วันเวลาของการเป็นลูกเรือฝึกหัดนั้นช่างผ่านไปไวเหมือนโกหก ไม่นึกเลยว่ากว่าจะได้กลายเป็นนางฟ้า มาเดินเฉิดฉายอยู่บนเครื่องบินสวยๆนั้น จะต้องผ่านการเทรนหฤโหดมันฮาขนาดนี้
พวกเราต้องสอบทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ
ทางทฤษฎีพวกเราจะต้องอ่านหนังสือแมนนวลเล่มหนาเตอะ ราวคัมภีไบเบิลที่แทบจะเอามาหนุนหัวแทนหมอนได้ อีกทั้งต้องคอยประคบประหงมมันราวกับลูกในไส้ ห้ามยับ ห้ามเปื้อน ห้ามขาดหาย หรือชำรุดสึกกร่อน มิเช่นนั้นจะถูกปรับในราคา 5,000 บาท มันทั้งหนาทั้งหนัก แต่เราก็ต้องแบกมันมาด้วยทุกวัน ซึ่งฉันก็บ่นกระปอดกระแปดอยู่ในใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากต้องอ่านมันจนจบเล่ม แล้วท่องจำให้ได้ครบหมดทุกตัวอักษร เพื่อที่จะสอบข้อเขียนให้ได้อย่างน้อย 98 คะแนน ตามเกณฑ์ขั้นต่ำ ซึ่งมันเป็นขั้นต่ำตรงไหนฟะ
ทางภาคปฏิบัติ พวกเราเรียนรู้กันมาตั้งแต่ความรู้พื้นฐาน ส่วนประกอบและการทำงานของเครื่องบิน กฏข้อบังคับการบินต่างๆ การบริการบนเครื่องบิน ระบบความปลอดภัยบนเครื่องบิน ในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินจะต้องใช้อุปกรณ์ตรงไหน อย่างไรให้ถูกต้องเหมาะสมในด้านความปลอดภัย การรับมือผู้ก่อการร้าย การปฐมพยาบาลเบื้องต้น จนไปถึงการทำคลอดฉุกเฉินกลางอากาศ ที่พวกเราถูกส่งให้เทรนกับทางเวชศาสตร์การบิน
และท้ายสุดคือสอบภาคปฏิบัติ พวกเราจะต้องเข้าไปอยู่ในสถานการณ์จำลอง การevacuate หนีลงจากเครื่อง ในกรณีGround Evacuate เครื่องลงพื้น และ Ditching Evacuate เครื่องลงน้ำ
ในกรณี Ground Evacuate เครื่องลงพื้น พวกเราต้องนำผู้โดยสารหลบหนีจากเครื่องอย่างปลอดภัย เมื่อผู้โดยสารลงมาจนครบหมดแล้ว ลูกเรือที่เหลือจึงค่อยกระโดดslideลงจากเครื่องบินตามไป ในท่าที่ถูกต้อง หากผิดท่าไปก็จะบาดเจ็บเลือดตกยางออกได้ แต่กว่าจะพาผู้โดยสารหนีมาได้ครบถ้วนก็ทุลักทุเลเอาการ เนื่องจากผู้โดยสารแขกรับเชิญของเราแต่ละรายนั้น แสดงบทบาทสมจริงเกินคำบรรยาย บางคนก็กรีดร้องวิ่งวนอยู่ทั่วลำไม่ยอมกระโดดลงมาสักที บางคนก็วิ่งหนีเข้าไปหลบอยู่ในห้องน้ำแถมล็อคประตูเสียอีก บ้างก็เข้าไปในห้องนักบิน พยายามจะกดปุ่มต่างๆด้วยควบคุมสติไม่อยู่ ดูชุลมุนวุ่นวายปั่นป่วนไปหมด
แต่ในที่สุดลูกเรือคนเก่งก็สามารถไล่ผู้โดยสารลงมาจนครบหมดลำ และทำการ Evacuate ได้อย่างปลอดภัย ซึ่งได้รับคำชมพร้อมเสียงปรบมือจากพี่ชัยว่า “ชอบมากๆ ดูพวกเธอแสดงแล้วเหมือนได้ดูซีรี่ญี่ปุ่นเรื่อง Attention Please ยังไงยังงั้นเลยล่ะ โฮะๆๆ” พวกเราก็เลยพลอยหน้าบานหายเหนื่อยไปตามๆกัน
ส่วน Ditching Evacuate จำลองเครื่อง ตกน้ำ พวกเราทั้งหมด 29 ชีวิตลอยคอตะเกียดตะกายอยู่เหนือน้ำ จากนั้นก็จำศีล ลอยตัวในท่าสงวนพลังงานรักษาความอุณหภูมิอบอุ่นของร่างกาย คือให้กอดเข่าแล้วแหงนหน้าลอยคอหนับตาอยู่นิ่งๆ ในกรณีที่เครื่องตกทะเล แล้วต้องลอยอยู่ในน้ำ หากว่าเราพยายามตะเกียดตะกาย หรือกางแขนกางขานอนหงายลอยตุ๊บป่องเหมือนพยูนขึ้นอืด ก็มีแต่จะทำให้ร่างกายเราสูญเสียความร้อนไปโดยเปล่าประโยชน์ จึงจำต้องเรียนรู้ที่จะลอยอยู่ในท่าดังกล่าวเพื่อรอหน่วยกูชีพมาช่วยเหลือ
จากนั้นครูฝึกก็ส่งสัญญาณว่าเฮลิคอปเตอร์มา แล้วพวกเราก็ต้องพยายามตะเกียดตะกาย ร่วมกลุ่มกัน ทำบัวหุบ-บัวบาน คือการที่ทุกคนจะต้องจับมือกันไว้อย่างเหนียวแน่น ไม่หลุดจากกัน แล้วถีบตัวห่างออกจากกันสร้างวงกลมขนาดใหญ่เป็นดอกบัวบาน สร้างสัญญาณให้การช่วยเหลือทางอากาศสามารถมองลงมาเห็นสังเกตได้ เมื่อมองจากมุมสูงระยะไกล ช่างเป็นภาพแห่งความประทับใจที่น่าดูชม พวกเราทุกคนสวมเสื้อชูชีพสีส้ม ลอยคออยู่ในน้ำ เป็นวงกลมขนาดใหญ่เหมือนดอกไม้ จากนั้นก็ดึงแขนเข้ามากอดคอกันทำวงให้แคบที่สุด เป็นบัวหุบ ทำสลับ กับบัวบาน ซึ่งกว่าจะเป็นวงกลมที่สมบูรณ์ได้ก็ไม่ง่ายหมดเปลืองเรี่ยวแรง แคลลอรี่ มื้อเช้าถูกนำมาใช้จนหมดพุง
แล้วท้ายสุดก็คือการใช้ Halon ดับไฟของจริง เป็นครั้งแรกที่ฉันต้องเผชิญหน้ากับเปลวไฟ มันทั้งร้อนระอุทั้งน่ากลัวกว่าที่คิด แต่เราก็ต้องปราบมันให้ได้ วันนั้นไม่ทราบว่าใครจับนางแมวไปแห่ฝนหรือเปล่า เพราะเป็นฤดูที่ฝนไม่ควรตกลงมา แต่วันนั้นฝนดันตกลงมาหน้าตาเฉย พวกเราก็เลยจำต้องยืนตากฝน ขณะที่ไฟกองใหญ่ยังคงลุกโชนไม่สะทนสะท้าน พวกเราพยายามดับไฟ แต่มันไม่ยอมดับมอดลงง่ายๆ แม้ว่าฝนจะโปรยปรายลงมา กลับลุกไหม้ยิ่งขึ้นไปอีก จนครูฝึกต้องมาช่วยดับไฟอีกแรง ในที่สุดพวกเราก็สามารถฟันฝ่า ลุล่วงบททดสอบต่างๆ ผ่านฉลุยกันมาได้อย่างทุกลักทุเล
คืนนั้นฉันนอนลืมตาอยู่ในความมืด ครุ่นคิดว่า พรุ่งนี้ก็จะสิ้นสุดการเทรนแล้ว ช่วงเวลาที่ผ่านมา เป็นช่วงเวลาที่เหนื่อยแสนเหนื่อย บางครั้งก็แสนท้อ แต่พวกเราก็ผ่านพ้นกันมาได้ นับเป็นช่วงเวลาที่มีค่าน่าจดจำที่สุดในชีวิตการเป็นลูกเรือฝึกหัด ช่างเป็นช่วงเวลาที่มีค่าเหลือเกินจริงๆ จากนี้ไปพวกเราก็ถูกส่งตัวไปยังประเทศซาอุดิอาระเบีย เพื่อบินให้กับสายการบิน Suwayya Arabian Airlines ฉันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้นและเป็นกังวล ครุ่นคิดไปต่างๆนาๆเกี่ยวกับประเทศที่รู้จักเพียงชื่อ ครุ่นคิดถึง วิถีชีวิต อาหารการกิน และผู้คน ว่าจะเป็นเช่นไร ใจก็เต้นระทึกจนนอนไม่หลับ
และแล้ววันที่พวกเรารอคอยก็มาถึง ฉันส่องในกระจก เห็นตนเองอยู่ในชุดยูนิฟอร์มแสนสวย รู้สึกราวกับว่ามีปีกอยู่บนแผ่นหลัง กระซิบกับตนเองด้วยหัวใจอันพองโตว่า “เรากำลังจะบินแล้ว เยส!” จากนั้นก็ลากกระเป๋าใบใหญ่มาที่เคาร์เตอร์เช็คอิน พร้อมรับตั๋วมาตรวจเช็คดูความเรียบร้อย ว่าได้ไปซาอุฯชัวร์ไม่ใช่ไนจีเรีย ทุกคนมาพร้อมกับกระเป๋าใบเท่าบ้าน ใหญ่แล้วก็ยังมีใหญ่กว่า ใหญ่เท่าที่จะสรรหากันมาได้ เพราะต้องห่างบ้านห่างเมืองไปอยู่แดนไกลเป็นเวลานาน
พี่ชัย หัวหน้าสจ๊วตที่พร่ำบ่นพร่ำสอน ก็มาส่งพวกเราด้วยใบหน้ายิ้มแย้มสดใส วันนี้สายตาของคุณพี่ชัย มองดูฉันด้วยความภูมิใจ ผิดไปจากสายตาตำหนิจากเดิม ในที่สุดพี่ชัยก็สามารถปั้นฉันจนสำเร็จ ทำให้ฉันมีรอยยิ้มของนางฟ้า และใบหน้าแบบที่สายการบินนี้ต้องการ ทั้งเสื้อผ้าหน้าผม ทุกอย่างจัดเต็ม ดูเพอร์เฟคไร้ที่ติ
“พี่ขออวยพรให้ทุกคนที่กำลังจะออกเดินทางไปเจดด้าร์ ดูแลตัวเองและดูแลกันและกันดีๆนะ อาจจะมีทะเลาะผิดใจกันบ้าง ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติเวลาเราอยู่ร่วมกัน ก็ขอให้พยายามทำความเข้าใจกัน ขอให้มีความสุขทุกวัน ขอให้งานราบรื่นมีแต่รอยยิ้มให้กันนะ งานนี้เป็นการทดสอบตัวเองหลายอย่าง รวมทั้งความอดทน ซึ่งเป็นคุณสมบัติของผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิต อ้อ ตั้งใจเก็บเงินด้วยนะอย่าฟุ่มเฟือย เก็บแต่เด็กจะได้รวยเร็วๆ กลับมาซื้อรถซื้อบ้านนะ Take care & always have nice flight นะจ๊ะ” และกล่าวทิ้งท้ายว่า “พวกเธอเป็นรุ่นที่เก่งที่สุดที่พี่เคยเทรนมาเลยล่ะ”
“จริงหรอคะพี่ชัย ดีใจมากเลยค่ะ” ฉันพูดด้วยความตื้นตัน แต่แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่า “เอ๊ะ แต่พี่ชัยเพิ่งเทรนให้พวกหนูเป็นรุ่นแรกไม่ใช่หรอคะ”
ทุกคนหัวเราะครืน พี่ชัย หัวหน้าสจ๊วตกลั้นยิ้ม แล้วก็พูดว่า
“แต่ไม่ว่ายังไงพวกเธอก็จะเป็นลูกเรือกลุ่มแรก..ที่เก่งที่สุดในดวงใจของพี่เสมอไป”
ทุกคนซาบซึ้งน้ำตาคลอเบ้า นึกถึงช่วงเวลาที่เทรนกันมาอย่างหนัก ก็นึกขอบคุณพี่หัวหน้าสจ๊วตของพวกเราอย่างสุดซึ้ง โผเข้าไปกอดพี่ชัยร้องไห้โฮ จากนั้นก็โบกมือร่ำลากันจนสุดสายตา ขณะผ่านเข้าไปในประตู Gate เปิดให้พวกเราเดินเข้าไปข้างใน
“ไฟท์ไปเจดด้า เรามาลุ้นกันดีกว่าว่า กระปุกปลาร้าในกระเป๋าลีน่าจะแตกรึป่าว เฮ้!” ฉันพูดแซวลีน่า สาวสวยลูกครึ่งเลือดอีสาน-ออสเตรีย ขณะกำลังจะขึ้นเครื่อง
เธอก็ตอบสวนควับมาทันทีว่า “ไม่ใช่แค่กระปุกปลาร้านะที่ต้องลุ้น ยังมีหมูเค็มด้วยที่เราเอามา ได้ยินว่าที่ซาอุฯถ้าตรวจเจอว่าเอาหมูเข้าประเทศ มีโทษหนักกว่าขนยาเข้าประเทศเสียอีก แต่เราก็เอาสติกเกอร์รูปไก่แปะทับโลโก้หมูไว้แล้วเรียบร้อย เค้าคงไม่รู้หรอกเนอะ”
“ช่างกล้า!” ฉันร้องเสียงสูง มองลีน่าด้วยสายตาคาดไม่ถึง “ถ้าผ่านด่านตรวจไปได้นะ เราจะเลี้ยงข้าวขาไก่เธอเป็นมื้อแรกเลยที่นู่นเลย”
“แล้วเราก็จะตำส้มตำให้เธอกินนะจ๊ะ รับรองกระปุกปลาร้าไม่แตกแน่ แพ็คอย่างดีเสียยิ่งกว่าทองคำแท่ง”
แต่แล้วพวกเราหน้าเจื่อนไปเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าเครื่องบินที่จะพาเราไปนั้นเป็นเครื่องMD ขนาดย่อม เนื่องจากลูกเรือไทยทั้งหมดมีจำนวนไม่มาก จึงได้นั่งเครื่องบินลำจำกัดขนาดกระทัดรัดพอเหมาะพอดีไม่ใหญ่โตเกินไปให้เปลืองน้ำมัน เครื่องสั่นน่ากลัวมาก พวกเรานั่งเกร็งกันจนหายใจหายคอไม่ทั่วท้อง ฉันกลัวเหลือเกินว่าจะถูกหลุมอากาศดูดลงไปเข้าเฝ้าโพไซดอนในทะเลแดง เสียก่อนเครื่องจะแตะพื้นดิน
แต่ที่พวกเราเทรนกันมาเพื่อที่จะไปบินไม่ใช่เครื่องบินเล็กแบบนี้ แต่เป็นเจ้ายักษ์ใหญ่ Boeing 747-400 ซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของโลกเมื่อในอดีต แต่ปัจจุบันตกลงมาเป็นอันดับสองรองจากเครื่อง Airbus 380 ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ครู่ขณะต่อมา ความกลัวของฉันก็กลับกลายเป็นความตลกขบขันขีดสุด เมื่อลีน่าเริ่มต้นประกาศบนเครื่องเป็นภาษาอีสาน เรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนๆได้เกรียวกราว
“ผู้โดยสารโปรดทราบ ขณะนี้เกิดการเปลี๊ยนแปล๋งอากาศมันซูฮ๊วบลงเด้อ โปรดกลับไปยังม่องนั่ง ฮัดเข็มขัดม่องนั่ง อย่าไสไปห้องส้วมจนกว่าสัญญาณรัดเข็มขัดจะดับ นั่งจับเจื๋อ แล้ว ปรับสายรัดให้เข้าพอดีกับสู๋เจ้า เด้อ วิถีปล๊ดออก ยกหัวเข็มขัดทางนั้นฮื้อ กึ้น จั๊กน่อยก่ะ แล้วก็เลื่อนป๋อยทั้งสองออกจั๊กกั๋น อย่าฮือมันจั๊บเจื๋อกันหลาย เพื่อความปลอดภัย ซูเมื้อ ฮื้อ ซูเจ้านั่งอยู่กับที่ เค้าให้ฮัดก็ฮัด ถ้าเกิดการเปลี๊ยนแปล๋งอากาศมันซูฮ๊วบลงหนา หน้ากากออกซิเจนก็จะชะแว่บออกมา”
“ลีน่า โปรดสอนเราประกาศเป็นภาษาอีสานด้วยเถอะ” ฉันขอร้องเพื่อนสาวผู้ใจดีด้วยความคารวะยกย่อง มือปาดน้ำตา ชมออกมาจากใจว่า “สำเนียงน่ารักดี เราชอบบบ”
ลีน่าเพื่อนสาวคนสวย ผู้ร่ำรวยอารมณ์ขัน ก็ยินดีที่จะสอนให้ฉันก็หัดประกาศบนเครื่องเป็นภาษาอีสาน ฉันพูดตามเธอซ้ำไปซ้ำมา จนในที่สุดก็พูดคล่องปร๋อ เหมือนเป็นภาษาบ้านเกิดตัวเอง เป็นอีกวิธีหนึ่งในการฆ่าเวลาอันน่าเบื่อ บนเครื่องบินที่จะต้องนั่งเป็นเวลานานกว่า 8 ชั่วโมงได้ไม่เลวนัก
เมื่อเริ่มชินชากับแรงเขย่าของเครื่องบินแล้วฉันก็ผล็อยหลับไปในที่สุด นานเท่าไหร่ไม่ทราบได้ กระทั่งเสียงเหล็กหนักๆของเครื่องบิน กระแทกอากาศโครมๆ ฉันก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกครั้ง สายตาอิดโรยมองออกจากหน้าต่าง ข้ามปีกสีขาวของเครื่องบินไป เห็นแต่ฉากหลังอันดำมืด ก้มหน้ามองดูข้อมือข้างซ้ายของตนเอง โมงยามบนนาฬิการะบุว่า ขณะนี้เครื่องบินน่าจะเข้าสู่เขตแดนแถบทะเลทรายแล้ว ฉันหลับตาสวดภาวนาในใจ ขอให้ถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพ แต่แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่า บางทีฉันอาจจะต้องเก็บบทสวดเอาไว้ แล้วหันมาฝึกละหมาดนับตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป
Suwayya Arabian Airlines [03 - สิ้นสุดการรอคอย]
พวกเราต้องสอบทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ
ทางทฤษฎีพวกเราจะต้องอ่านหนังสือแมนนวลเล่มหนาเตอะ ราวคัมภีไบเบิลที่แทบจะเอามาหนุนหัวแทนหมอนได้ อีกทั้งต้องคอยประคบประหงมมันราวกับลูกในไส้ ห้ามยับ ห้ามเปื้อน ห้ามขาดหาย หรือชำรุดสึกกร่อน มิเช่นนั้นจะถูกปรับในราคา 5,000 บาท มันทั้งหนาทั้งหนัก แต่เราก็ต้องแบกมันมาด้วยทุกวัน ซึ่งฉันก็บ่นกระปอดกระแปดอยู่ในใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากต้องอ่านมันจนจบเล่ม แล้วท่องจำให้ได้ครบหมดทุกตัวอักษร เพื่อที่จะสอบข้อเขียนให้ได้อย่างน้อย 98 คะแนน ตามเกณฑ์ขั้นต่ำ ซึ่งมันเป็นขั้นต่ำตรงไหนฟะ
ทางภาคปฏิบัติ พวกเราเรียนรู้กันมาตั้งแต่ความรู้พื้นฐาน ส่วนประกอบและการทำงานของเครื่องบิน กฏข้อบังคับการบินต่างๆ การบริการบนเครื่องบิน ระบบความปลอดภัยบนเครื่องบิน ในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินจะต้องใช้อุปกรณ์ตรงไหน อย่างไรให้ถูกต้องเหมาะสมในด้านความปลอดภัย การรับมือผู้ก่อการร้าย การปฐมพยาบาลเบื้องต้น จนไปถึงการทำคลอดฉุกเฉินกลางอากาศ ที่พวกเราถูกส่งให้เทรนกับทางเวชศาสตร์การบิน
และท้ายสุดคือสอบภาคปฏิบัติ พวกเราจะต้องเข้าไปอยู่ในสถานการณ์จำลอง การevacuate หนีลงจากเครื่อง ในกรณีGround Evacuate เครื่องลงพื้น และ Ditching Evacuate เครื่องลงน้ำ
ในกรณี Ground Evacuate เครื่องลงพื้น พวกเราต้องนำผู้โดยสารหลบหนีจากเครื่องอย่างปลอดภัย เมื่อผู้โดยสารลงมาจนครบหมดแล้ว ลูกเรือที่เหลือจึงค่อยกระโดดslideลงจากเครื่องบินตามไป ในท่าที่ถูกต้อง หากผิดท่าไปก็จะบาดเจ็บเลือดตกยางออกได้ แต่กว่าจะพาผู้โดยสารหนีมาได้ครบถ้วนก็ทุลักทุเลเอาการ เนื่องจากผู้โดยสารแขกรับเชิญของเราแต่ละรายนั้น แสดงบทบาทสมจริงเกินคำบรรยาย บางคนก็กรีดร้องวิ่งวนอยู่ทั่วลำไม่ยอมกระโดดลงมาสักที บางคนก็วิ่งหนีเข้าไปหลบอยู่ในห้องน้ำแถมล็อคประตูเสียอีก บ้างก็เข้าไปในห้องนักบิน พยายามจะกดปุ่มต่างๆด้วยควบคุมสติไม่อยู่ ดูชุลมุนวุ่นวายปั่นป่วนไปหมด
แต่ในที่สุดลูกเรือคนเก่งก็สามารถไล่ผู้โดยสารลงมาจนครบหมดลำ และทำการ Evacuate ได้อย่างปลอดภัย ซึ่งได้รับคำชมพร้อมเสียงปรบมือจากพี่ชัยว่า “ชอบมากๆ ดูพวกเธอแสดงแล้วเหมือนได้ดูซีรี่ญี่ปุ่นเรื่อง Attention Please ยังไงยังงั้นเลยล่ะ โฮะๆๆ” พวกเราก็เลยพลอยหน้าบานหายเหนื่อยไปตามๆกัน
ส่วน Ditching Evacuate จำลองเครื่อง ตกน้ำ พวกเราทั้งหมด 29 ชีวิตลอยคอตะเกียดตะกายอยู่เหนือน้ำ จากนั้นก็จำศีล ลอยตัวในท่าสงวนพลังงานรักษาความอุณหภูมิอบอุ่นของร่างกาย คือให้กอดเข่าแล้วแหงนหน้าลอยคอหนับตาอยู่นิ่งๆ ในกรณีที่เครื่องตกทะเล แล้วต้องลอยอยู่ในน้ำ หากว่าเราพยายามตะเกียดตะกาย หรือกางแขนกางขานอนหงายลอยตุ๊บป่องเหมือนพยูนขึ้นอืด ก็มีแต่จะทำให้ร่างกายเราสูญเสียความร้อนไปโดยเปล่าประโยชน์ จึงจำต้องเรียนรู้ที่จะลอยอยู่ในท่าดังกล่าวเพื่อรอหน่วยกูชีพมาช่วยเหลือ
จากนั้นครูฝึกก็ส่งสัญญาณว่าเฮลิคอปเตอร์มา แล้วพวกเราก็ต้องพยายามตะเกียดตะกาย ร่วมกลุ่มกัน ทำบัวหุบ-บัวบาน คือการที่ทุกคนจะต้องจับมือกันไว้อย่างเหนียวแน่น ไม่หลุดจากกัน แล้วถีบตัวห่างออกจากกันสร้างวงกลมขนาดใหญ่เป็นดอกบัวบาน สร้างสัญญาณให้การช่วยเหลือทางอากาศสามารถมองลงมาเห็นสังเกตได้ เมื่อมองจากมุมสูงระยะไกล ช่างเป็นภาพแห่งความประทับใจที่น่าดูชม พวกเราทุกคนสวมเสื้อชูชีพสีส้ม ลอยคออยู่ในน้ำ เป็นวงกลมขนาดใหญ่เหมือนดอกไม้ จากนั้นก็ดึงแขนเข้ามากอดคอกันทำวงให้แคบที่สุด เป็นบัวหุบ ทำสลับ กับบัวบาน ซึ่งกว่าจะเป็นวงกลมที่สมบูรณ์ได้ก็ไม่ง่ายหมดเปลืองเรี่ยวแรง แคลลอรี่ มื้อเช้าถูกนำมาใช้จนหมดพุง
แล้วท้ายสุดก็คือการใช้ Halon ดับไฟของจริง เป็นครั้งแรกที่ฉันต้องเผชิญหน้ากับเปลวไฟ มันทั้งร้อนระอุทั้งน่ากลัวกว่าที่คิด แต่เราก็ต้องปราบมันให้ได้ วันนั้นไม่ทราบว่าใครจับนางแมวไปแห่ฝนหรือเปล่า เพราะเป็นฤดูที่ฝนไม่ควรตกลงมา แต่วันนั้นฝนดันตกลงมาหน้าตาเฉย พวกเราก็เลยจำต้องยืนตากฝน ขณะที่ไฟกองใหญ่ยังคงลุกโชนไม่สะทนสะท้าน พวกเราพยายามดับไฟ แต่มันไม่ยอมดับมอดลงง่ายๆ แม้ว่าฝนจะโปรยปรายลงมา กลับลุกไหม้ยิ่งขึ้นไปอีก จนครูฝึกต้องมาช่วยดับไฟอีกแรง ในที่สุดพวกเราก็สามารถฟันฝ่า ลุล่วงบททดสอบต่างๆ ผ่านฉลุยกันมาได้อย่างทุกลักทุเล
คืนนั้นฉันนอนลืมตาอยู่ในความมืด ครุ่นคิดว่า พรุ่งนี้ก็จะสิ้นสุดการเทรนแล้ว ช่วงเวลาที่ผ่านมา เป็นช่วงเวลาที่เหนื่อยแสนเหนื่อย บางครั้งก็แสนท้อ แต่พวกเราก็ผ่านพ้นกันมาได้ นับเป็นช่วงเวลาที่มีค่าน่าจดจำที่สุดในชีวิตการเป็นลูกเรือฝึกหัด ช่างเป็นช่วงเวลาที่มีค่าเหลือเกินจริงๆ จากนี้ไปพวกเราก็ถูกส่งตัวไปยังประเทศซาอุดิอาระเบีย เพื่อบินให้กับสายการบิน Suwayya Arabian Airlines ฉันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้นและเป็นกังวล ครุ่นคิดไปต่างๆนาๆเกี่ยวกับประเทศที่รู้จักเพียงชื่อ ครุ่นคิดถึง วิถีชีวิต อาหารการกิน และผู้คน ว่าจะเป็นเช่นไร ใจก็เต้นระทึกจนนอนไม่หลับ
และแล้ววันที่พวกเรารอคอยก็มาถึง ฉันส่องในกระจก เห็นตนเองอยู่ในชุดยูนิฟอร์มแสนสวย รู้สึกราวกับว่ามีปีกอยู่บนแผ่นหลัง กระซิบกับตนเองด้วยหัวใจอันพองโตว่า “เรากำลังจะบินแล้ว เยส!” จากนั้นก็ลากกระเป๋าใบใหญ่มาที่เคาร์เตอร์เช็คอิน พร้อมรับตั๋วมาตรวจเช็คดูความเรียบร้อย ว่าได้ไปซาอุฯชัวร์ไม่ใช่ไนจีเรีย ทุกคนมาพร้อมกับกระเป๋าใบเท่าบ้าน ใหญ่แล้วก็ยังมีใหญ่กว่า ใหญ่เท่าที่จะสรรหากันมาได้ เพราะต้องห่างบ้านห่างเมืองไปอยู่แดนไกลเป็นเวลานาน
พี่ชัย หัวหน้าสจ๊วตที่พร่ำบ่นพร่ำสอน ก็มาส่งพวกเราด้วยใบหน้ายิ้มแย้มสดใส วันนี้สายตาของคุณพี่ชัย มองดูฉันด้วยความภูมิใจ ผิดไปจากสายตาตำหนิจากเดิม ในที่สุดพี่ชัยก็สามารถปั้นฉันจนสำเร็จ ทำให้ฉันมีรอยยิ้มของนางฟ้า และใบหน้าแบบที่สายการบินนี้ต้องการ ทั้งเสื้อผ้าหน้าผม ทุกอย่างจัดเต็ม ดูเพอร์เฟคไร้ที่ติ
“พี่ขออวยพรให้ทุกคนที่กำลังจะออกเดินทางไปเจดด้าร์ ดูแลตัวเองและดูแลกันและกันดีๆนะ อาจจะมีทะเลาะผิดใจกันบ้าง ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติเวลาเราอยู่ร่วมกัน ก็ขอให้พยายามทำความเข้าใจกัน ขอให้มีความสุขทุกวัน ขอให้งานราบรื่นมีแต่รอยยิ้มให้กันนะ งานนี้เป็นการทดสอบตัวเองหลายอย่าง รวมทั้งความอดทน ซึ่งเป็นคุณสมบัติของผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิต อ้อ ตั้งใจเก็บเงินด้วยนะอย่าฟุ่มเฟือย เก็บแต่เด็กจะได้รวยเร็วๆ กลับมาซื้อรถซื้อบ้านนะ Take care & always have nice flight นะจ๊ะ” และกล่าวทิ้งท้ายว่า “พวกเธอเป็นรุ่นที่เก่งที่สุดที่พี่เคยเทรนมาเลยล่ะ”
“จริงหรอคะพี่ชัย ดีใจมากเลยค่ะ” ฉันพูดด้วยความตื้นตัน แต่แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่า “เอ๊ะ แต่พี่ชัยเพิ่งเทรนให้พวกหนูเป็นรุ่นแรกไม่ใช่หรอคะ”
ทุกคนหัวเราะครืน พี่ชัย หัวหน้าสจ๊วตกลั้นยิ้ม แล้วก็พูดว่า
“แต่ไม่ว่ายังไงพวกเธอก็จะเป็นลูกเรือกลุ่มแรก..ที่เก่งที่สุดในดวงใจของพี่เสมอไป”
ทุกคนซาบซึ้งน้ำตาคลอเบ้า นึกถึงช่วงเวลาที่เทรนกันมาอย่างหนัก ก็นึกขอบคุณพี่หัวหน้าสจ๊วตของพวกเราอย่างสุดซึ้ง โผเข้าไปกอดพี่ชัยร้องไห้โฮ จากนั้นก็โบกมือร่ำลากันจนสุดสายตา ขณะผ่านเข้าไปในประตู Gate เปิดให้พวกเราเดินเข้าไปข้างใน
“ไฟท์ไปเจดด้า เรามาลุ้นกันดีกว่าว่า กระปุกปลาร้าในกระเป๋าลีน่าจะแตกรึป่าว เฮ้!” ฉันพูดแซวลีน่า สาวสวยลูกครึ่งเลือดอีสาน-ออสเตรีย ขณะกำลังจะขึ้นเครื่อง
เธอก็ตอบสวนควับมาทันทีว่า “ไม่ใช่แค่กระปุกปลาร้านะที่ต้องลุ้น ยังมีหมูเค็มด้วยที่เราเอามา ได้ยินว่าที่ซาอุฯถ้าตรวจเจอว่าเอาหมูเข้าประเทศ มีโทษหนักกว่าขนยาเข้าประเทศเสียอีก แต่เราก็เอาสติกเกอร์รูปไก่แปะทับโลโก้หมูไว้แล้วเรียบร้อย เค้าคงไม่รู้หรอกเนอะ”
“ช่างกล้า!” ฉันร้องเสียงสูง มองลีน่าด้วยสายตาคาดไม่ถึง “ถ้าผ่านด่านตรวจไปได้นะ เราจะเลี้ยงข้าวขาไก่เธอเป็นมื้อแรกเลยที่นู่นเลย”
“แล้วเราก็จะตำส้มตำให้เธอกินนะจ๊ะ รับรองกระปุกปลาร้าไม่แตกแน่ แพ็คอย่างดีเสียยิ่งกว่าทองคำแท่ง”
แต่แล้วพวกเราหน้าเจื่อนไปเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าเครื่องบินที่จะพาเราไปนั้นเป็นเครื่องMD ขนาดย่อม เนื่องจากลูกเรือไทยทั้งหมดมีจำนวนไม่มาก จึงได้นั่งเครื่องบินลำจำกัดขนาดกระทัดรัดพอเหมาะพอดีไม่ใหญ่โตเกินไปให้เปลืองน้ำมัน เครื่องสั่นน่ากลัวมาก พวกเรานั่งเกร็งกันจนหายใจหายคอไม่ทั่วท้อง ฉันกลัวเหลือเกินว่าจะถูกหลุมอากาศดูดลงไปเข้าเฝ้าโพไซดอนในทะเลแดง เสียก่อนเครื่องจะแตะพื้นดิน
แต่ที่พวกเราเทรนกันมาเพื่อที่จะไปบินไม่ใช่เครื่องบินเล็กแบบนี้ แต่เป็นเจ้ายักษ์ใหญ่ Boeing 747-400 ซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของโลกเมื่อในอดีต แต่ปัจจุบันตกลงมาเป็นอันดับสองรองจากเครื่อง Airbus 380 ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ครู่ขณะต่อมา ความกลัวของฉันก็กลับกลายเป็นความตลกขบขันขีดสุด เมื่อลีน่าเริ่มต้นประกาศบนเครื่องเป็นภาษาอีสาน เรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนๆได้เกรียวกราว
“ผู้โดยสารโปรดทราบ ขณะนี้เกิดการเปลี๊ยนแปล๋งอากาศมันซูฮ๊วบลงเด้อ โปรดกลับไปยังม่องนั่ง ฮัดเข็มขัดม่องนั่ง อย่าไสไปห้องส้วมจนกว่าสัญญาณรัดเข็มขัดจะดับ นั่งจับเจื๋อ แล้ว ปรับสายรัดให้เข้าพอดีกับสู๋เจ้า เด้อ วิถีปล๊ดออก ยกหัวเข็มขัดทางนั้นฮื้อ กึ้น จั๊กน่อยก่ะ แล้วก็เลื่อนป๋อยทั้งสองออกจั๊กกั๋น อย่าฮือมันจั๊บเจื๋อกันหลาย เพื่อความปลอดภัย ซูเมื้อ ฮื้อ ซูเจ้านั่งอยู่กับที่ เค้าให้ฮัดก็ฮัด ถ้าเกิดการเปลี๊ยนแปล๋งอากาศมันซูฮ๊วบลงหนา หน้ากากออกซิเจนก็จะชะแว่บออกมา”
“ลีน่า โปรดสอนเราประกาศเป็นภาษาอีสานด้วยเถอะ” ฉันขอร้องเพื่อนสาวผู้ใจดีด้วยความคารวะยกย่อง มือปาดน้ำตา ชมออกมาจากใจว่า “สำเนียงน่ารักดี เราชอบบบ”
ลีน่าเพื่อนสาวคนสวย ผู้ร่ำรวยอารมณ์ขัน ก็ยินดีที่จะสอนให้ฉันก็หัดประกาศบนเครื่องเป็นภาษาอีสาน ฉันพูดตามเธอซ้ำไปซ้ำมา จนในที่สุดก็พูดคล่องปร๋อ เหมือนเป็นภาษาบ้านเกิดตัวเอง เป็นอีกวิธีหนึ่งในการฆ่าเวลาอันน่าเบื่อ บนเครื่องบินที่จะต้องนั่งเป็นเวลานานกว่า 8 ชั่วโมงได้ไม่เลวนัก
เมื่อเริ่มชินชากับแรงเขย่าของเครื่องบินแล้วฉันก็ผล็อยหลับไปในที่สุด นานเท่าไหร่ไม่ทราบได้ กระทั่งเสียงเหล็กหนักๆของเครื่องบิน กระแทกอากาศโครมๆ ฉันก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกครั้ง สายตาอิดโรยมองออกจากหน้าต่าง ข้ามปีกสีขาวของเครื่องบินไป เห็นแต่ฉากหลังอันดำมืด ก้มหน้ามองดูข้อมือข้างซ้ายของตนเอง โมงยามบนนาฬิการะบุว่า ขณะนี้เครื่องบินน่าจะเข้าสู่เขตแดนแถบทะเลทรายแล้ว ฉันหลับตาสวดภาวนาในใจ ขอให้ถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพ แต่แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่า บางทีฉันอาจจะต้องเก็บบทสวดเอาไว้ แล้วหันมาฝึกละหมาดนับตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป