++ UCL 2013 การมาของระบบ 4-2-3-1 และการกำเนิดของ MC อีกครั้ง ++

บทสรุปของฟุตบอล Uefa Champion League 2013 ใกล้เข้ามาเต็มที กับการเข้าชิงกันเองของ 2 ยอดทีมจากเมืองเบียร์ อย่าง บาเยิร์น มิวนิค กับ ดอร์ทมุน และความอกหักของ 2 ยอดทีมจากแดนกระทิง ทั้งบาร์เซโลน่า และ รีล มาดริด โดยทั้ง 4 ทีมมีพื้นฐานระบบการเล่นใกล้เคียงกัน คือ 4-2-3-1 ซึ่งเป็นที่นิยมและประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในฟุตบอลยุโรปยุคปัจจุบัน

          ระบบ 4-2-3-1 เป็นระบบที่อาศัยการโจมตีคู่แข่งจากด้านข้าง โดยอาศัยความเร็วและความคล่องจากกองหน้ากึ่งปีก หรือกองกลางตัวรุกด้านข้างเป็นคนทำเกม โดยมีศูนย์หน้าตัวเป้า 1 คนคอยจบสกอร์ พักบอล และปั่นป่วนกองหลัง โดยมีกองกลางตัวรุกอีก 1 คนคอย support และปั้นเกมส์อยู่หลังกองหน้า ซึ่งการทำเกมรุก จะอาศัยนักเตะตำแหน่งเหล่านี้ในการโจมตีคู่แข่งและทำประตู โดยจะีนักเตะอีก 2 คนในตำแหน่ง MC คอยคุมจังหวะเกม จ่ายบอล พักบอล คุมพื้นที่ ตัดเกม และอื่นๆที่ทำให้ทีมตัวเองได้เปรียบ

          ก่อนหน้านี้นักเตะตำแหน่งกองกลางที่มักจะได้รับการยกย่อง และมีชื่อเสียงมากๆ มักจะเป็นกองกลางตัวรุก หรือ Playmaker ที่คอยสร้างสรรค์เกมและสามารถยิงประตูได้ด้วย หรือจะเป็นกองกลางตัวรับขนาดแท้ ที่เข้าสกัดดุดัน แข็งแกร่ง แต่ในระบบ 4-2-3-1 นี้ ทั้ง 2 กองกลางไม่จำเป็นต้องมีความสามารถในการทำเกมรุกหรือรับที่ต้องโดดเด่นเพียงด้านเดียว แต่หากต้องเป็นกองกลางที่มีความสามารถรอบด้านของตำแหน่งกองกลางซึ่งอาจจะไม่เด่นในด้านใดด้านหนึ่งเพียงอย่างเดียว ซึ่งในอดีตจะไม่ได้รับการยกย่องหรือการพูดถึงมากนัก จนหลายคนถูกเรียกว่าเป็นผู้ปิดทองหลังพระเลยทีเดียว

          MC ในยุคปัจจุบันนั้น ต้องเป็นผู้เล่นที่มีเบสิคฟุตบอลดีมากๆ คือการจับ การส่งบอล หรือการเล่นฟุตบอลแบบเบสิคง่ายๆ และที่สำคัญที่สุดคือการอ่านเกม หรือความเข้าใจเกมนั้นต้องมีสูง จะเห็นได้จากการเล่นเกมรับนั้น MC จะไม่ไล่บี้คู่แข่งแบบกัดไม่ปล่อยหรือเข้าสกัดหนัก แต่จะเป็นการคุมพื้นที่ คอยอ่านเกม ปิดทางบอลคู่แข่ง เป็นคนคุมพื้นที่กลางสนาม และแทนตำแหน่งของผู้เล่นเกมรุกที่เสียตำแหน่งและโดนโต้กลับเร็ว โดยความเข้าใจเกมนั้นจะมีส่วนสำคัญในการทำเกมบุกเช่นกัน ซึ่ง MC นั้นจะมีหน้าที่คอยรับบอลจากแดนหลังเพื่อขึ้นเกม คอยหาพื้นที่เพื่อให้เพื่อนส่งบอลง่าย จ่ายบอลให้เพื่อนเล่นง่าย เปลี่ยนจังหวะเกม และคอยเชื่อมเกมอยู่ตลอดเวลา ซึ่งหลายคนอาจจะมองว่าเป็นเรื่องงาย แต่จริงๆแล้วตำแหน่งนี้ต้องมีคุณสมบัติของกองกลางตามที่กล่าวมาถึงจะสามารถทำหน้าทีได้เป็นอย่างดี ซึ่งจะสังเกตได้ว่าตำแหน่งนี้มักจะได้บอลมากเป็นอันดับต้นๆในทีมในแต่ละเกม เพราะเพื่อนในทีมจะเชื่อใจว่าสามารถฝากบอลได้โดยไม่เสียบอล รวมถึงเป็นคนเชื่อมเกมทั้งหมดด้วย

          กลับมามอง 4 ทีมที่เข้ารอบรองชนะเลิศ UCL 2013 นี้ โดยแต่ละทีมต่างมี MC ที่ทำหน้าที่และผลงานได้เป็นอย่างดี ซึ่งถึงแม้ว่า MC แต่ละทีมจะมีหน้าที่หลักแตกต่างกันบ้าง แต่ก็ยืนอยู่ในพื้นฐานเดียวกัน

1. บาเยิร์น มิวนิค = ชไวน์นี่ + ฆ.มาติเนซ
       คู่นี้ถือว่าเป็นคู่ที่มีผลงานดีที่สุดในรอบปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน จนพาทีมเสือใต้ลุ้น triple champ อยู่ในขณะนี้ การมาขอมาติเนซทำให้ชไวน์นี่สามารถเล่นได้ง่ายและสบายขึ้น จนสามารถกลับมาทำผลงานได้ดีอีกครั้ง โดยมาติเนซจะมีบทบาทของการเล่นเกมรับมากกว่าเพราะมีพื้นฐานที่สามารถเล่นกองหลังได้อยู่แล้ว การอ่านเกม ดักบอล เล่นบอลง่าย ที่มาจากความเข้าใจเกมที่ดี รวมถึงการเล่นเกมรับที่มีรูปร่างเป็นความได้เปรียบ ทำให้แบ่งเบาภาระของชไวน์นี่ได้เป็นอย่างมาก ปล่อยให้ชไวนน์นี่สามารถทำเกม เชื่อมเกม หรือบางครั้งสอดเข้าไปในกรอบเขตโทษอย่างสบายใจ เพราะว่ามีมาติเนซคอยระวังหลังให้อยู่

2. ดอร์ทมุน = กุนโดกัน + เบนเดอร์
        เกมการเล่นของเสือเหลืองมีระบบการเล่นที่แข็งแกร่งทั้งระบบจากการวางรากฐานของคล็อป ทำให้ประสบความสำเร็จอย่างมากใน 3 ปีหลังมานี้ โดยในปีนี้ 2 MC ของดอร์ทมุนคอยสนับสนุนทั้งเกมรุกและเกมรับเป็นอย่างดี จากความขยัน และการเล่นตามแทคติคของกุนซืออย่างเคร่งครัด ทำให้แดนกลางของเสือเหลืองมีความแข็งแกร่งจนสามารถล้มราชันชุดขาวมาได้ในที่สุด

3. รีล มาดริด = อลองโซ่ + (โมดริช,เคดีร่า)
        1-2 ปีก่อนหน้านี้ การเล่นคู่ระหว่าง อลองโซ่และเคดีร่า สามารถทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม คนแรกมีความเป็น MC ที่ดีที่สุดคนนึงในยุคนี้ การจ่ายบอลสั้น-ยาว อ่านเกม คุมเกม ทำได้ดีมากๆ ส่วนอีกคนสามารถเล่นเกมรับได้ดีด้วยตัวสูงใหญ่ และสามารสอดขึ้นไปในเขตโทษได้ดีเช่นกัน ทำให้กลางมาดริดแข็งแกร่งมาก แต่ในปีนี้เคดีร่าฟอร์มค่อนข้างตก ส่วนอลองโซ่เองก็ดูจะมีปัญหาเมื่ออายุมากขึ้น ทำให้มูรินโย่ต้องมาใช้โมดริชยืนคู่กับอลองโซ่มากขึ้น ถึงแม้ว่าโมดริชจะทำได้ดีเช่นกันในการครองบอล เชื่อมเกม แต่ด้วยสรีระทำให้เกมรับดูด้อยลง จึงทำให้แดนกลางเสียสมดุลไป  

4. บาร์เซโลน่า = บุสเกตต์ + ชาบี้
         ถึงแม้ทั้ง 2 คนจะเหมือนไม่ได้เล่นคู่กันซะทีเดียว ด้วยระบบของบาซ่าที่นักเตะต้องเคลื่อนที่ตลอดเวลา แต่ด้วยภาระหน้าที่ของทั้งคู่นั้น เกี่ยวข้องกันอยู่ที่กลางสนามด้วยกันทั้งคู่ ด้วยฟอร์มการเล่นของทั้งคู่ บวกกับเมซซี่และเหล่านักเตะบาซ่า ทำให้ทีมนี้ในยุคของ เป็ป กวาดิโอล่า เป็นที่ที่แทบจะไร้เทียมทานเลยทีเดียว บุสเกตต์คอยระวังหลังให้ชาบี้ ตัดเกม อ่านจังหวะ เชื่อเกม เล่นบอลง่ายๆ ซึ่งเค้าทำผลงานได้อย่างสุดยอด ส่วนชาบี้คอยจ่ายบอลสั้น+ยาว คุมเกม เคลื่อนเกมไปข้างหน้าได้อย่างสบายใจ แต่ในปีนี้บุสเกตต์มีอาการบาดเจ็บรวบกวนบ่อย ทำให้ลงสนามไม่ต่อเนื่อง บวกกับชาบี้เองก็ฟอร์มการเล่นตกลงจากอายุที่มากขึ้น การจ่าย Killer pass ในปีนี้มีน้อยลงมาก ทำให้กลางบาซ่าดูอ่อนลงไปอย่างชัดเจน

แถม แมน ยูไนเต็ด = คาริก + (โจนน์,คางาวะ,แอนเดอร์สัน,เคลฟ,รูน,กิ๊ก)
          ถึงแม้ยูไนเต็ดจะไม่ได้เล่น 4-2-3-1 แต่คาริกก็เป็นอีกหนึ่ง MC ที่โดดเด่นมากๆในปีนี้ ซึ่งจริงๆแล้วสไตล์การเล่นก็เป็นลักษณะนี้มาตั้งนานแล้ว แต่มีแฟนบอลหลายคนไม่ชอบ เพราะดูเหมือนไม่มีอะไร เล่นง่ายเกินไป จนมาถึงปีนี้ฟอร์มของเจ้าตัวนับว่าดีที่สุดตั้งแต่ย้ายมาผีแดง เป็นแกนหลักในแดนกลางอันดับหนึ่งของเซอร์เฟอร์กี้ มีส่วนสำคัญกับแชมป์ลีกสมัยที่ 20 ของสโมสรเป็นอย่างมาก จนมีชื่อลุ้นตำแหน่ง PFA 2013 เป็นครั้งแรก ถึงแม้จะไม่ได้รางวัล แต่ก็แสดงให้เห็นว่ามิดฟิลล์ผู้นี้มีส่วนสำคัญกับทีมมากแค่ไหน

          จากที่เขียนมาทั้งหมดนี้จะชี้ให้เห็นว่า ระบบ 4-2-3-1 เป็นระบบที่ใช้งานและประสบความสำเร็จอย่างมากในยุคปัจจุบัน และส่วนสำคัญที่สุดส่วนนึงในระบบนี้คือ การมี MC ที่ทำผลงานและเล่นตามหน้าที่ได้เป็นอย่างดี ช่วยทำให้แดนกลางแข็งแกร่ง และมีความสมดุลในทีม


Fantatista_10
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่