
“ทิเบต” คือจุดเริ่มต้นของการเดินทางที่แสนวิเศษ ที่นำพาผมและผองเพื่อน ไปพบสรวงสวรรค์บนดินในโลกใบนี้
จำไม่ได้แล้วว่า ภาพ “ทิเบต” เข้ามาประทับอยู่ในความทรงจำตั้งแต่เรียนวิชา “โลกของเรา” (เด็กสมัยนี้ยังเรียนอยู่ไหมอ่ะ) หรือจาก “ลามะจักทอง” ในเรื่อง “แปดเทพอสูรมังกรฟ้า” หรือเปล่าไม่แน่ใจ
แต่รู้แน่ ๆ ว่า “ความอยาก” ที่จะไปเหยียบผืนดินที่เรียกว่า “หลังคาโลก” มันเรียกร้องอยู่ในใจลึก ๆ
และเมื่อ กายพร้อม ใจพร้อม เพื่อนพร้อม และ เงินดูเหมือนจะพร้อม ก็เริ่มเสาะหาข้อมูลทันที ซึ่งก็คือเมื่อกลางปีที่แล้ว (พ.ศ.2555)
สิ่งที่เจอคือ
“ไปยากชิบ...”
มีสารพัดข้อกำหนด จาก “จีน” เพราะตอนนี้ “ทิเบต” มีสภาพเป็นเขตปกครองพิเศษของจีน และมีเรื่องราวทางการเมืองเกิดขึ้นค่อนข้างรุนแรง ทำให้การเข้าไปยัง “ทิเบต” ยุ่งยากมาก
อันที่จริง “ข้อกำหนด” ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่ “การเปลี่ยนแปลง” ข้อกำหนดแบบแทบจะตลอดเวลา ทำเอายาหอมหมดไปหลายกระปุกทีเดียว
กำหนดการทริปใกล้คลอด ๆ เอ้าเปลี่ยนกฎ เยี่ยมไปเลยลูกพี่
สิ่งที่ต้องทำเตรียมการเพื่อไปทิเบต พอสรุปได้คร่าว ๆ ดังนี้
1.ต้องขอวีซ่าจีน และ
ห้ามบอกว่าจะเดินทางยังไปทิเบต
2.ต้องมีใบอนุญาตเพื่อเข้าไปยังทิเบตที่ออกโดยทางการจีน (Tibet Travel Permit) ซึ่งในการขอใบอนุญาตนี้ ต้องขอเป็นหมู่คณะ โดยคณะนั้นต้องเป็นคนที่มีสัญชาติเดียวกันอย่างน้อย 5 คน หมายความว่าต้องรวมกลุ่มกันให้ได้ 5 คนอย่างน้อย
3.ต้องมีไกด์ตอนที่อยู่ในทิเบต ตั้งแต่เข้าเหยียบทิเบต จนออกจากทิเบต
4.หากต้องการไปยัง Everest Base Camp ต้องได้รับใบอนุญาต (ซึ่งตอนผมหาข้อมูล Everest Base Camp ไม่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเกือบปีแล้ว แต่ตอนนี้ เมษายน 2556 เข้าได้แล้ว)
5.กฎทุกข้อข้างต้นสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา โดยไม่มีการแจ้งให้ทราบล่วงหน้า
ยุ่งยากไหมครับ
แต่อย่าเพิ่งตกใจไป เพราะพวกผมสามารถเที่ยวได้ ดังนั้นทุกคนก็เที่ยวได้ครับ ผมฟันเฟิร์ม
เนื่องจากกฎจะถูกเปลี่ยนตลอดเวลา ดังนั้น
อย่าเชื่อผมทันที
ต้องคอย update ข้อมูลให้เป็นปัจจุบันมากที่สุด
ซึ่งช่องทางที่ดีมากช่องทางหนึ่ง และถูกต้องมาก ก็คือ เว็ปไซด์ของ spin café ซึ่งเป็นร้านกาแฟ ที่ทิเบตที่เปิดโดยคนไทยครับ
http://www.cafespinn.com/en/tibet/index.html ข้อมูลเชื่อถือได้ครับ
หรือจะตรวจสอบจาก เอเจนซี่ทัวร์ ทิเบตก็ได้นะครับ อย่าง
http://www.tibet-tour.com
แม้ว่าจะมีข้อกำหนด และมีเอกสารที่ต้องขอเพิ่มเติม
แต่ด้วยความที่ว่าเราต้องจ้างไกด์ตอนอยู่ที่ทิเบตก็เป็นการบังคับให้เราซื้อทัวร์เที่ยวทิเบตแบบกลาย ๆ
ซึ่งทำให้เราไม่ต้องทำอะไรเลย นอกจากหาทัวร์ที่น่าเชื่อถือ ราคาน่าพอใจ และขอวีซ่าจีนให้ได้ ทุกอย่างจบแล้วครับ
เพราะเอเจนซี่ทัวร์จะทำการดำเนินการขอใบอนุญาตให้เราทั้งหมด
ไม่ว่าจะเป็น Tibet Travel Permit หรือ Everest Base Camp Permit ในกรณีที่อยากจะไปที่ base camp
(ความจริงแล้ว เราขอใบอนุญาตเองไม่ได้ ต้องให้เอเจนซี่ทัวร์ขอให้เท่านั้น มันเป็นกฎ)
ทริปนี้ พวกเราสร้างโจทย์หลัก 3 ข้อคือ
“ไปทิเบต”
“นั่งรถไฟเข้าทิเบต”
และ “ไหน ๆ ก็ไปแล้วขอไปเมืองอื่นด้วย”
เส้นทางของเราจึงออกมาเป็น
“สุวรรณภูมิ-ปักกิ่ง-ลาซา-ฉงชิ่ง-ดอนเมือง”
สิริรวมเวลาทั้งหมด 10 วัน (6 เม.ย. 2556 - 16 เม.ย. 2556)
เนื่องจากดูเหมือนจะไปยากเสียเหลือเกิน แต่จริง ๆ ไม่ยาก เลยอยากมาบอกเล่าเก้าสิบเอาไว้ครับ
เริ่มจาก
การขอวีซ่าจีน
ขั้นตอนและเอกสารจะมีการเปลี่ยนแปลงบ่อย เพราะฉะนั้นก่อนไปยื่นคำร้องพยายามหาข้อมูลที่ update ที่สุดนะครับ
สามารถหาข้อมูล และดาวน์โหลดแบบฟอร์มได้จากเว็ปกงศุลของจีนhttp://www.chinaembassy.or.th/th/lsfw/
เอกสารที่ใช้ประกอบการขอวีซ่าท่องเที่ยว
(ข้อมูลเมื่อวันที่ 25/04/2556)
1. พาสปอร์ตที่มีอายุไม่ต่ำกว่า 6 เดือน และมีหน้าว่างอย่างน้อยสองหน้า
2. แบบฟอร์มคำร้องขอวีซ่าที่กรอกข้อมูลครบถ้วน อย่าลืมว่าห้ามบ่งบอกว่าจะไปทิเบตนะครับ
3. รูปถ่าย 2 นิ้ว 1 รูป พื้นสีฟ้า หรือขาวก็ได้ ติดไปกับคำร้อง
4. Statement หรือสำเนาสมุดบัญชีเงินฝากย้อนหลัง 6 เดือน เห็นมีหลายคนบอกว่าต้องมีเงินไม่ต่ำกว่า 50,000 บาท แต่ตอนผมขอมีไม่ถึง 30,000 บาท ก็ผ่านนะครับ
5. สำเนาตั๋วเครื่องบินไปกลับ
6. สำเนาใบจองที่พักในจีน พวกเราไม่แสดงที่พักในทิเบตนะครับ เอาแค่ในปักกิ่งกับฉงชิ่ง
7. สำเนาหน้า passport หน้าแรก และถ้าใครเคยได้วีซ่าจีนมาแล้วต้องสำเนาหน้าวีซ่าจีนที่เคยได้รับด้วย
8. เงิน 1,000 บาท จ่ายในวันที่ไปรับพาสปอร์ตคืน 4 วันทำการ หากอยากได้ด่วนก็จ่ายเงินเพิ่มเอาครับ ตามที่ประกาศในเว็ปของกงศุลจีนข้างบนครับ
กระบวนการยื่นขอวีซ่าไปจนถึงรับเล่มคืน สามารถฝากให้ใครไปทำให้ก็ได้ครับ
แค่มีเอกสารครบถ้วน จ้างมอเตอร์ไซด์ไปยื่นให้ก็ได้ครับ สถานที่ก็ตึก AA Building ตรงปากซอยรัชดาภิเษก 3 ครับ
ถ้าหากจะไปยื่นขอเอง ผมแนะนำว่าให้
ทำใจก่อนไปนะครับ เพราะระบบมันชวนให้อารมณ์ขุ่นมัวมาก
ตอนผมไปยื่นผมเพิ่งกลับมาจากญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประเทศที่เนียบมากทุกกระเบียดนิ้ว
มาเจอระบบพี่จีนผสมพี่ไทยเรา บอกได้คำเดียวว่า “รมณ์เสีย” ครับ
แต่ก็เป็นการเตรียมตัวที่ดีสำหรับการไปเยือนจีนนะครับ เหมือน “ซ้อมไว้”
เอเจนซี่ทัวร์ในทิเบต
การหาเอเจนซี่ทัวร์นั้น แล้วแต่ความสบายใจของเรา และเส้นทางที่เราจะเดินทางเข้าทิเบตครับ
หากเราเข้าทางประเทศจีน ไม่ว่าจะจากเซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง ซีหนิง เฉินตู ก็สามารถหาเอเจนซี่จากจีนได้ครับ
หรือถ้าหากจะเข้าจากทางประเทศเนปาล ก็ติดต่อเอเจนซี่จากฝั่งเนปาลก็ได้ครับ
ซึ่งพวกเราเข้าจากทางปักกิ่งครับ
เนื่องจากพวกเรากังวลว่า “จะโดนหลอกหรือเปล่า” มากเป็นพิเศษ
ดังนั้นหวยเลยมาออกที่เอเจนซี่นี้ครับ
Tibet Travel.org
http://www.tibettravel.org/
เป็นเอเจนซี่ที่แพงพอสมควรเมื่อเทียบกับหลาย ๆ เจ้า
แต่ด้วยความรู้สึกส่วนตัวว่าดูน่าเชื่อถือที่สุด (ใช้สัญชาตญาณล้วน ๆ)
เขามีโปรแกรมหลากหลายมาก ลองเข้าไปดูตามความชอบได้เลยว่าอยากไปที่ไหนบ้าง
หรือหากปรับเปลี่ยนโปรแกรมก็สามารถบอกเขาได้ครับ
ซึ่งเขาตอบ E-mail เร็วมาก พอเราพูดคุยจนตกลงกันได้ เขาจะส่ง สัญญามาให้เราเซนต์ครับ
ภายในสัญญาจะแจ้งรายละเอียดทั้งหมด
ไม่ว่าจะเป็นสามาชิกในคณะของเรา โปรแกรม สภาพโรงแรม และสิ่งที่ถูกรวม และไม่ถูกรวมเข้าไปอยู่ในราคาค่าทัวร์
เราสามารถตกลงในรายละเอียดกันได้นะครับ เช่นอยากได้โรงแรมระดับไหน 1-5 ดาว ซึ่งก็จะส่งผลต่อราคาทัวร์ครับ
ส่วนการจ่ายเงินมัดจำนั้น ผมแบ่งจ่ายเป็นสามงวดครับ
งวดแรกตอนเซนต์สัญญา
งวดสองตอนได้ Tibet Travel Permit
และงวดสุดท้ายตอนเราไปถึงทิเบต
เราสามารถหาเอเจนซี่เจ้าอื่น ๆ ได้จาก google.com เลยครับ แต่เนื่องจากผมไม่ได้ใช้บริการ หรือติดต่อเจ้าอื่นเลย
เพราะฉะนั้นขออนุญาตพูดถึงแค่เจ้านี้เจ้าเดียวนะครับ ซึ่งความเห็นส่วนตัวของผม ดีครับ ไกด์ดูแลดี
และผู้จัดการมาคุยกับพวกเราด้วยในวันสุดท้ายของทริป แต่นั่นแหละครับแอบแพงไปนิด
[CR] [CR] กำแพงเมือง-รถไฟ-ภูเขา-หิมะ-จามรี-หลังคาโลก-ทะเลสาป-อากาศหนาว-สวรรค์บนดิน- [บทที่ 1]-เริ่มต้นความฝัน
“ทิเบต” คือจุดเริ่มต้นของการเดินทางที่แสนวิเศษ ที่นำพาผมและผองเพื่อน ไปพบสรวงสวรรค์บนดินในโลกใบนี้
จำไม่ได้แล้วว่า ภาพ “ทิเบต” เข้ามาประทับอยู่ในความทรงจำตั้งแต่เรียนวิชา “โลกของเรา” (เด็กสมัยนี้ยังเรียนอยู่ไหมอ่ะ) หรือจาก “ลามะจักทอง” ในเรื่อง “แปดเทพอสูรมังกรฟ้า” หรือเปล่าไม่แน่ใจ
แต่รู้แน่ ๆ ว่า “ความอยาก” ที่จะไปเหยียบผืนดินที่เรียกว่า “หลังคาโลก” มันเรียกร้องอยู่ในใจลึก ๆ
และเมื่อ กายพร้อม ใจพร้อม เพื่อนพร้อม และ เงินดูเหมือนจะพร้อม ก็เริ่มเสาะหาข้อมูลทันที ซึ่งก็คือเมื่อกลางปีที่แล้ว (พ.ศ.2555)
สิ่งที่เจอคือ
“ไปยากชิบ...”
มีสารพัดข้อกำหนด จาก “จีน” เพราะตอนนี้ “ทิเบต” มีสภาพเป็นเขตปกครองพิเศษของจีน และมีเรื่องราวทางการเมืองเกิดขึ้นค่อนข้างรุนแรง ทำให้การเข้าไปยัง “ทิเบต” ยุ่งยากมาก
อันที่จริง “ข้อกำหนด” ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่ “การเปลี่ยนแปลง” ข้อกำหนดแบบแทบจะตลอดเวลา ทำเอายาหอมหมดไปหลายกระปุกทีเดียว
กำหนดการทริปใกล้คลอด ๆ เอ้าเปลี่ยนกฎ เยี่ยมไปเลยลูกพี่
สิ่งที่ต้องทำเตรียมการเพื่อไปทิเบต พอสรุปได้คร่าว ๆ ดังนี้
1.ต้องขอวีซ่าจีน และห้ามบอกว่าจะเดินทางยังไปทิเบต
2.ต้องมีใบอนุญาตเพื่อเข้าไปยังทิเบตที่ออกโดยทางการจีน (Tibet Travel Permit) ซึ่งในการขอใบอนุญาตนี้ ต้องขอเป็นหมู่คณะ โดยคณะนั้นต้องเป็นคนที่มีสัญชาติเดียวกันอย่างน้อย 5 คน หมายความว่าต้องรวมกลุ่มกันให้ได้ 5 คนอย่างน้อย
3.ต้องมีไกด์ตอนที่อยู่ในทิเบต ตั้งแต่เข้าเหยียบทิเบต จนออกจากทิเบต
4.หากต้องการไปยัง Everest Base Camp ต้องได้รับใบอนุญาต (ซึ่งตอนผมหาข้อมูล Everest Base Camp ไม่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเกือบปีแล้ว แต่ตอนนี้ เมษายน 2556 เข้าได้แล้ว)
5.กฎทุกข้อข้างต้นสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา โดยไม่มีการแจ้งให้ทราบล่วงหน้า
ยุ่งยากไหมครับ
แต่อย่าเพิ่งตกใจไป เพราะพวกผมสามารถเที่ยวได้ ดังนั้นทุกคนก็เที่ยวได้ครับ ผมฟันเฟิร์ม
เนื่องจากกฎจะถูกเปลี่ยนตลอดเวลา ดังนั้นอย่าเชื่อผมทันที
ต้องคอย update ข้อมูลให้เป็นปัจจุบันมากที่สุด
ซึ่งช่องทางที่ดีมากช่องทางหนึ่ง และถูกต้องมาก ก็คือ เว็ปไซด์ของ spin café ซึ่งเป็นร้านกาแฟ ที่ทิเบตที่เปิดโดยคนไทยครับ http://www.cafespinn.com/en/tibet/index.html ข้อมูลเชื่อถือได้ครับ
หรือจะตรวจสอบจาก เอเจนซี่ทัวร์ ทิเบตก็ได้นะครับ อย่าง http://www.tibet-tour.com
แม้ว่าจะมีข้อกำหนด และมีเอกสารที่ต้องขอเพิ่มเติม
แต่ด้วยความที่ว่าเราต้องจ้างไกด์ตอนอยู่ที่ทิเบตก็เป็นการบังคับให้เราซื้อทัวร์เที่ยวทิเบตแบบกลาย ๆ
ซึ่งทำให้เราไม่ต้องทำอะไรเลย นอกจากหาทัวร์ที่น่าเชื่อถือ ราคาน่าพอใจ และขอวีซ่าจีนให้ได้ ทุกอย่างจบแล้วครับ
เพราะเอเจนซี่ทัวร์จะทำการดำเนินการขอใบอนุญาตให้เราทั้งหมด
ไม่ว่าจะเป็น Tibet Travel Permit หรือ Everest Base Camp Permit ในกรณีที่อยากจะไปที่ base camp
(ความจริงแล้ว เราขอใบอนุญาตเองไม่ได้ ต้องให้เอเจนซี่ทัวร์ขอให้เท่านั้น มันเป็นกฎ)
ทริปนี้ พวกเราสร้างโจทย์หลัก 3 ข้อคือ
“ไปทิเบต”
“นั่งรถไฟเข้าทิเบต”
และ “ไหน ๆ ก็ไปแล้วขอไปเมืองอื่นด้วย”
เส้นทางของเราจึงออกมาเป็น
“สุวรรณภูมิ-ปักกิ่ง-ลาซา-ฉงชิ่ง-ดอนเมือง”
สิริรวมเวลาทั้งหมด 10 วัน (6 เม.ย. 2556 - 16 เม.ย. 2556)
เนื่องจากดูเหมือนจะไปยากเสียเหลือเกิน แต่จริง ๆ ไม่ยาก เลยอยากมาบอกเล่าเก้าสิบเอาไว้ครับ
เริ่มจาก
การขอวีซ่าจีน
ขั้นตอนและเอกสารจะมีการเปลี่ยนแปลงบ่อย เพราะฉะนั้นก่อนไปยื่นคำร้องพยายามหาข้อมูลที่ update ที่สุดนะครับ
สามารถหาข้อมูล และดาวน์โหลดแบบฟอร์มได้จากเว็ปกงศุลของจีนhttp://www.chinaembassy.or.th/th/lsfw/
เอกสารที่ใช้ประกอบการขอวีซ่าท่องเที่ยว (ข้อมูลเมื่อวันที่ 25/04/2556)
1. พาสปอร์ตที่มีอายุไม่ต่ำกว่า 6 เดือน และมีหน้าว่างอย่างน้อยสองหน้า
2. แบบฟอร์มคำร้องขอวีซ่าที่กรอกข้อมูลครบถ้วน อย่าลืมว่าห้ามบ่งบอกว่าจะไปทิเบตนะครับ
3. รูปถ่าย 2 นิ้ว 1 รูป พื้นสีฟ้า หรือขาวก็ได้ ติดไปกับคำร้อง
4. Statement หรือสำเนาสมุดบัญชีเงินฝากย้อนหลัง 6 เดือน เห็นมีหลายคนบอกว่าต้องมีเงินไม่ต่ำกว่า 50,000 บาท แต่ตอนผมขอมีไม่ถึง 30,000 บาท ก็ผ่านนะครับ
5. สำเนาตั๋วเครื่องบินไปกลับ
6. สำเนาใบจองที่พักในจีน พวกเราไม่แสดงที่พักในทิเบตนะครับ เอาแค่ในปักกิ่งกับฉงชิ่ง
7. สำเนาหน้า passport หน้าแรก และถ้าใครเคยได้วีซ่าจีนมาแล้วต้องสำเนาหน้าวีซ่าจีนที่เคยได้รับด้วย
8. เงิน 1,000 บาท จ่ายในวันที่ไปรับพาสปอร์ตคืน 4 วันทำการ หากอยากได้ด่วนก็จ่ายเงินเพิ่มเอาครับ ตามที่ประกาศในเว็ปของกงศุลจีนข้างบนครับ
กระบวนการยื่นขอวีซ่าไปจนถึงรับเล่มคืน สามารถฝากให้ใครไปทำให้ก็ได้ครับ
แค่มีเอกสารครบถ้วน จ้างมอเตอร์ไซด์ไปยื่นให้ก็ได้ครับ สถานที่ก็ตึก AA Building ตรงปากซอยรัชดาภิเษก 3 ครับ
ถ้าหากจะไปยื่นขอเอง ผมแนะนำว่าให้ทำใจก่อนไปนะครับ เพราะระบบมันชวนให้อารมณ์ขุ่นมัวมาก
ตอนผมไปยื่นผมเพิ่งกลับมาจากญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประเทศที่เนียบมากทุกกระเบียดนิ้ว
มาเจอระบบพี่จีนผสมพี่ไทยเรา บอกได้คำเดียวว่า “รมณ์เสีย” ครับ
แต่ก็เป็นการเตรียมตัวที่ดีสำหรับการไปเยือนจีนนะครับ เหมือน “ซ้อมไว้”
เอเจนซี่ทัวร์ในทิเบต
การหาเอเจนซี่ทัวร์นั้น แล้วแต่ความสบายใจของเรา และเส้นทางที่เราจะเดินทางเข้าทิเบตครับ
หากเราเข้าทางประเทศจีน ไม่ว่าจะจากเซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง ซีหนิง เฉินตู ก็สามารถหาเอเจนซี่จากจีนได้ครับ
หรือถ้าหากจะเข้าจากทางประเทศเนปาล ก็ติดต่อเอเจนซี่จากฝั่งเนปาลก็ได้ครับ
ซึ่งพวกเราเข้าจากทางปักกิ่งครับ
เนื่องจากพวกเรากังวลว่า “จะโดนหลอกหรือเปล่า” มากเป็นพิเศษ
ดังนั้นหวยเลยมาออกที่เอเจนซี่นี้ครับ
Tibet Travel.org http://www.tibettravel.org/
เป็นเอเจนซี่ที่แพงพอสมควรเมื่อเทียบกับหลาย ๆ เจ้า
แต่ด้วยความรู้สึกส่วนตัวว่าดูน่าเชื่อถือที่สุด (ใช้สัญชาตญาณล้วน ๆ)
เขามีโปรแกรมหลากหลายมาก ลองเข้าไปดูตามความชอบได้เลยว่าอยากไปที่ไหนบ้าง
หรือหากปรับเปลี่ยนโปรแกรมก็สามารถบอกเขาได้ครับ
ซึ่งเขาตอบ E-mail เร็วมาก พอเราพูดคุยจนตกลงกันได้ เขาจะส่ง สัญญามาให้เราเซนต์ครับ
ภายในสัญญาจะแจ้งรายละเอียดทั้งหมด
ไม่ว่าจะเป็นสามาชิกในคณะของเรา โปรแกรม สภาพโรงแรม และสิ่งที่ถูกรวม และไม่ถูกรวมเข้าไปอยู่ในราคาค่าทัวร์
เราสามารถตกลงในรายละเอียดกันได้นะครับ เช่นอยากได้โรงแรมระดับไหน 1-5 ดาว ซึ่งก็จะส่งผลต่อราคาทัวร์ครับ
ส่วนการจ่ายเงินมัดจำนั้น ผมแบ่งจ่ายเป็นสามงวดครับ
งวดแรกตอนเซนต์สัญญา
งวดสองตอนได้ Tibet Travel Permit
และงวดสุดท้ายตอนเราไปถึงทิเบต
เราสามารถหาเอเจนซี่เจ้าอื่น ๆ ได้จาก google.com เลยครับ แต่เนื่องจากผมไม่ได้ใช้บริการ หรือติดต่อเจ้าอื่นเลย
เพราะฉะนั้นขออนุญาตพูดถึงแค่เจ้านี้เจ้าเดียวนะครับ ซึ่งความเห็นส่วนตัวของผม ดีครับ ไกด์ดูแลดี
และผู้จัดการมาคุยกับพวกเราด้วยในวันสุดท้ายของทริป แต่นั่นแหละครับแอบแพงไปนิด