No.23
จั่วหัว : IRON MAN RISES!!![ฮีโร่ขอผงาด สไตล์ไอรอนแมน]
IRON MAN 3 : มหาประลัย คนเกราะเหล็ก 3
คมนิด จี๊ดเลย : เงินทองของนอกกาย ไม่ตายก็หาใหม่ได้ ถ้าเราเป็น"คนจริง"
Napat's Rating : (A-) , 9 /10
Update เรื่องหนัง ทันใจ คลิิกLIKE!! : https://www.facebook.com/Napat.Tang.Fans
- คำเตือน : นี่คือเรตติ้งและความคิดเห็นส่วนตัวหลังชมหนังของผมคนเดียวเท่านั้น ย้ำว่าส่วนตัวนะครับ บางคนเห็นตรง บางคนอาจเห็นต่าง ถือว่าเอามาแลกเปลี่ยนทัศนะกันเฉยๆ โปรดอย่าได้ถือสากับคำวิจารณ์ของผมเลยนะครับ เพราะเป็นเพียงอีกหนึ่งเสียงจากการชมหนังในฐานะคนดูหนังธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น -
จากใจ..ถึงหนังเรื่องนี้ : ไม่น่าเชื่อว่าตั้งแต่หนังไอรอนแมนภาคแรกเข้าโรง จวบจนมาถึงภาคนี้ เวลาผ่านพ้นไปเร็วมากจนหนังสามารถคลอดภาคสามออกมาให้ได้เชยชมกันแล้ว โดยเปลี่ยนมือผู้กำกับจาก จอห์น ฟาฟโรว์ ไปเป็นเชน แบล๊ค ผู้ซึ่งนำไอรอนแมนกลับมาปัดฝุ่นและเขียนบทเล่าเรื่องกำกับเองใหม่หมดจนอยู่หมัด ในขณะที่ผกก.คนเก่าก็ขอแวบไปเป็นนักแสดงเป็นบอร์ดี้การ์ดจอมแสบอย่าง"แฮปปี้"แทน ซึ่งแย่งซีนได้ดีทีเดียว
กระนั้นเมื่อพูดถึงภาครวมของหนังภาคนี้ต้องบอกได้เลยว่าทำได้ดีถึงดีมาก สำหรับผมถึอว่าเป็นหนังไอรอนแมนที่ดีที่สุดในบรรดาสามภาค ทั้งเรื่องจังหวะหนัง บทหนัง การแสดง ดนตรีประกอบ ฉาก ซีจี สุดอลัง สุดเฟี้ยว ทุกอย่างทำได้ครบครันและดูกลมกล่อมมาก
แม้ว่าหนังจะโคตรเป็นหนังฮีโร่สุดสำเร็จเลย แต่มีหลายฉากในเรื่องที่เชื่อว่าหลายคนรวมทั้งผมต้องยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า"ละสายตา"ออกจากจอไม่ได้จริงๆ ประหนึ่งว่าถ้าไอรอนแมนเป็นหนังสือ หนังสือเล่มนี้คงจะยิ่งอ่านแล้วยิ่งวางไม่ลงเลยก็ว่าได้ บอกแค่นี้ว่าควรไปชมในโรง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในโรงIMAXสามมิติ จะได้อรรถรสมากๆแน่นอน
[ต่อไปนี้จะขอรีวิวขั้นลึก อาจมีสปอยส์เนื้อหาบางส่วน ซึ่งผมจะสปอยส์เชิงวิพากษ์ ไม่เปิดเผยเนื้อหาของหนังจนเสียอรรถรสมากเกินไป แต่ถ้าใครอยากเมคชัวร์ต้องการพิสูจน์เองในโรงก็ข้ามบทความหลังจากนี้ไปก่อนนะครับ]
ก่อนอื่นเรามาทบทวนประวัติของวีรบุรุษเกราะเหล็กผู้นี้กันอีกสักทีดีกว่า เริ่มจากแรกเริ่ม เขาคือ โทนี่ สตาร์ค นักธุรกิจพ่อค้าอาวุธและเทคโนโลยีแห่งสตาร์คอินดิสทรี ผู้ซึ่งเคยถูกปองร้ายถึงชีวิตจนได้ผันตัวมาเป็นฮีโร่หุ่นเหล็ก ส่วนตัวเขาเคยเป็นเพล์บอย แบดบอย มากล้นด้วยอีโก้ หยิ่งทะนง แต่กระนั้นก็เต็มไปด้วยสติปัญญา เฉลียวฉลาดว่องไว ถึงขั้นอัจฉริยะ
แต่มาภาคนี้ด้วยภาระต่างๆมากมายที่เขาต้องแบกรับทั้งการเป็นฮีโร่ภายใต้หน้ากาก และนอกหน้ากากที่เขาได้เปิดเผยตัวตนต่อสาธารณชนซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของไอรอนแมนที่แหวกขนบฮีโร่ที่ไม่ปิดทองหลังพระ ทำดีแต่เพียงเบื้องหลัง และผลกระทบจากสิ่งเหล่านี้ทำให้เขาเกิดความเครียดจนนอนไม่หลับ ซึ่งเป็นจุดแรกของเรื่องในภาคนี้ที่เราเห็นว่าสตาร์คคนเดิมได้เปลี่ยนไป
หนังได้เล่าย้อนไปในอดีตเพื่อที่จะบอกว่า ตัวของไอรอนแมนนั้น ได้สร้างปีศาจร้ายขึ้นมาโดยที่เขาไม่รู้ตัว ซีนนี้ถือว่าน่านำมาขบคิดมากครับเพราะเป็นซีนที่มีความน่าเชื่อถือจากพฤติกรรมของไอรอนแมนเป็นทุนเดิม นั่นคือความหยิ่งทะนง ไม่แคร์ใคร นั่นเป็นต้นเหตุแห่งความ
ในชีวิตของเขาในหนังภาคนี้ น่าคิดว่าในชีวิตคนเรา บางทีเรื่องเล็กๆน้อยๆที่เรามองข้ามและไม่สนใจ จนในบางทีอาจเป็นคำขอหรือคำสัญญาอะไรสักอย่าง ถ้าเราไม่รับผิดชอบกับสิ่งที่เราพูดหรือสัญญาไว้ มันอาจทำให้ทัศนคติของคนๆหนึ่งที่มีกับเรานั้นถูกเปลี่ยนไปตลอดกาลเลยก็เป็นได้ครับ ซึ่งน่าเสียดายที่ว่าหลายๆครั้งในชีวิตของเรารวมถึงของไอรอนแมน เวลามารู้อะไรแบบนี้ก็มักจะสายเกินแก้เสียแล้ว
หนังไม่รอช้าที่จะพากลับมาจากอดีตเข้าช่วงปัจจุบัน ที่ซึ่งมีสตาร์คได้เริ่มส่งกลื่นอายอาการแปลกๆออกมาทำให้เพพเปอร์เริ่มไม่ค่อยสบอารมณ์ อีกทั้งยังมีกิลเลี่ยน นักธุรกิจผู้มั่งมีได้ปรากฏตัวขึ้นอันทำให้โทนี่ สตาร์คเริ่มระแวงว่าเขาจะมาเป็นมือที่สาม ท่ามกลางเรื่องราวส่วนตัวที่ไม่เรียบร้อย หนังได้เปิดเผยให้เห็นตัวร้ายอย่างแมนดาริน ผู้ลึกลับและน่ากลัว เตรียมแผนการถล่มอเมริกา
เรื่องทุกอย่างถึงจุดวิกฤติในช่วงแรกเมื่อ "แฮปปี้" บอดี้การ์ดคู่ใจของไอรอนแมนถูกระเบิดของพวกแมนดารินทำร้ายหน้าไชนีส เธียร์เตอร์ ทำให้มิสเตอร์สตาร์คโกรธจัด จนออกปากท้าแมนดารินให้มาไฟ้ว์กันถึงบ้านพร้อมแจกที่อยู่เสร็จสรรพ ทีนี้ซวยตรงแมนดารินส่งคนมาจัดให้เต็มๆ แต่กระนั้นสตาร์คก็ล่วงรู้จากสายของอีกฝั่งมาว่ากิลเลี่ยนได้ทำงานให้แมนดารินด้วย การสาวไส้ไปยังต้นตออาจเริ่มมีที่คลำทางบ้างแล้ว
แต่กว่าจะคลำทางได้ ก็เล่นเอาพี่สตาร์คเฟลยาวตกทะเลจมน้ำและพาร่างสะบักสะบอมไปยังเมืองเล็กๆโซนเหนือที่เต็มไปด้วยหิมะ ที่นี่เขาได้เจอกับเด็กคนหนึ่งนามว่า "ฮาร์ลี" ผู้ซึ่งผันตัวมาเป็นผู้ช่วยจำเป็นของเขา อีกทั้งยังเป็นผู้ดึงสติของสตาร์คจากความเครียดให้กลับมาเป็นคนปกติได้อีกด้วย จะเห็นว่าในภาคนี้สตาร์คนอกจากจะต้องกลับสู่วังวนเฟลๆเดิมๆที่ไม่เหลืออะไรแล้ว เขายังต้องพึ่งพาผู้อื่น และตระหนักกับตัวเองอีกครั้งว่า ทุกอย่างมีขึ้นก็ต้องมีลง สถานะฮีโร่ของเขาอาจกลายเป็นเพียง No One ในที่อีกแห่งก็เป็นได้ และเขาก็พบว่าจริงๆแล้วเราล้วนแต่ต้องพึ่งพากันและกัน ไม่มีใครที่จะฉายเดี่ยวโดยปราศจากแรงผลักดันจากคนรอบข้างไปได้ตลอดหรอก การมาของฮาร์ลี และความช่วยเหลืออีกสักเล็กน้อยจากผู้คนที่ไม่รู้จักทำให้เขาได้สัมผัสชีวิตที่เป็นปกติอย่างที่ควรจะเป็นอีกสักครั้งดูบ้าง ก่อนที่เขาจะรวบรวมพลังกายพลังใจ และหาทางกลับไปปะทะกับแมนดารินสุดเหี้ยมอีกครั้ง
ในหนังภาคนี้เราจะเห็นวายร้ายเริ่มมีการทดลองทางวิทยาศาสตร์จนดูมีพลังอำนาจและพละกำลังที่เหนือมนุษย์ด้วยการเป็นมนุษย์ไฟ เอกซ์ติมิส ซึ่งผมคิดว่าทุกฉากที่ปรากฏมา ดูเป็นตัวร้ายที่มีความน่ากลัวมาก ดูหลอนๆจิตๆและพร้อมจัดการศัตรูได้ทุกเมื่อ ถือว่าทำดีไซน์ได้ดีดูน่ากลัวมากครับ หลอนทุกครั้งที่ปรากฏมาบนจอ
สิ่งที่โดดเด่นในภาคนี้คงจะยกให้กับเรื่องของการกำกับและการเขียนบทของเชน แบล๊คที่ทำออกมาได้ลงตัวกลมกล่อมมากๆครับ หนังดูสนุกตลอดเรื่อง และฉากที่มันส์อย่างเช่น ฉากถล่มบ้าน ฉากเครื่องบิน ไปจนถึงช่วงท้ายที่เอากันมันส์ให้บ้าไปข้างนึงเลย และนับว่าเป็นไอรอนแมนที่ปล่อยลูกบ้ามาหนักสุดในบรรดาสามภาค อีกทั้งหนังยังเต็มไปด้วยบทสนทนาเชือดเฉือนถึงกึ๋น มีอารมณ์ขัน และดำเนินเรื่องเสมือนเป็นหนังสายลับแบบเจมส์ บอนหย่อมๆเลยก็ว่าได้
นอกจากนี้สิ่งที่โดดเด่นออกมาในหนังเรื่องนี้คือการที่หนังทั้งเรื่องมีแบ็คกราวน์อยู่ในช่วงเทศกาลคริสต์มาส ซึ่งรู้กันดีว่ามันคือเทศกาลแห่งความสุขและความหวัง ซึ่งสิ่งที่แมนดารินกำลังจะทำก็คือการทำลายความสุขและความหวังของปวงชนทั้งประเทศ หรืออาจจะทั้งโลก ดังนั้นไอรอนแมนก็ผ่านและเผชิญกับฝันร้ายที่เป็นเรื่องจริงก่อนช่วงคริสต์มาสจะมาถึง และต้องหาทางพลิกวิกฤติการณ์นี้ให้ได้ ซึ่งหนังได้สร้างเสน่ห์อารมณ์คริสต์มาสในหนังฮีโร่ได้ด้วยบรรยากาศหนังเพลง ดนตรี มู้ดโทนที่ดูดีมาก และผมว่านี่คือของแถมชิ้นงามที่หนังเรื่องนี้มอบให้กับเรา เสียดายที่หนังน่าจะฉายช่วงคริสต์มาสด้วย ไม่งั้นจะยิ่งฟินและได้อารมณ์กว่านี้อีก จุดนี้เป็นอะไรที่เกินคาดและก็ชอบมากๆครับ
ในส่วนของดนตรีประกอบภาคนี้ก็ทำได้เร้าใจ มีมาตรฐานดีจากไบรอัน ไทเลอร์ ผู้ช่ำชองกับหนังแนวๆนี้ ช่วยส่งให้หนังดูอลังขึ้นได้อย่างเห็นได้ชัดครับ ส่วนเรื่องของฉาก ซีจี เอฟเฟค ไม่ต้องถามเลย ภาคนี้ดูจัดเต็มกว่าทุกภาค และเชื่อว่าทุกท่านจะเพลินกับชุดไอรอนแมนจนเลือกไม่ถูกแน่ๆว่าอยากสวมชุดไหนกันดี
ทางด้านนักแสดงอย่างโรเบิร์ต ดาวน์นี่ จูเนียร์ก็มาดเท่ตามเคย และภาคนี้ก็ดูแสดงมิติได้มากกว่าทุกภาคครับ ดูเป็นคนแบบจับต้องได้มากกว่าการ์ตูนๆในแบบสองภาคที่ผ่านมา กวินเนธ พัลโทร์ว ก็มาตรฐานคงที่อยู่แล้ว แถมมีบู๊ด้วยในภาคนี้ เป็นลุคใหม่ที่น่าสนใจครับ ส่วนกาย เพียซ ในบทกิลเลี่ยน และ ท่านเซอร์ เบน คิงส์ลี ผู้รับบทแมนดาริน อันนี้ก็สุดยอดจริงๆครับ ต้องไปดูเองว่าเป็นไง แต่เกินคาดครับกับคาแรคเตอร์นี้ รวมถึงพู้ผันโร้ดส์และคนอื่นๆก็ทำได้ดีเช่นกัน
สุดท้ายหนังก็ได้ทิ้งบทสรุปที่ดีครับซึ่งแน่นอนว่าต้องเป็นปลายเปิดเพื่อภาคต่อ แต่ในเรื่องนั้นหนังก็ได้เคลียร์ทุกอย่างจนจบให้ไม่มีอะไรคาใจครับ และส่วนตัวที่ชอบคำพูดของโทนี่ สตาร์คในช่วงท้ายมากที่กล่าวในเชิงว่า แม้ว่าเขาจะถูกพรากของเล่น ทรัพย์สินเงินทอง ชื่อเสียง หรืออะไรก็ตาม แต่สิ่งนึงที่จะพรากไปจากเขาไม่ได้นั่นคือตัวตนของเขา
เพราะความมี"ตัวตน"ถือเป็นสิ่งสำคัญและเป็นดังเป้าหมายทางจิตวิญญาณที่เป็นคำตอบให้กับเราทุกคนว่า "ทำไมเรายังต้องอยู่บนโลกใบนี้และใช้ชีวิตต่อไป?" แม้ว่าเราสูญสิ้นทุกอย่าง เราก็สามารถเริ่มใหม่ได้ ตราบเท่าเรายังไม่สูญสิ้นความเป็นตัวเอง นี่คือสื่งที่ไอรอนแมนพยายามจะพิสูจน์ให้เราดู แล้วให้เราถามตัวเองว่า
"วันนี้เราเป็น'คนจริง'แบบไอรอนแมนแล้วหรือยัง?"
ปล.สุดท้ายขอฝากหนังตัวอย่างทีเซอร์ "หนังซอมบี้-ไซไฟ" ผลงานเรื่องใหม่ของผมไว้ด้วยนะคร้าบ คาดว่าจะมาในช่วงเดือนสิงหาคมครับ
อันนี้ตัวอย่างหนัง "IRON MAN 3" ครับ
แถมตัวอย่างเวอร์ชั่นล้อเลียนโดยคนไทย ทีมเฟดเฟ่ ที่กำลังระบาดไปทั่วโลกครับ ลองดูแล้วเทียบกับอันจริงได้ อิอิ
ขอลากันด้วยดนตรีเพราะๆจากภาคนี้ นำมาให้ฟังกันครับ จะได้กลิ่นอายอารมณ์ไอรอนแมนในแบบฉบับของภาคนี้มากๆครับ
ติดตามผลงานรีวิวอื่นๆและผลงานหนังสั้นต่อได้ที่นี่ครับ
ใครชอบอ่านรีวิวหรืออยากติดตามเรื่องราวข่าวสารดีๆจากผม
ผมจะไป"แชร์"ให้ทุกท่านโดยตรงในเพจด้านล่างนี้นะคร้าบ มาLikeเยอะๆนะคร้าบ คลิกไปแล้วไม่ผิดหวังครับ!!
https://www.facebook.com/Napat.Tang.Fans
https://www.facebook.com/S.L.Studios.Ent
ขอบคุณที่ติดตามอ่านกันนะครับ
IRON MAN RISES!!![ฮีโร่ขอผงาด สไตล์ไอรอนแมน] กระทู้รีวิวหนังมันส์ๆ มีเนื้อหาสปอยส์บางส่วน
No.23
จั่วหัว : IRON MAN RISES!!![ฮีโร่ขอผงาด สไตล์ไอรอนแมน]
IRON MAN 3 : มหาประลัย คนเกราะเหล็ก 3
คมนิด จี๊ดเลย : เงินทองของนอกกาย ไม่ตายก็หาใหม่ได้ ถ้าเราเป็น"คนจริง"
Napat's Rating : (A-) , 9 /10
Update เรื่องหนัง ทันใจ คลิิกLIKE!! : https://www.facebook.com/Napat.Tang.Fans
- คำเตือน : นี่คือเรตติ้งและความคิดเห็นส่วนตัวหลังชมหนังของผมคนเดียวเท่านั้น ย้ำว่าส่วนตัวนะครับ บางคนเห็นตรง บางคนอาจเห็นต่าง ถือว่าเอามาแลกเปลี่ยนทัศนะกันเฉยๆ โปรดอย่าได้ถือสากับคำวิจารณ์ของผมเลยนะครับ เพราะเป็นเพียงอีกหนึ่งเสียงจากการชมหนังในฐานะคนดูหนังธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น -
จากใจ..ถึงหนังเรื่องนี้ : ไม่น่าเชื่อว่าตั้งแต่หนังไอรอนแมนภาคแรกเข้าโรง จวบจนมาถึงภาคนี้ เวลาผ่านพ้นไปเร็วมากจนหนังสามารถคลอดภาคสามออกมาให้ได้เชยชมกันแล้ว โดยเปลี่ยนมือผู้กำกับจาก จอห์น ฟาฟโรว์ ไปเป็นเชน แบล๊ค ผู้ซึ่งนำไอรอนแมนกลับมาปัดฝุ่นและเขียนบทเล่าเรื่องกำกับเองใหม่หมดจนอยู่หมัด ในขณะที่ผกก.คนเก่าก็ขอแวบไปเป็นนักแสดงเป็นบอร์ดี้การ์ดจอมแสบอย่าง"แฮปปี้"แทน ซึ่งแย่งซีนได้ดีทีเดียว
กระนั้นเมื่อพูดถึงภาครวมของหนังภาคนี้ต้องบอกได้เลยว่าทำได้ดีถึงดีมาก สำหรับผมถึอว่าเป็นหนังไอรอนแมนที่ดีที่สุดในบรรดาสามภาค ทั้งเรื่องจังหวะหนัง บทหนัง การแสดง ดนตรีประกอบ ฉาก ซีจี สุดอลัง สุดเฟี้ยว ทุกอย่างทำได้ครบครันและดูกลมกล่อมมาก
แม้ว่าหนังจะโคตรเป็นหนังฮีโร่สุดสำเร็จเลย แต่มีหลายฉากในเรื่องที่เชื่อว่าหลายคนรวมทั้งผมต้องยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า"ละสายตา"ออกจากจอไม่ได้จริงๆ ประหนึ่งว่าถ้าไอรอนแมนเป็นหนังสือ หนังสือเล่มนี้คงจะยิ่งอ่านแล้วยิ่งวางไม่ลงเลยก็ว่าได้ บอกแค่นี้ว่าควรไปชมในโรง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในโรงIMAXสามมิติ จะได้อรรถรสมากๆแน่นอน
[ต่อไปนี้จะขอรีวิวขั้นลึก อาจมีสปอยส์เนื้อหาบางส่วน ซึ่งผมจะสปอยส์เชิงวิพากษ์ ไม่เปิดเผยเนื้อหาของหนังจนเสียอรรถรสมากเกินไป แต่ถ้าใครอยากเมคชัวร์ต้องการพิสูจน์เองในโรงก็ข้ามบทความหลังจากนี้ไปก่อนนะครับ]
ก่อนอื่นเรามาทบทวนประวัติของวีรบุรุษเกราะเหล็กผู้นี้กันอีกสักทีดีกว่า เริ่มจากแรกเริ่ม เขาคือ โทนี่ สตาร์ค นักธุรกิจพ่อค้าอาวุธและเทคโนโลยีแห่งสตาร์คอินดิสทรี ผู้ซึ่งเคยถูกปองร้ายถึงชีวิตจนได้ผันตัวมาเป็นฮีโร่หุ่นเหล็ก ส่วนตัวเขาเคยเป็นเพล์บอย แบดบอย มากล้นด้วยอีโก้ หยิ่งทะนง แต่กระนั้นก็เต็มไปด้วยสติปัญญา เฉลียวฉลาดว่องไว ถึงขั้นอัจฉริยะ
แต่มาภาคนี้ด้วยภาระต่างๆมากมายที่เขาต้องแบกรับทั้งการเป็นฮีโร่ภายใต้หน้ากาก และนอกหน้ากากที่เขาได้เปิดเผยตัวตนต่อสาธารณชนซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของไอรอนแมนที่แหวกขนบฮีโร่ที่ไม่ปิดทองหลังพระ ทำดีแต่เพียงเบื้องหลัง และผลกระทบจากสิ่งเหล่านี้ทำให้เขาเกิดความเครียดจนนอนไม่หลับ ซึ่งเป็นจุดแรกของเรื่องในภาคนี้ที่เราเห็นว่าสตาร์คคนเดิมได้เปลี่ยนไป
หนังได้เล่าย้อนไปในอดีตเพื่อที่จะบอกว่า ตัวของไอรอนแมนนั้น ได้สร้างปีศาจร้ายขึ้นมาโดยที่เขาไม่รู้ตัว ซีนนี้ถือว่าน่านำมาขบคิดมากครับเพราะเป็นซีนที่มีความน่าเชื่อถือจากพฤติกรรมของไอรอนแมนเป็นทุนเดิม นั่นคือความหยิ่งทะนง ไม่แคร์ใคร นั่นเป็นต้นเหตุแห่งความในชีวิตของเขาในหนังภาคนี้ น่าคิดว่าในชีวิตคนเรา บางทีเรื่องเล็กๆน้อยๆที่เรามองข้ามและไม่สนใจ จนในบางทีอาจเป็นคำขอหรือคำสัญญาอะไรสักอย่าง ถ้าเราไม่รับผิดชอบกับสิ่งที่เราพูดหรือสัญญาไว้ มันอาจทำให้ทัศนคติของคนๆหนึ่งที่มีกับเรานั้นถูกเปลี่ยนไปตลอดกาลเลยก็เป็นได้ครับ ซึ่งน่าเสียดายที่ว่าหลายๆครั้งในชีวิตของเรารวมถึงของไอรอนแมน เวลามารู้อะไรแบบนี้ก็มักจะสายเกินแก้เสียแล้ว
หนังไม่รอช้าที่จะพากลับมาจากอดีตเข้าช่วงปัจจุบัน ที่ซึ่งมีสตาร์คได้เริ่มส่งกลื่นอายอาการแปลกๆออกมาทำให้เพพเปอร์เริ่มไม่ค่อยสบอารมณ์ อีกทั้งยังมีกิลเลี่ยน นักธุรกิจผู้มั่งมีได้ปรากฏตัวขึ้นอันทำให้โทนี่ สตาร์คเริ่มระแวงว่าเขาจะมาเป็นมือที่สาม ท่ามกลางเรื่องราวส่วนตัวที่ไม่เรียบร้อย หนังได้เปิดเผยให้เห็นตัวร้ายอย่างแมนดาริน ผู้ลึกลับและน่ากลัว เตรียมแผนการถล่มอเมริกา
เรื่องทุกอย่างถึงจุดวิกฤติในช่วงแรกเมื่อ "แฮปปี้" บอดี้การ์ดคู่ใจของไอรอนแมนถูกระเบิดของพวกแมนดารินทำร้ายหน้าไชนีส เธียร์เตอร์ ทำให้มิสเตอร์สตาร์คโกรธจัด จนออกปากท้าแมนดารินให้มาไฟ้ว์กันถึงบ้านพร้อมแจกที่อยู่เสร็จสรรพ ทีนี้ซวยตรงแมนดารินส่งคนมาจัดให้เต็มๆ แต่กระนั้นสตาร์คก็ล่วงรู้จากสายของอีกฝั่งมาว่ากิลเลี่ยนได้ทำงานให้แมนดารินด้วย การสาวไส้ไปยังต้นตออาจเริ่มมีที่คลำทางบ้างแล้ว
แต่กว่าจะคลำทางได้ ก็เล่นเอาพี่สตาร์คเฟลยาวตกทะเลจมน้ำและพาร่างสะบักสะบอมไปยังเมืองเล็กๆโซนเหนือที่เต็มไปด้วยหิมะ ที่นี่เขาได้เจอกับเด็กคนหนึ่งนามว่า "ฮาร์ลี" ผู้ซึ่งผันตัวมาเป็นผู้ช่วยจำเป็นของเขา อีกทั้งยังเป็นผู้ดึงสติของสตาร์คจากความเครียดให้กลับมาเป็นคนปกติได้อีกด้วย จะเห็นว่าในภาคนี้สตาร์คนอกจากจะต้องกลับสู่วังวนเฟลๆเดิมๆที่ไม่เหลืออะไรแล้ว เขายังต้องพึ่งพาผู้อื่น และตระหนักกับตัวเองอีกครั้งว่า ทุกอย่างมีขึ้นก็ต้องมีลง สถานะฮีโร่ของเขาอาจกลายเป็นเพียง No One ในที่อีกแห่งก็เป็นได้ และเขาก็พบว่าจริงๆแล้วเราล้วนแต่ต้องพึ่งพากันและกัน ไม่มีใครที่จะฉายเดี่ยวโดยปราศจากแรงผลักดันจากคนรอบข้างไปได้ตลอดหรอก การมาของฮาร์ลี และความช่วยเหลืออีกสักเล็กน้อยจากผู้คนที่ไม่รู้จักทำให้เขาได้สัมผัสชีวิตที่เป็นปกติอย่างที่ควรจะเป็นอีกสักครั้งดูบ้าง ก่อนที่เขาจะรวบรวมพลังกายพลังใจ และหาทางกลับไปปะทะกับแมนดารินสุดเหี้ยมอีกครั้ง
ในหนังภาคนี้เราจะเห็นวายร้ายเริ่มมีการทดลองทางวิทยาศาสตร์จนดูมีพลังอำนาจและพละกำลังที่เหนือมนุษย์ด้วยการเป็นมนุษย์ไฟ เอกซ์ติมิส ซึ่งผมคิดว่าทุกฉากที่ปรากฏมา ดูเป็นตัวร้ายที่มีความน่ากลัวมาก ดูหลอนๆจิตๆและพร้อมจัดการศัตรูได้ทุกเมื่อ ถือว่าทำดีไซน์ได้ดีดูน่ากลัวมากครับ หลอนทุกครั้งที่ปรากฏมาบนจอ
สิ่งที่โดดเด่นในภาคนี้คงจะยกให้กับเรื่องของการกำกับและการเขียนบทของเชน แบล๊คที่ทำออกมาได้ลงตัวกลมกล่อมมากๆครับ หนังดูสนุกตลอดเรื่อง และฉากที่มันส์อย่างเช่น ฉากถล่มบ้าน ฉากเครื่องบิน ไปจนถึงช่วงท้ายที่เอากันมันส์ให้บ้าไปข้างนึงเลย และนับว่าเป็นไอรอนแมนที่ปล่อยลูกบ้ามาหนักสุดในบรรดาสามภาค อีกทั้งหนังยังเต็มไปด้วยบทสนทนาเชือดเฉือนถึงกึ๋น มีอารมณ์ขัน และดำเนินเรื่องเสมือนเป็นหนังสายลับแบบเจมส์ บอนหย่อมๆเลยก็ว่าได้
นอกจากนี้สิ่งที่โดดเด่นออกมาในหนังเรื่องนี้คือการที่หนังทั้งเรื่องมีแบ็คกราวน์อยู่ในช่วงเทศกาลคริสต์มาส ซึ่งรู้กันดีว่ามันคือเทศกาลแห่งความสุขและความหวัง ซึ่งสิ่งที่แมนดารินกำลังจะทำก็คือการทำลายความสุขและความหวังของปวงชนทั้งประเทศ หรืออาจจะทั้งโลก ดังนั้นไอรอนแมนก็ผ่านและเผชิญกับฝันร้ายที่เป็นเรื่องจริงก่อนช่วงคริสต์มาสจะมาถึง และต้องหาทางพลิกวิกฤติการณ์นี้ให้ได้ ซึ่งหนังได้สร้างเสน่ห์อารมณ์คริสต์มาสในหนังฮีโร่ได้ด้วยบรรยากาศหนังเพลง ดนตรี มู้ดโทนที่ดูดีมาก และผมว่านี่คือของแถมชิ้นงามที่หนังเรื่องนี้มอบให้กับเรา เสียดายที่หนังน่าจะฉายช่วงคริสต์มาสด้วย ไม่งั้นจะยิ่งฟินและได้อารมณ์กว่านี้อีก จุดนี้เป็นอะไรที่เกินคาดและก็ชอบมากๆครับ
ในส่วนของดนตรีประกอบภาคนี้ก็ทำได้เร้าใจ มีมาตรฐานดีจากไบรอัน ไทเลอร์ ผู้ช่ำชองกับหนังแนวๆนี้ ช่วยส่งให้หนังดูอลังขึ้นได้อย่างเห็นได้ชัดครับ ส่วนเรื่องของฉาก ซีจี เอฟเฟค ไม่ต้องถามเลย ภาคนี้ดูจัดเต็มกว่าทุกภาค และเชื่อว่าทุกท่านจะเพลินกับชุดไอรอนแมนจนเลือกไม่ถูกแน่ๆว่าอยากสวมชุดไหนกันดี
ทางด้านนักแสดงอย่างโรเบิร์ต ดาวน์นี่ จูเนียร์ก็มาดเท่ตามเคย และภาคนี้ก็ดูแสดงมิติได้มากกว่าทุกภาคครับ ดูเป็นคนแบบจับต้องได้มากกว่าการ์ตูนๆในแบบสองภาคที่ผ่านมา กวินเนธ พัลโทร์ว ก็มาตรฐานคงที่อยู่แล้ว แถมมีบู๊ด้วยในภาคนี้ เป็นลุคใหม่ที่น่าสนใจครับ ส่วนกาย เพียซ ในบทกิลเลี่ยน และ ท่านเซอร์ เบน คิงส์ลี ผู้รับบทแมนดาริน อันนี้ก็สุดยอดจริงๆครับ ต้องไปดูเองว่าเป็นไง แต่เกินคาดครับกับคาแรคเตอร์นี้ รวมถึงพู้ผันโร้ดส์และคนอื่นๆก็ทำได้ดีเช่นกัน
สุดท้ายหนังก็ได้ทิ้งบทสรุปที่ดีครับซึ่งแน่นอนว่าต้องเป็นปลายเปิดเพื่อภาคต่อ แต่ในเรื่องนั้นหนังก็ได้เคลียร์ทุกอย่างจนจบให้ไม่มีอะไรคาใจครับ และส่วนตัวที่ชอบคำพูดของโทนี่ สตาร์คในช่วงท้ายมากที่กล่าวในเชิงว่า แม้ว่าเขาจะถูกพรากของเล่น ทรัพย์สินเงินทอง ชื่อเสียง หรืออะไรก็ตาม แต่สิ่งนึงที่จะพรากไปจากเขาไม่ได้นั่นคือตัวตนของเขา
เพราะความมี"ตัวตน"ถือเป็นสิ่งสำคัญและเป็นดังเป้าหมายทางจิตวิญญาณที่เป็นคำตอบให้กับเราทุกคนว่า "ทำไมเรายังต้องอยู่บนโลกใบนี้และใช้ชีวิตต่อไป?" แม้ว่าเราสูญสิ้นทุกอย่าง เราก็สามารถเริ่มใหม่ได้ ตราบเท่าเรายังไม่สูญสิ้นความเป็นตัวเอง นี่คือสื่งที่ไอรอนแมนพยายามจะพิสูจน์ให้เราดู แล้วให้เราถามตัวเองว่า
"วันนี้เราเป็น'คนจริง'แบบไอรอนแมนแล้วหรือยัง?"
ปล.สุดท้ายขอฝากหนังตัวอย่างทีเซอร์ "หนังซอมบี้-ไซไฟ" ผลงานเรื่องใหม่ของผมไว้ด้วยนะคร้าบ คาดว่าจะมาในช่วงเดือนสิงหาคมครับ
อันนี้ตัวอย่างหนัง "IRON MAN 3" ครับ
แถมตัวอย่างเวอร์ชั่นล้อเลียนโดยคนไทย ทีมเฟดเฟ่ ที่กำลังระบาดไปทั่วโลกครับ ลองดูแล้วเทียบกับอันจริงได้ อิอิ
ขอลากันด้วยดนตรีเพราะๆจากภาคนี้ นำมาให้ฟังกันครับ จะได้กลิ่นอายอารมณ์ไอรอนแมนในแบบฉบับของภาคนี้มากๆครับ
ติดตามผลงานรีวิวอื่นๆและผลงานหนังสั้นต่อได้ที่นี่ครับ
ใครชอบอ่านรีวิวหรืออยากติดตามเรื่องราวข่าวสารดีๆจากผม
ผมจะไป"แชร์"ให้ทุกท่านโดยตรงในเพจด้านล่างนี้นะคร้าบ มาLikeเยอะๆนะคร้าบ คลิกไปแล้วไม่ผิดหวังครับ!!
https://www.facebook.com/Napat.Tang.Fans
https://www.facebook.com/S.L.Studios.Ent
ขอบคุณที่ติดตามอ่านกันนะครับ