สังเวียนประลองนั้นถูกสร้างอยู่บบริเวณที่เหล่าทัพสัตว์โลกเคยสู้อยู่กับมหากิเลสทั้งสาม บริเวณที่อัดแน่นไปด้วยพลังและความแค้นของมหากิเลสและวีรบุรุษทั้งหลายในอดีตเช่นนี้ ทำให้บริเวณเหล่านี้มีอาณุภาพมาก ใครก้าวเข้าไปในอาณาเขตจะทำให้คนๆนั้นทรงพลังได้อย่างวีรบุรษในตำนานจนกว่าจะก้าวออกมา แต่มีผลข้างเคียงก็คือจะถูกอารมณ์ของเหล่าผู้ที่ตายสิงสู่ ถึงแม้นจะไม่เสียความเป็นตัวของตัวเอง แต่นิสัยเบื้องลึกจะเปลี่ยนไป เหมือนกับลืมตัวว่าอยู่ในสงครามเวลาผ่านผันไปนาน ผู้คนลืมเลือนตำนานในสมัยโบราณ รู้แต่เพียงว่า อาณาเขตนี้ทำให้ผู้ที่เข้าไปมีอำนาจเพิ่มขึ้นแถมยังมีจิตใจที่จะต่อสู้อย่างไม่ถอย จึงเป็นที่นิยมของเหล่านักรบที่จะฝึกปรือทักษะการต่อสู้ ไม่ใช่เพียงแค่นั้น หลายคนยังคิดว่ การต่อสู้เอาชนะคู่ต่อสู้ในบริเวณนี้นั้นถือเป็นเกียตรอย่างยิ่งของนักสู้ แทบจะเรียกได้ว่า เป็นบทพิสูจน์ความเป็นนักสู้เลยทีเดียว ด้วยแนวคิดที่จะพิสูจน์ตนเองเช่นนี้ เป็นจุดเกิดของความนิยมในการประลองฝีมือ มีการตั้งรางวัลเกียรติยศให้กับผู้ที่มีฝีมือดี ชนะหลายครั้ง เพื่อเป็นขวัญกำลังใจต่อไป โดยเกียรติยศนี้ก็ยังสามารถใช้แลกอุปกรณ์ได้ต่างๆนาๆเป็นรางวัลให้สมกับที่เป็นยอดนักสู้ของสังเวียน ในทีแรก การต่อสู้จะเป็นไปในลักษณะง่ายๆ คือตัวต่อตัว ในภายหลังได้มีการต่อสู้แบบต่างๆเพื่อเพิ่มความลำบากให้กับนักสู้บ้างก็ปล่อยสัตว์ร้ายลงไปขัดขวางการต่อสู้ บ้างก็ยิงลูกไฟเข้าไปในสนาม การต่อสู้ก็มีแยกย่อยนอกจากตัวต่อตัวแล้ว กลายเป็นฝั่งละสามคนบ้าง แยกออกเป็นสองฝ่าย บ้างก็ไม่มีการแบ่งแยกฝ่ายต่างๆ สู้กันจนกว่าจะเหลือคนสุดท้ายเป็นต้น บาดแผลที่ได้รับในสังเวียนจะรักษาตัวเองอย่างรวดเร็วเมื่อออกจากอาณาเขต จึงแทบไม่มีการล้มตายจากการต่อสู้ในสังเวียน ยกเว้นแต่ความคับแค้นใจเมื่อพ่ายแพ้
(นักรบชุดแดงหมอผีหมอยานักธนูสู้กับแมงดองนายกองแห่งเมืองอังวะ)
เมื่อเกิดสงครามครั้งใหญ่ขึ้นในสมัยโบราณ อาณาบริเวณที่เกิดการสู้รบครั้งใหญ่ของเหล่าวีรบุรุษนั้น ยังมีพลังความรู้สึกอัดแน่นอยู่ แม้นดวงวิญญาณจะไปสู้สุขติแล้วตาม หลังการศึกในสมัยนั้นพื้นที่หล่านี้ถูกลืมเลือน บ้างก็ว่าเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ บ้างก็ว่าเป็นที่ต้องสาป ไม่ค่อยที่จะมีผู้ใดใคร่จะย่างก้าวเข้ามานัก
(การต่อสู้ในบางครั้งจำเป็นต้องมีที่ขาดไม่ได้คือ อักขระของขลัง)
พลังในอาณาเขตเหล่านี้ มีอำนาจที่จะทำให้ผู้ใดก็ตามที่ก้าวเข้าไปก็ตาม จะทรงพลังได้ประหนึ่งนักรบในสมัยโบราณ ความสามารถเพิ่มจนขีดสุดในทางร่างกายและวิชาอาคม จิตใจก็ฮึกเฮิมกล้าหาญ เป็นผลจากพลังอารมณ์ของผู้ที่พลีชีพในสมัยก่อนในศึกใหญ่ได้ทิ้งเอาไว้
(ลานประลองนี้หาใช่เพื่อการต่อสู้เท่านั้น ยังใช้เพื่อต่อท้าวิชาด้วย)
ด้วยเหตุนี้ ทำให้สถานที่เหล่านี้ในเวลาต่อมาเป็นที่นิยมชมชอบของเหล่านักสู้ที่จะมาฝึกฝนวิชา โดยเฉพาะจะประลองกันเอง เป็นเหตุที่เกิดจากนักสู้สองคนพบว่า เมื่อพลังเพิ่มขึ้นจนสูงสุดทำให้ความสามารถไลเลี่ยกัน สามารถเก็บเกี่ยวประสปการณ์จากการสู้ เรียนรู้ท่วงท่าวิชาของแต่ละฝ่ายได้ดีกว่า
(การต่อสู้ของทหารกล้าทั้งสอง)
หากแต่ต่อมา เหลานักรบต่างเริ่มใช้สถานที่เหล่านี้เสมือนลานประลองฝีมือมากกว่าที่จะใช้เรียนรู้ เนื่องจากจิตอารมณ์ของผู้ที่ตายไปในสมัยโบราณ ผลักดันให้เกิดอารมณ์ที่อยากจะต่อสู้จนห้ามมือมิได้ กลายเป็นความกระหายที่จะต่อสู้ เมื่อก้าวออกจากสังเวียน ความรู้สึกนี้ก็จะหลุดหายไปเสียอีก จึงไม่มีผลร้ายในระยะยาวนัก
(ท่านเจ้าเมืองประกาศกฏการประลอง)
ด้วยเหตุนี้ สถานที่เหล่านี้จึงกลายเป็นสังเวียนลานประลองล่วงมาจนถึงเพลานี้ มีการเพิ่มระเบียบกฏเกณฑ์ต่างๆเข้าไปในลานประลอง โดยเฉพาะเกียรติยศที่นักสู้ในลานประลองที่ชัยชนะจักได้มา สำหรับนักสู้บางคนแล้ว เกียรติยศสำคัญเทียบเท่าได้กับชีวิตเลยทีเดียว ในหลายที่ เมืองหรือหมู่บ้านมักจะยกย่องผู้ที่ได้รับชัยชนะในสังเวียน มีของรางวัลต่างๆนาๆให้เป็นกำลังใจต่อไป
(การต่อสู่ทามกลางเพลิงสงคราม)
เวลาต่อมา มีผู้เสนอให้เพิ่มอุปสรรคให้กับนักสู้ในสังเวียน เพื่อป้องกันการดึงเวลาและเพิ่มรสชาติให้กับการประลอง บ้างก็ให้ความเห็นว่าเป็นเสมือนการจำลองการต่อสู้ในศึกสมัยโบราณ โดยเปลี่ยนกฏให้กลายเป็นผู้ที่ยืนอยู่คนสุดท้ายจะเป็นผู้ชนะอีกด้วย ซึ่งก็มีการตอบรับเป็นอย่างดี
( การฝึกปรือฝือมือกับเราสัตว์ร้าย )
ในอีกรูปแบบหนึ่ง ยังมีการปล่อยสัตว์ร้ายลงไประหว่างการประลอง สร้างความลำบากให้กับเหล่านักสู้ เนื่องจากนอกจากนักสู้จะต้องสู้กันเองแล้ว ยังต้องเอาตัวรอดจากสัตว์ร้ายเหล่านี้อีกด้วย นอกจากสัตว์ร้ายแล้ว ยังมีการนำสัตว์อื่นๆมาปล่อย สร้างความหลากหลายในสภาพแวดล้อมให้กับการประลอง บ้างก็เป็นเสือ บ้างก็เป็นแมงมุมยักษ์ บ้างจระเข้ บ้างก็แม้แต่สัตว์หินมพานต์อย่างสิงห์
(การต่อสู้ย่อมมีชนะได้เพียง หนึ่งเดี่ยวเท่านั้น)
ท้ายที่สุดแล้ว ผู้ที่ได้รับชัยชนะจะได้รับชื่อเสียงเกียรติยศ ผู้ที่พ่ายแพ้ก็อาจจำต้องหาอาวุธ อุปกรณ์ใหม่ๆมาเป็นแต้มต่อ เพราะท้ายที่สุดแล้ว ความสามารถของร่างกายจักเท่าเทียมกัน มีเพียงทักษะและประสปการณ์เท่านั้นที่จะเป็นตัวพิสูจน์ความแข็งแกร่งของเหล่านักรบ
จงจับอาวุธขึ้นสู้ เหล่านักรบ ชื่อเสียงและเกียรติยศนั้นเป็นรางวัลสำหรับผู้ชนะเท่านั้น!
ความเป็นมาของสังเวียนการประลอง ๔๐๐ Online
(นักรบชุดแดงหมอผีหมอยานักธนูสู้กับแมงดองนายกองแห่งเมืองอังวะ)
เมื่อเกิดสงครามครั้งใหญ่ขึ้นในสมัยโบราณ อาณาบริเวณที่เกิดการสู้รบครั้งใหญ่ของเหล่าวีรบุรุษนั้น ยังมีพลังความรู้สึกอัดแน่นอยู่ แม้นดวงวิญญาณจะไปสู้สุขติแล้วตาม หลังการศึกในสมัยนั้นพื้นที่หล่านี้ถูกลืมเลือน บ้างก็ว่าเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ บ้างก็ว่าเป็นที่ต้องสาป ไม่ค่อยที่จะมีผู้ใดใคร่จะย่างก้าวเข้ามานัก
(การต่อสู้ในบางครั้งจำเป็นต้องมีที่ขาดไม่ได้คือ อักขระของขลัง)
พลังในอาณาเขตเหล่านี้ มีอำนาจที่จะทำให้ผู้ใดก็ตามที่ก้าวเข้าไปก็ตาม จะทรงพลังได้ประหนึ่งนักรบในสมัยโบราณ ความสามารถเพิ่มจนขีดสุดในทางร่างกายและวิชาอาคม จิตใจก็ฮึกเฮิมกล้าหาญ เป็นผลจากพลังอารมณ์ของผู้ที่พลีชีพในสมัยก่อนในศึกใหญ่ได้ทิ้งเอาไว้
(ลานประลองนี้หาใช่เพื่อการต่อสู้เท่านั้น ยังใช้เพื่อต่อท้าวิชาด้วย)
ด้วยเหตุนี้ ทำให้สถานที่เหล่านี้ในเวลาต่อมาเป็นที่นิยมชมชอบของเหล่านักสู้ที่จะมาฝึกฝนวิชา โดยเฉพาะจะประลองกันเอง เป็นเหตุที่เกิดจากนักสู้สองคนพบว่า เมื่อพลังเพิ่มขึ้นจนสูงสุดทำให้ความสามารถไลเลี่ยกัน สามารถเก็บเกี่ยวประสปการณ์จากการสู้ เรียนรู้ท่วงท่าวิชาของแต่ละฝ่ายได้ดีกว่า
(การต่อสู้ของทหารกล้าทั้งสอง)
หากแต่ต่อมา เหลานักรบต่างเริ่มใช้สถานที่เหล่านี้เสมือนลานประลองฝีมือมากกว่าที่จะใช้เรียนรู้ เนื่องจากจิตอารมณ์ของผู้ที่ตายไปในสมัยโบราณ ผลักดันให้เกิดอารมณ์ที่อยากจะต่อสู้จนห้ามมือมิได้ กลายเป็นความกระหายที่จะต่อสู้ เมื่อก้าวออกจากสังเวียน ความรู้สึกนี้ก็จะหลุดหายไปเสียอีก จึงไม่มีผลร้ายในระยะยาวนัก
(ท่านเจ้าเมืองประกาศกฏการประลอง)
ด้วยเหตุนี้ สถานที่เหล่านี้จึงกลายเป็นสังเวียนลานประลองล่วงมาจนถึงเพลานี้ มีการเพิ่มระเบียบกฏเกณฑ์ต่างๆเข้าไปในลานประลอง โดยเฉพาะเกียรติยศที่นักสู้ในลานประลองที่ชัยชนะจักได้มา สำหรับนักสู้บางคนแล้ว เกียรติยศสำคัญเทียบเท่าได้กับชีวิตเลยทีเดียว ในหลายที่ เมืองหรือหมู่บ้านมักจะยกย่องผู้ที่ได้รับชัยชนะในสังเวียน มีของรางวัลต่างๆนาๆให้เป็นกำลังใจต่อไป
(การต่อสู่ทามกลางเพลิงสงคราม)
เวลาต่อมา มีผู้เสนอให้เพิ่มอุปสรรคให้กับนักสู้ในสังเวียน เพื่อป้องกันการดึงเวลาและเพิ่มรสชาติให้กับการประลอง บ้างก็ให้ความเห็นว่าเป็นเสมือนการจำลองการต่อสู้ในศึกสมัยโบราณ โดยเปลี่ยนกฏให้กลายเป็นผู้ที่ยืนอยู่คนสุดท้ายจะเป็นผู้ชนะอีกด้วย ซึ่งก็มีการตอบรับเป็นอย่างดี
( การฝึกปรือฝือมือกับเราสัตว์ร้าย )
ในอีกรูปแบบหนึ่ง ยังมีการปล่อยสัตว์ร้ายลงไประหว่างการประลอง สร้างความลำบากให้กับเหล่านักสู้ เนื่องจากนอกจากนักสู้จะต้องสู้กันเองแล้ว ยังต้องเอาตัวรอดจากสัตว์ร้ายเหล่านี้อีกด้วย นอกจากสัตว์ร้ายแล้ว ยังมีการนำสัตว์อื่นๆมาปล่อย สร้างความหลากหลายในสภาพแวดล้อมให้กับการประลอง บ้างก็เป็นเสือ บ้างก็เป็นแมงมุมยักษ์ บ้างจระเข้ บ้างก็แม้แต่สัตว์หินมพานต์อย่างสิงห์
(การต่อสู้ย่อมมีชนะได้เพียง หนึ่งเดี่ยวเท่านั้น)
ท้ายที่สุดแล้ว ผู้ที่ได้รับชัยชนะจะได้รับชื่อเสียงเกียรติยศ ผู้ที่พ่ายแพ้ก็อาจจำต้องหาอาวุธ อุปกรณ์ใหม่ๆมาเป็นแต้มต่อ เพราะท้ายที่สุดแล้ว ความสามารถของร่างกายจักเท่าเทียมกัน มีเพียงทักษะและประสปการณ์เท่านั้นที่จะเป็นตัวพิสูจน์ความแข็งแกร่งของเหล่านักรบ
จงจับอาวุธขึ้นสู้ เหล่านักรบ ชื่อเสียงและเกียรติยศนั้นเป็นรางวัลสำหรับผู้ชนะเท่านั้น!