กระทู้นี้ผมได้ขออนุญาติน้องชายแล้วถึงได้ตั้งขึ้นมาครับ (ว่าจะพิมพ์ตั้งแต่เมื่อคืนแต่ก็กลัวเสียงจะดังรบกวนเค้าพักผ่อนอยู่ข้างหลัง) แม้อาจไม่สามารถทำให้เค้าดีขึ้น แต่ก็อาจเป็นประโยชน์กับวัยรุ่นหลาย ๆ คนที่กำลังจะเดินทางผิด ถือว่าแชร์ประสพการณ์กันก็ได้ครับผม
เกริ่นก่อนว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นล้วนเป็นผลตอบแทนจากสิ่งไม่ดีต่าง ๆ ที่เค้าได้ทำมาในอดีต ซึ่งทุก ๆ คนรอบตัวเค้า "โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณหมอและพยาบาลทุกท่าน" ได้เข้ามาช่วยเหลืออย่างเต็มที่แล้ว แต่ด้วยความเป็นวัยรุ่นหัวรั้น สุดท้ายเลยต้องมาทุรนทุรายเหมือนตกนรก 24 ชั่วโมงอย่างนี้ (
ผมขอกราบขอบพระคุณคุณหมอและพยาบาลไว้ตรงนี้อีกครั้งครับผม)
น้องชายของผมปัจจุบันอายุ 22 เค้าเป็นลูกพี่ลูกน้องผมครับ แต่เนื่องจากพ่อกับแม่เค้าจากไปก่อนวัยอันควร ผมและแม่จึงได้รับมาดูแลโดยมีผมทำหน้าที่เป็นทั้งพี่และผู้ปกครอง เค้าเริ่มสูบบุหรี่ตั้งแต่อายุประมาณ 15 และสูบหนักขึ้นเรื่อย ๆ ใครห้ามก็ไม่ฟัง ไม่ได้ดังใจก็หนีไปอยู่บ้านเพื่อน จนเมื่ออายุ 18 ก็เริ่มแอบเล่นเมทแอมเฟตตามีน เพราะแฟนเพื่อนแนะนำ จนกลายเป็นต้องเสพทุกครั้งที่มีโอกาส แถมยังคิดไปเองว่ามันทำให้หน้าใส เสพแล้วหายปวดตามข้อ หายปวดขาซ้าย (ซึ่งไม่เป็นความจริง) ทุกคนในบ้านพยายามห้ามเพราะที่บ้านรังเกียจยาเสพติดมาก เค้าก็หนีไปหมกตัวอยู่กับเพื่อน เพื่อนจะหลอกใช้หรือหลอกเอาตังค์แล้วทิ้งยังไงก็ยังรักเพื่อนเสมอ ผมเคยกักตัวเค้าไว้ในบ้านได้เป็นสัปดาห์ เอาซีรีย์ฝรั่งให้ดูเพลิน ๆ จะได้ลืมความเสี้ยนยา แต่พอให้ออกไปนอกบ้านเท่านั้นล่ะ! วันแรกก็เสพเลย สุดท้ายผมเลยหางานให้เค้าทำ เช่าห้องให้เค้าอยู่เพื่อหวังว่าเค้าจะคนพบทางเดินใหม่ของตัวเอง (ที่ไม่ต้องมาสร้างปัญหาให้แม่ผมกลุ้มใจ)
แต่พอเค้าเดือดร้อนขึ้นมาก็จะกลับมาให้ผมช่วยทุกครั้ง เพื่อนผมก็คอยด่าว่าเป็นเพราะผมตามใจเค้าถึงได้เสียคน ในความคิดผมนั้น พูดซ้ำเติมกันน่ะมันง่าย แต่การที่จะเปลี่ยนคน ๆ หนึ่งที่ไม่เคยต้องการจะเปลี่ยนมันไม่ใช่ง่าย ๆ ถ้าผมทิ้งเด็กคนนี้ในจังหวะที่เหมาะสมจริง ๆ เค้าคงตายไปได้ประมาณ 5 รอบแล้ว แต่ผมตัดสินใจเลือกทางที่ยาก เลือกที่จะพยายามเปลี่ยนเค้า แม้ว่าใจจริงผมก็ยังไม่ได้มั่นใจ 100 ว่าผมจะทำได้จริง ๆ แต่ยังไง ๆ ผมคงทำใจทิ้งให้เค้าไปนั่งข้างถนนเป็นพวกไร้บ้านไม่ได้ (แต่เวลาทะเลาะกันทีก็เกือบจะทำอยู่หลายครั้งเหมือนกัน) เวลาเค้าไปเสพยาแล้วผมห้ามไม่ฟัง และทะเลาะกันถึงขีดสุด ผมมักจะว่าเค้าด้วยอารมณ์เดือดเต็มที่ว่า "พี่จะรอดูว่าจุดจบของแกจะเป็นยังไง จะสาสมแค่ไหน!"
และแล้ววันนั้นก็มาถึง...
สงสารน้องชายมากครับ เป็นแกงกรีน ไม่ได้นอนมาเป็นเดือนแล้ว ขอคำแนะนำครับผม
เกริ่นก่อนว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นล้วนเป็นผลตอบแทนจากสิ่งไม่ดีต่าง ๆ ที่เค้าได้ทำมาในอดีต ซึ่งทุก ๆ คนรอบตัวเค้า "โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณหมอและพยาบาลทุกท่าน" ได้เข้ามาช่วยเหลืออย่างเต็มที่แล้ว แต่ด้วยความเป็นวัยรุ่นหัวรั้น สุดท้ายเลยต้องมาทุรนทุรายเหมือนตกนรก 24 ชั่วโมงอย่างนี้ (ผมขอกราบขอบพระคุณคุณหมอและพยาบาลไว้ตรงนี้อีกครั้งครับผม)
น้องชายของผมปัจจุบันอายุ 22 เค้าเป็นลูกพี่ลูกน้องผมครับ แต่เนื่องจากพ่อกับแม่เค้าจากไปก่อนวัยอันควร ผมและแม่จึงได้รับมาดูแลโดยมีผมทำหน้าที่เป็นทั้งพี่และผู้ปกครอง เค้าเริ่มสูบบุหรี่ตั้งแต่อายุประมาณ 15 และสูบหนักขึ้นเรื่อย ๆ ใครห้ามก็ไม่ฟัง ไม่ได้ดังใจก็หนีไปอยู่บ้านเพื่อน จนเมื่ออายุ 18 ก็เริ่มแอบเล่นเมทแอมเฟตตามีน เพราะแฟนเพื่อนแนะนำ จนกลายเป็นต้องเสพทุกครั้งที่มีโอกาส แถมยังคิดไปเองว่ามันทำให้หน้าใส เสพแล้วหายปวดตามข้อ หายปวดขาซ้าย (ซึ่งไม่เป็นความจริง) ทุกคนในบ้านพยายามห้ามเพราะที่บ้านรังเกียจยาเสพติดมาก เค้าก็หนีไปหมกตัวอยู่กับเพื่อน เพื่อนจะหลอกใช้หรือหลอกเอาตังค์แล้วทิ้งยังไงก็ยังรักเพื่อนเสมอ ผมเคยกักตัวเค้าไว้ในบ้านได้เป็นสัปดาห์ เอาซีรีย์ฝรั่งให้ดูเพลิน ๆ จะได้ลืมความเสี้ยนยา แต่พอให้ออกไปนอกบ้านเท่านั้นล่ะ! วันแรกก็เสพเลย สุดท้ายผมเลยหางานให้เค้าทำ เช่าห้องให้เค้าอยู่เพื่อหวังว่าเค้าจะคนพบทางเดินใหม่ของตัวเอง (ที่ไม่ต้องมาสร้างปัญหาให้แม่ผมกลุ้มใจ)
แต่พอเค้าเดือดร้อนขึ้นมาก็จะกลับมาให้ผมช่วยทุกครั้ง เพื่อนผมก็คอยด่าว่าเป็นเพราะผมตามใจเค้าถึงได้เสียคน ในความคิดผมนั้น พูดซ้ำเติมกันน่ะมันง่าย แต่การที่จะเปลี่ยนคน ๆ หนึ่งที่ไม่เคยต้องการจะเปลี่ยนมันไม่ใช่ง่าย ๆ ถ้าผมทิ้งเด็กคนนี้ในจังหวะที่เหมาะสมจริง ๆ เค้าคงตายไปได้ประมาณ 5 รอบแล้ว แต่ผมตัดสินใจเลือกทางที่ยาก เลือกที่จะพยายามเปลี่ยนเค้า แม้ว่าใจจริงผมก็ยังไม่ได้มั่นใจ 100 ว่าผมจะทำได้จริง ๆ แต่ยังไง ๆ ผมคงทำใจทิ้งให้เค้าไปนั่งข้างถนนเป็นพวกไร้บ้านไม่ได้ (แต่เวลาทะเลาะกันทีก็เกือบจะทำอยู่หลายครั้งเหมือนกัน) เวลาเค้าไปเสพยาแล้วผมห้ามไม่ฟัง และทะเลาะกันถึงขีดสุด ผมมักจะว่าเค้าด้วยอารมณ์เดือดเต็มที่ว่า "พี่จะรอดูว่าจุดจบของแกจะเป็นยังไง จะสาสมแค่ไหน!"
และแล้ววันนั้นก็มาถึง...