้วยท่านกำเนิดจากวัวและกวาง
แต่ได้บำเพ็ญจนคืนร่างเป็นมนุษย์ และได้ร้องเพลงอ้อนวอนพระอิศวรจนเสด็จมาประทานพรให้เป็นบรมครู แห่งการร้องทั้งปวง
ในรามเกียรติ์ตอน นารายณ์อวตาร ฝ่ายท้าวทศรถนั้น มีเพื่อนเป็นพญานกชื่อสดายุ พระองค์ไม่มีโอรสธิดาเห็นว่าจะไม่มีใครสืบราชสมบัติ ได้ทำพิธีขอโอรสที่มีฤทธิ์แต่ไม่สำเร็จ จึงไปนิมนต์ฤาษีกไลโกฎ ฤาษีกไลโกฎได้พาฤาษีอีก 4 องค์ ขึ้นไปเฝ้าพระอิศวรแล้วทูลว่า โลกมีความเดือดร้อนเพราะพระอิศวรและพระนารายณ์ได้ประทานศรแก่ยักษ์ คงมีแต่ท้าวทศรถเท่านั้นที่จะช่วยเหลือโลกได้ แต่พระองค์ไม่มีโอรส จึงควรให้พระนารายณ์อวตารไปปราบเหล่ายักษ์นั้น
ด้วย พระฤาษีกไลโกฎ เป็นบุตรพระมุนี ชื่อ อิสีสิงค์ บำเพ็ญพรตอยู่ในป่าศาลวัน เมืองพัทวิสัย แห่งท้าวโรมพัตตัน มีตบะเดชแก่กล้าจนทำให้ฝนแล้งไปสามปี
"ตบะกิจการฌาญกวดขัน สร้างพรตอดจิตเป็นนิรันดร์"
อิสีสิงค์บิดาของพระฤาษีสั่งว่า สัตว์ที่มี "เขาที่อก" อย่าไปยุ่งด้วยนะ จะแพ้ภัย
ท้าวโรมพัตบวงสรวงโดยปลูกศาลกลางพระนครได้เจิมรูปเทวดาด้วยเครื่องหอม จุดธูปเทียนโปรยดอกไม้ กระทำดั่งนี้อยู่ ๗ เดือน ๗ วัน
พรานป่ามากราบทูลว่านักพรตบำเพ็ญภาวนา ท้าวโรมพัตก็คิดล้างพิธี โดยส่ง "สตรีไปประโลมใจ ให้เสียฌาน"
จึงเรียกพระธิดาชื่ออรุณวดี มาเข้าเฝ้า มีราชโองการให้ออกไปทำลายตบะของกไลโกฎดาบส
นางอรุณวดีรับคำเพราะอยากเป็นเจ้าหญิงต่อไป ถ้าพระบิดาช่วยแก้ปัญหาให้พลเมืองไม่ได้ ก็คงโดนไล่ออก
และอยากพิสูจน์ความมีเสน่ห์ของตนเองด้วย
เช้าวันต่อมา นางอรุณวดีก็อาบน้ำแต่งตัวออกไปสึกพระมุนี
กไลโกฎดาบสไม่เคยเห็นผู้หญิง ก็ลูบคลำดูว่าเป็นสัตว์ประเภทใด ทำไม "มีเขาที่อก"
นางอรุณวดีก็เข้าใกล้ชิดนวดเฟ้น ท่าทางจะนวดต้นขา ขยำต้น..แขน
และแล้วก็เป็นไปตามครรลองธรรมชาติ จึงขอยกบทอัศจรรย์ระหว่างพระอภัยมณีกับนางเงือก ณ ริมหาดทรายชายทะเลที่เกาะแก้วพิสดาร ความว่า
...อัศจรรย์ครั่นครื้นเป็นคลื่นคลั่ง เพียงจะพังแผ่นผาสุธาไหว
กระฉอกฉาดหาดเหวเป็นเปลวไฟ พายุใหญ่เขยื้อนโยกกระโชกพัด
เมขลาล่อแก้วแววสว่าง อสูรขว้างเขวี้ยงขวานประหารหัด
พอฟ้าวาบปลาบแปลบแฉลบลัด เฉวียนฉวัดวงรอบขอบพระเมรุ
พลาหกเทวบุตรก็ผุดพุ่ง เป็นฝนฟุ้งฟ้าแดงดังแสงเสน
สีขรินทร์ อิสินธรก็อ่อนเอน ยอดระเนนแนบน้ำแทบทำลาย
กไลโกฎดาบส ตบะแตกเสียกิจพิธี เกิดคะนองฝน ฟ้าเปรี้ยง น้ำท่วม แก้ปัญหาประชาชนขาดน้ำไปได้
นางก็ชวนพระมุนีเข้าเมืองไปทำฝนอีก กไลโกฎดาบสนี้หน้าเป็นเนื้อทราย แต่กายเป็นคน
ท้าวโรมพัตก็เรียนพระดาบสว่า เมืองฝนไม่ตกต้องตั้งสามขวบปีแล้วนะ
ฤาษีบอกว่า แล้วทำไมไม่ไปบอกเล่า
ฤาษีก็มีความสุขสนุกสนาน พิธีกรรมเก่าๆก็ทำเป็นลืม
อะไรใหม่ๆที่ยังไม่คุ้นเคยก็หาความชำนาญเรื่อยไป ทุกเวลาด้วยสิ กลอนว่าไว้
เรื่องฤาษีกไลโกฎก็เอวังด้วยประการฉะนี้
http://wattanod.blogspot.com/2008/05/blog-post_6847.html
http://www.reurnthai.com/index.php?topic=3694.315
http://www.oknation.net/blog/print.php?id=691348
ครั้นชายสามหวั่นไหว พึงใจเมื่อแรกเห็นนางเอก มิพักต้องสงสัยว่าพระกามเทพได้แผลงศรเบจบุปผา ที่แม้แต่องค์ศิวมหาเทพก็มิอาจทานอำนาจได้ จนหลงรักพระอุมา สิ้นโศกาจากการตายของนางสตี เข้าให้แล้ว
แต่งานนี้มีจระเข้ขวางคลอง กับบรรดาสมุนลิ่วล้อเข้าขัดขวาง ทางนาวารัก โดยหมายจะพาโฉมยง ไปส่งยังวิมานสีชมพู ให้ท่านได้เชยชม หลังจากที่เบื่ออนุคนก่อนๆ โดยเมียหลวงหาให้ จะได้อยู่ในสายตา ดีกว่ามีคนมาชิงตำแหน่ง ผู้กำกับเลือกนักแสดงได้ดี ดูนุ่มหน่อยพอเป็นสัญลักษณ์
งานนี้ชายสาม ต้องเก็บข้ออ้างตามอุดมคติใส่ลิ้นชัก เพราะพบเพชรในตมเข้าให้แล้ว แต่ไม่แน่ใจกว่าเป็นเพชรแท้หรือเปล่า
เผอิญว่านางเอก ดูไม่ออกว่าเป็นเด็กม.ปลาย พอเคียงพระเอกบางครั้ง ค่อนข้างต่างวัยพอควร แลดูไม่ละม้ายสาวกรุงเก่า ดูเป็นสาวพระนคร ณ กทม. เสียมาก แต่พระเอกเราแม่ยกตรึม รับไปอยู่ในอ้อมใจไม่น้อย คนเลือกกรอบแว่นเลือกได้ดี ทำให้หน้าไม่จืดไป
ละครเดินเรื่องไม่เนิบ และมีรายละเอียดค่อนข้างมาก ไม่ใช้แค่แช่ภาพยืดเวลาไปเรื่อย แต่เพิ่งรู้ว่าเรือสมัยนั้นมีแบบไฟเบอร์กลาสแล้ว ตอนที่ชายสาม เบิ่งเรือเร็วมาต่อรถโฟคก์เปิดประทุน เข้าพระนคร มาดคุณชายจับเต็มๆ ต่างจากชายรองที่เฟอร์ฯน้อยไปหน่อย
พระรองเรื่องนี้ ฝีมือและชม.บินถึง แสดงอารมณ์ได้หลากหลาย แถมบทส่งให้ฝีปากคม ดั่งมีดโกนอาบน้ำผึ้ง แบบปัญญาชน น่าจะเจอรัมภาคงสนุกพิลึก
(นักแสดงตัวเอก สมทบ หลายท่าน ที่ไม่ได้ดังมาก แต่มีฝีมือ ประสบการณ์ ในการแสดงได้ดีกว่า ตัวเอกที่ดันจนเกินงาม หรือชม.บินต่ำ สามารถแสดงสีหน้าแววตา อากัปกิริยาได้ลุ่มลึก ทำให้ตัวละครมีความสมจริง จับต้องได้ อาทิเช่น พีท ในแผนร้ายพ่ายรัก เป็นเครื่องยืนยันว่า ถ้าบทอำนวย ผกก.ให้โอกาส ก็สามารถแสดงฝีมือได้ดีไม่แพ้ตัวเอกเด็กดัน แต่อย่างใด ซึ่งในยุโรปจะนิยมนักแสดงที่ดูสมจริง เหมาะกับบท มากกว่าเกินจริงชวนฝัน)
ผู้จัด และคณะ กล้านำเสนอ เรื่องเก่าๆในวงการ ที่ไม่ต่างจากยุคนี้เท่าใด แต่เล่าเรื่องได้แยบคาย ชวนติดตาม ภาษาชวนฟัง ไม่เร่อร่า
คงต้องลุ้นกันว่าคู่นี้จะสมหวังกันอย่างไร ในเมื่อเหตุและปัจจัย ไม่อำนวยเลย หม่อมย่าคงลมจับ ที่หลานแสนดีอยู่ในกรอบ กลับแหกกฎเสียเอง
ท้ายนี้หากผิดพลาดประการ ผู้เขียนต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ ขอบคุณครับ