[เสียงคนวงนอก] Iron Man 3 : ศักยภาพอยู่ที่ “คน” หรือ “เครื่องมือ”

[เสียงคนวงนอก] Iron Man 3 : ศักยภาพอยู่ที่ “คน” หรือ “เครื่องมือ”


โดย : TonyMao_NK51
E-Mail : tonymao_nk51@hotmail.com
FaceBook : TonyMao Nk

สร้างปรากฏการณ์รายได้และกระแสนิยมได้อย่างเหลือเชื่อ เมื่อ “มหาประลัย คน/เกราะ/เหล็ก” กลับมาอีกครั้ง เรียกว่าฮือฮากันตั้งแต่เริ่มออกตัวอย่างหนัง ที่นอกจากจะมีดารานำอย่าง Robert Downey Jr. , Gwyneth Paltrow และ Don Cheadle ที่คุ้นเคยกันดีแล้ว ภาคนี้ยังได้นักแสดงอย่าง Guy Pearce และ Ben Kingsley มาสมทบอีก ( โดยเฉพาะรายหลังในบท Mandarin ตัวร้ายที่เป็นคู่ปรับตลอดกาลของ Iron Man เรียกว่าแค่หนังตัวอย่างก็เปิดตัวได้เท่มาก )

ถามว่ากระแสตอบรับเป็นยังไงน่ะหรือ? 1 พ.ค.2556 วันแรกที่เปิดตัว ผู้เขียนต้องเดินเท้าไปชมภาพยนตร์ล่ะครับ เพราะรถติดมากชนิดที่เรียกว่าเดินเอาเร็วกว่า ( ส่วนใหญ่รถพวกนี้จะมุ่งไปยังห้าง และมีช่องเข้าที่จำกัด ทำให้ต้องค่อยๆ ต่อคิวกันเข้า รถจึงติดยาว เพราะถนนแถวนั้นลดช่องจราจรเนื่องจากกำลังก่อสร้างรถไฟฟ้า) แถมไปถึงตอนบ่ายสาม แต่ได้ชมรอบสองทุ่ม เพราะรอบก่อนหน้านั้นแทบจะเต็มหมด ขณะที่หน้าเคาน์เตอร์ คนยังแออัดเบียดเสียดกันเข้าไปซื้อตั๋วอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะพากย์ไทยหรือ Soundtrack ก็ตาม ดังนั้นไม่ต้องแปลกใจที่รายได้เปิดตัวแซง Avengers หนังรวมมิตร Marvel Hero ของปีก่อนไปแล้ว

Iron Man 3 ว่าด้วยเรื่องของ Tony Stark มหาเศรษฐีนักประดิษฐ์ ที่เหตุการณ์ Avengers ( ใครยังไม่ได้ดู ไปหามาดูเสียก่อน แล้วจะเข้าใจ Tony Stark ในภาคนี้มากขึ้น ) ทำให้เขาฝันร้ายมาตลอด ถึงขนาดที่ไม่กล้านอนหลับ ต้องหาโน่นนี่นั่นทำอยู่ตลอด จึงเป็นที่มาของการสร้างชุด Iron Man แบบต่างๆ ไว้หลายสิบตัว

แหงละครับ..จากมหาเศรษฐีที่มีความรู้ด้านเครื่องยนต์กลไกมากกว่าใครในโลก เรียกว่าทั้งรวยทั้งเก่ง แถมยังเป็นเจ้าของเทคโนโลยีใหม่ที่ล้ำหน้าที่สุดในขณะนั้นทั้งเตาปฏิกรณ์อาร์ค ทั้งชุด Iron Man และระบบคอมพิวเตอร์ผู้ช่วยอย่าง Jarvis แต่อยู่ดีๆ อะไรต่อมิอะไรที่เขาไม่เคยรู้จักก็โหมกระหน่ำเข้ามาในชีวิต ทั้งเทพเจ้า ทั้งกองทัพมนุษย์ต่างดาว ทำให้จากความเชื่อมั่น ( ที่บางทีเหมือนพวกที่ยะโสโอหังและหลงตัวเอง ) กลายเป็นความรู้สึก “ช็อค” เนื่องจากสิ่งที่เขาเจอในเหตุการณ์ Avengers เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือความรู้ของเขา ที่แม้จะเก่งแค่ไหน แต่ก็ยังเป็นเพียง “มนุษย์ธรรมดา” คนหนึ่งเท่านั้น

ใครเจอแบบนี้แล้วยังสงบได้นี่ คงไม่ใช่ปุถุชนคนธรรมดาแล้วละครับ

ดังนั้นตั้งแต่ต้นเรื่อง เราจึงเห็น Tony หมกมุ่นอยู่กับการทดลองชุดเกราะใหม่ๆ ขนาดที่ระบบคอมพิวเตอร์ยังต้องเตือนว่าไม่ได้หลับมากี่ชั่วโมงแล้ว หรือแม้แต่ตอนที่หลับ ก็ยังละเมอเรียกชุดเกราะมาจนเกือบทำร้าย Pepper Potts คนรักของเขา..แม้ว่าสาเหตุที่ Tony อาการหนักขนาดนี้จะเป็นเพราะต้องการปกป้อง Pepper จากใครหรืออะไรก็แล้วแต่ ที่อาจทำร้ายเธอได้ก็ตาม แต่กลายเป็นว่า..ยิ่งฝืนทำมันเท่าไร ผลที่ได้มีแต่แย่ลงเท่านั้น แต่ก็ต้องทำมันต่อไป

เพราะสำหรับ Tony ถ้าไม่มีชุดเกราะ ก็ไม่สามารถต่อสู้และปกป้องใครได้ ( ใน Avengers ที่กัปตันอเมริกาถาม Tony ว่าถ้าถอดเกราะแล้วจะเป็นยังไง? ) จนกระทั่งการมาของ Aldrich Killian นักวิทยาศาสตร์ระดับเศรษฐีอีกคนหนึ่ง ที่มีเทคโนโลยี Extremist ที่ด้านดีมันคือการทำให้มนุษย์สามารถงอกอวัยวะที่ขาดไปขึ้นใหม่ได้ แต่อีกด้านหนึ่ง มันทำให้มนุษย์ธรรมดามีพลังจากความร้อนมหาศาล ตามมาด้วยการปรากฏตัวของผู้นำองค์กรก่อการร้ายอย่าง Mandarin ที่ทำลายทั้งบ้านและชุดเกราะที่ Tony สร้างสะสมไว้จนแทบไม่เหลือซาก

ถึงตอนนี้ Tony ที่ไม่เหลืออะไรนอกจากชุดเกราะ Mk42 ที่พลังงานหมดหลังจากพาเขาหนีมาได้ และไปตกที่เมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ไกลออกไปหลายร้อยไมล์ เขาต้องลากมันไปตามทาง หาคนอื่นช่วยเหลือ และนั่นคือจุดเริ่มต้นของบททดสอบครั้งใหญ่ในชีวิต ว่าถ้าไม่อาจพึ่งพาชุดเกราะไฮเทคได้แล้ว เขาจะสามารถทำอะไรด้วยร่างมนุษย์ธรรมดาๆ ได้บ้าง

Robert Downey Jr. มาภาคนี้ได้ใช้ทักษะทางการแสดงมากขึ้นกว่า 2 ภาคแรก เพราะที่ผ่านมา เราจะเห็น Tony Stark มีแต่ความมั่นใจในตัวเอง ( หรือหลงตัวเอง? ) จนน่าหมั่นไส้ แม้ว่าภาค 2 Tony หวุดหวิดที่จะตายจากสารพิษในกระแสเลือด ที่ได้รับจากเตาปฏิกรณ์บนหน้าอกของเขาก็ตาม แต่ก็ไม่น่าสงสารเลยเมื่อเห็นการประชดชีวิตแบบเกรียนๆ ของเขา แน่นอนฉากเหล่านั้น ยังไม่แสดงให้เห็นถึงความเครียดและสิ้นหวังของ Tony ได้เท่ากับภาคนี้ ที่เริ่มมาผู้ชมก็จะหัวเราะไปพร้อมๆ กับอึดอัดในความเครียดของ Tony จากการหมกมุ่นอยู่กับการคิดค้นชุดเกราะรุ่นต่างๆ เพื่อรับมือกับทุกสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น หรือความสิ้นหวังเมื่อบ้านและชุดเกราะที่สร้างไว้ถูกทำลายจนหมด

Gwyneth Paltrow กับบท Pepper Potts มาภาคนี้ได้ทำอะไรเพิ่มขึ้นกว่าการเป็นผู้บริหารบริษัท Stark Industry และคนรักของ Tony Stark เท่านั้น เอาเป็นว่าผู้เขียนคงบรรยายไม่ได้มาก แต่ขอยกคำกล่าวที่ว่า “การเป็นยอดคนนั้นว่ายากแล้ว แต่การเป็นคู่ชีวิตของยอดคนนั้นเป็นสิ่งที่ยากกว่า” มาเป็นนิยามของบท Pepper ในภาคนี้ เรียกว่าสมศักดิ์ศรีกับเป็นภาคสุดท้ายของไตรภาค Iron Man ได้เลยทีเดียว

Don Cheadle กับบทผู้พัน James Rhodes คู่หูของ Tony Stark ที่ภาคก่อนได้ยืม ( แล้วยึดไปเลย? ) ชุดเกราะของ Tony ไปใช้ แล้วดัดแปลงใหม่ก่อนจะตั้งชื่อว่า War Machine ส่วนภาคนี้เอาไปทาสีเป็นลายธงชาติสหรัฐอเมริกาก่อนจะเปลี่ยนชื่อเป็น Iron Patriots ( ทำให้โดน Tony แซวเรื่องชื่อตลอด ) ยังคงเป็นคู่หูคู่ฮาของ Tony เหมือนเดิม หากเปรียบเทียบคงคล้ายๆ กับ Sherlock Holmes ที่ติดตลก มีมุขฮาๆ ตลอด ขณะที่คู่หูอย่างหมอ Watson จะออกแนวจริงจังตลอดเช่นกัน พอมารวมกันแล้วก็สามารถเรียกเสียงฮาจากผู้ชมได้เป็นระยะๆ

มาดูฝั่งผู้ร้ายกันบ้าง Guy Pearce นักแสดงที่อาจจะไม่ได้ดังเปรี้ยงปร้างเหมือนคู่พระ - นาง แต่ก็มีผลงานออกมาเรื่อยๆ ( ล่าสุดที่เข้าฉายในไทยคือ Lockout , Promotheus และ Lawless ) กับบท Aldrich Killian นักวิทยาศาสตร์จากองค์กร AIM ที่เคยพบกับ Tony Stark เมื่อนานมาแล้ว และจากเหตุการณ์วันนั้นทำให้เขากลายเป็นศัตรูและคู่แข่งกับ Tony ด้วยเทคโนโลยี Extremist ซึ่งการใช้นักแสดงระดับนี้ในบทดังกล่าว ถือว่าสมน้ำสมเนื้อมากกับ RDJ เพราะทั้งสองจะเป็นคู่แข่งกันตลอดเรื่อง ไม่เพียงด้านความรู้และฐานะเท่านั้น แต่ครั้งหนึ่ง Aldrich ยังเคยมีอดีตกับ Pepper Potts ที่วันนี้เป็นคนรักของ Tony อีกด้วย ( ทั้ง RDJ และ Guy Pearce ถือว่าเป็นนักแสดงชายที่ดูหล่อ ดูเท่ และชื่อเสียงจะคุ้นหูคุ้นตาผู้ชมภาพยนตร์ฝั่ง Hollywood เป็นอย่างดี )

ปิดท้ายด้วยนักแสดงระดับรางวัลการันตีอย่าง Ben Kingsley กับบท Mandarin ที่ในหนังสือการ์ตูน ตัวร้ายรายนี้จะเป็นคู่ปรับตลอดกาลของ Iron Man ( เหมือน Joker กับ Batman ) ที่เรียกเสียงฮือฮาตั้งแต่ปล่อยตัวอย่างหนังออกมา แค่นั่งนิ่งๆ โชว์แหวนทั้ง 10 วงที่คอการ์ตูนรู้ดีถึงพลังของมัน และบทพูดที่ฟังแล้วดูหลอนๆ ราวกับพวก Serial Killer ที่สนุกกับการเห็นความหวาดกลัวของผู้คนจากการทำลายล้างของเขาเท่านั้น ดังนั้นการใช้นักแสดงระดับรางวัล มารับบทที่ทรงพลังเช่นนี้ จึงยิ่งทำให้ Iron Man 3 ดูเป็นหนังฟอร์มยักษ์มากขึ้นไปอีก ( แน่นอนว่าเรื่องนี้ บทของ Mandarin จะดูเด่นที่สุด ถามว่าเด่นขนาดไหน ไปชมกันเอาเองครับ )

กล่าวโดยสรุป ถือว่า Iron Man 3 เปลี่ยนโทนของหนังไปจาก 2 ภาคแรกพอสมควร ( ไม่แน่ใจว่าได้รับอิทธิพลจาก Batman : Dark Knight และ Dark Knight Rise ของ Christopher Nolan หรือไม่ ) บางคนดูแล้วอาจจะรำคาญมุขตลกที่ไม่รู้จะมีเยอะไปไหน? แต่นี่คือ Tony Stark ตัวละครที่ว่าเกรียนๆ ฮาๆ ที่สุดแล้วในบรรดา Hero ด้วยกัน เรียกว่าแม้จะอยู่สถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานแค่ไหน ก็ยังมีคำพูดกวนประสาทชาวบ้านเขาได้ตลอด แต่อีกด้านหนึ่ง นี่คือวิกฤติใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของเขาเช่นกัน ชนิดที่ว่ายิ่งกว่าการถูกจับเป็นเชลยในภาคแรก หรืออาการป่วยหนักใกล้ตายในภาค 2 เสียด้วยซ้ำไป ดังนั้นแม้จะมีมุขตลก แต่บางครั้งมันก็เหมือนการทำเป็นตลกเพื่อประชด หรือกลบเกลื่อนอะไรบางอย่างมากกว่า ไม่ได้ตลกไร้สาระแต่อย่างใด

หากเนื้อเรื่องตอนที่ Bruce Wayne ต้องพิสูจน์ตนเอง เมื่อเขาถูกขังคุกในเหวลึกที่แทบไม่เคยมีใครปีนหนีไปได้ เป็นฉากที่ยิ่งใหญ่ที่สุดใน Dark Knight Rise แล้ว เนื้อเรื่องใน Iron Man 3 หลังจากที่ Tony Stark รอดชีวิตจากการโดนถล่มบ้าน แต่ก็ไม่เหลืออะไรนอกจากชุดเกราะที่ทั้งชำรุดแถมพลังงานก็หมด จนนำไปสู่การคลี่คลายปริศนาต่างๆ ที่ต้องทำโดยไม่พึ่งพาอุปกรณ์ไฮเทค ก็จะเป็นฉากใหญ่ ที่เป็นการปิดท้ายไตรภาค Iron Man นี้ได้อย่างสมบูรณ์เช่นกัน

ใครที่เป็นแฟนการ์ตูน Hero จากฝั่งอเมริกา หรือถึงไม่ใช่แฟนการ์ตูน แต่ชอบหนังแอ็คชั่นมันส์ๆ แต่ก็มีบทที่ซึ้งๆ กินใจผู้ชม..ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง

…………………………….

ปล.ผมเห็น Iron Man 3 แล้วนึกถึง Sherlock Holmes ฉบับที่ RDJ แสดงคู่กับ Jude Law อะครับ เนื่องจากภาคนี้ต้องบู๊เองโดยที่ไม่ได้ใส่เกราะเยอะมาก ( แถม Tony Stark กับ ผู้พัน James Rhodes ยังเป็นคู่หูคู่ฮาพอๆ กับ Holmes และ Watson ในเรื่องนั้นอีกต่างหาก )

ปล.2 เดี๋ยวจะไม่เชื่อกันว่าผมเดินเท้าไปดู Iron Man 3 จริงๆ ไปกระทู้นี้เลยครับ http://ppantip.com/topic/30448525
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่