สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 3
สายชาร์ตมือถือไม่สมควรอยู่ตรงบริเวณนั้น
วิญญูชนทั่วไปไม่อาจคาดหมายได้ว่าจะมีคนนำมือถือมาชาร์ตบริเวณนั้น
เมื่อมีการเตะจนมือถือและสายชาร์ตเสียหาย
ต้องแยกเป็นสองประเด็นว่า ใครเป็นฝ่ายประมาทในเรื่องนี้
๑ เจ้าของมือถือประมาท และเล็งเห็นผลอยู่แล้วว่าอาจมีคนเดินเตะก็ได้ แต่ก็ยังยอมเสี่ยงภัยเอง
๒ ผู้ที่เดินเตะประมาท เพราะไม่อาจรู้ได้ว่ามีคนเอามาชาร์ตมือถือในบริเวณนั้น เมื่อเดินเตะจนเสียหาย จะถือว่าผู้เตะประมาทหรือไม่
เมื่อปรากฎว่าต่างฝ่ายต่างกระทำโดยประมาทำไม่หยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
เรื่องนี้ผู้ที่ประมาทมากกว่า ผมมองว่าคือเจ้าของมือถือนั้น
ส่วนคนเดินเตะ ไม่อาจทราบได้ว่ามีการชาร์ตมือถืออยู่ เรื่องที่เดินไปเตะจึงไม่อาจคาดหมายได้
หากจะต้องรับผิดก็เป็นส่วนน้อยกว่าเจ้าของมือถือนั่นเอง
สำหรับเรื่องการจอดรถในที่ห้ามจอด แล้วมีรถอีกคันมาชน
ก็ใช้วิธีวินิจฉัยเช่นเดียวกับเรื่องนี้เช่นกัน กล่าวคือ
คนจอดประมาทหรือไม่ คำว่าประมาทคือ รู้ทั้งรู้ว่าห้ามจอดก็ยังจอด
ดังนั้นโอกาสเสี่ยงภัยในบริเวณนั้นจึงมีสูงกว่าบริเวณอื่น
ดังนั้นหากยังขืนจอด ก็ถือว่าย่อมเล็งเห็นผลที่อาจเกิดขึ้นได้
ส่วนรถที่มาชน แน่นอนหากเกิดจากความประมาท
ก็ต้องมาดูว่า คนจอด ประมาทด้วยหรือไม่ หรือว่าการชนเป็นอุบัติเหตุ
หากเป้นความประมาท และ คนจอดก็ประมาท
ในทางกฎหมายจะดูว่าใครประมาทไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
ความรับผิดก็จะถัวเฉลี่ยกันไป ไม่ใช่จะกล่าวอ้างเพื่อให้อีกฝ่ายรับผิดเพียงผู้เดียว
แต่ถ้าเป็นเรื่องอุบัติเหตุ และไม่อาจคาดหมายได้ว่า จะมีใครงี่เง่าเอารถมาจอดบริเวณที่ห้ามจอด
หากคันที่ชนพิสูจน์ได้ว่ามิได้กระทำโดยประมาท นอกจากจะไม่ต้องรับผิดต่อรถที่จอดแล้ว
บางทีรถคันที่จอดอาจต้องรับผิดกับผู้ที่มาชนอีกด้วย
ไม่เชื่อลองค้นฎีกาเรื่องจอดรถบรรทุกข้างทางเพราะรถเสียซิครับ
จากนั้นก็มีรถอีกคันมาชนท้ายคนเสียหาย
สรุปคือ รถบรรทุกต้องไปจ่ายให้กับคันที่มาชน เพราะรถบรรทุกประมาทมากกว่านั่นเอง
วิญญูชนทั่วไปไม่อาจคาดหมายได้ว่าจะมีคนนำมือถือมาชาร์ตบริเวณนั้น
เมื่อมีการเตะจนมือถือและสายชาร์ตเสียหาย
ต้องแยกเป็นสองประเด็นว่า ใครเป็นฝ่ายประมาทในเรื่องนี้
๑ เจ้าของมือถือประมาท และเล็งเห็นผลอยู่แล้วว่าอาจมีคนเดินเตะก็ได้ แต่ก็ยังยอมเสี่ยงภัยเอง
๒ ผู้ที่เดินเตะประมาท เพราะไม่อาจรู้ได้ว่ามีคนเอามาชาร์ตมือถือในบริเวณนั้น เมื่อเดินเตะจนเสียหาย จะถือว่าผู้เตะประมาทหรือไม่
เมื่อปรากฎว่าต่างฝ่ายต่างกระทำโดยประมาทำไม่หยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
เรื่องนี้ผู้ที่ประมาทมากกว่า ผมมองว่าคือเจ้าของมือถือนั้น
ส่วนคนเดินเตะ ไม่อาจทราบได้ว่ามีการชาร์ตมือถืออยู่ เรื่องที่เดินไปเตะจึงไม่อาจคาดหมายได้
หากจะต้องรับผิดก็เป็นส่วนน้อยกว่าเจ้าของมือถือนั่นเอง
สำหรับเรื่องการจอดรถในที่ห้ามจอด แล้วมีรถอีกคันมาชน
ก็ใช้วิธีวินิจฉัยเช่นเดียวกับเรื่องนี้เช่นกัน กล่าวคือ
คนจอดประมาทหรือไม่ คำว่าประมาทคือ รู้ทั้งรู้ว่าห้ามจอดก็ยังจอด
ดังนั้นโอกาสเสี่ยงภัยในบริเวณนั้นจึงมีสูงกว่าบริเวณอื่น
ดังนั้นหากยังขืนจอด ก็ถือว่าย่อมเล็งเห็นผลที่อาจเกิดขึ้นได้
ส่วนรถที่มาชน แน่นอนหากเกิดจากความประมาท
ก็ต้องมาดูว่า คนจอด ประมาทด้วยหรือไม่ หรือว่าการชนเป็นอุบัติเหตุ
หากเป้นความประมาท และ คนจอดก็ประมาท
ในทางกฎหมายจะดูว่าใครประมาทไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
ความรับผิดก็จะถัวเฉลี่ยกันไป ไม่ใช่จะกล่าวอ้างเพื่อให้อีกฝ่ายรับผิดเพียงผู้เดียว
แต่ถ้าเป็นเรื่องอุบัติเหตุ และไม่อาจคาดหมายได้ว่า จะมีใครงี่เง่าเอารถมาจอดบริเวณที่ห้ามจอด
หากคันที่ชนพิสูจน์ได้ว่ามิได้กระทำโดยประมาท นอกจากจะไม่ต้องรับผิดต่อรถที่จอดแล้ว
บางทีรถคันที่จอดอาจต้องรับผิดกับผู้ที่มาชนอีกด้วย
ไม่เชื่อลองค้นฎีกาเรื่องจอดรถบรรทุกข้างทางเพราะรถเสียซิครับ
จากนั้นก็มีรถอีกคันมาชนท้ายคนเสียหาย
สรุปคือ รถบรรทุกต้องไปจ่ายให้กับคันที่มาชน เพราะรถบรรทุกประมาทมากกว่านั่นเอง
แสดงความคิดเห็น
จากกระทู้เดินเตะสายชาร์จไอโฟน ในทางกม. ถือว่าใครผิดครับ
http://ppantip.com/topic/30446948
คร่าวๆคือ จขกท. เดินไปเตะสายชาร์จที่กำลังชาร์จไอโฟนซึ่งวางขวางทางเดินสาธารณะอยู่ จนไอโฟนตกพื้น
สมมติว่าไอโฟนเครื่องนั้นกระแทกพื้นและเสีย และเจ้าของไอโฟนจะฟ้องเพื่อเอาผิดในทางกม. สามารถเอาผิดจขกท. ได้หรือไม่
ส่วนตัวคิดว่าไม่น่าได้ เผลอๆจขกท. ยังสามารถฟ้องกลับได้ด้วย แต่ผมไม่ได้รู้เรื่องกฏหมาย ใครรู้เรื่องกฏหมายช่วยเข้ามาให้ความรู้หน่อยครับ