เลห์-ลาดักห์-แคชเมียร์-อักรา ตอน 3 เปลี่ยนแผนจากทะเลสาบแปงกองไปหุบเขานูบร้า ผ่านคาร์ดุงลาพาส จุดถนนที่สูงที่สุดในโลก

กระทู้สนทนา


เพื่อนๆ ที่เข้ามาเจอไม่ว่าจะเป็นการ search จาก google หรือพันทิปเองก็ตาม รบกวนตามไปอ่านตอนอื่นๆได้ที่นี่ครับ
เว็บหลัก
http://athlons.blogspot.com
http://www.facebook.com/AthlonsBlogspotCom [Facebook Fanpage]

เลห์-ลาดักห์-แคชเมียร์-อักรา ตอน 1 เหินฟ้าสู่ดินแดนภารตะ มุ่งสู่อินเดียเหนือ เลห์เมืองหลวงแห่งลาดักห์
http://athlons.blogspot.com/2013/04/1.html
เลห์-ลาดักห์-แคชเมียร์-อักรา ตอน 2 ได้เวลาสำรวจวัด(กอมปา)และพระราชวังเก่าละแวกเมืองเลห์
http://athlons.blogspot.com/2013/04/2.html
เลห์-ลาดักห์-แคชเมียร์-อักรา ตอน 3 เปลี่ยนแผนจากทะเลสาบแปงกองไปหุบเขานูบร้า(Nubra valley) ผ่านคาร์ดุงลาพาส จุดถนนที่สูงที่สุดในโลก
http://athlons.blogspot.com/2012/07/3-nubra-valley.html
เลห์-ลาดักห์-แคชเมียร์-อักรา ตอน 4 ไม่เสียใจที่ไม่ได้ขี่อูฐ ณ หุบเขานูบร้า(Nubra valley) ก่อนจะแวะหมู่บ้าน Sumur เพื่อชม Samtanling Monastery แล้วกลับเมืองเลห์
http://athlons.blogspot.com/2012/07/LehLadakh-04-Sumur.html
เลห์-ลาดักห์-แคชเมียร์-อักรา ตอน 5 ในที่สุดก็ได้ไปทะเลสาบแปงกองผ่าน Chang La Pass จุดถนนที่สูงที่สุดในโลกอันดับ 3
http://athlons.blogspot.com/2012/07/LehLadakh-05-PangongTso.html
เลห์-ลาดักห์-แคชเมียร์-อักรา ตอน 6 หนึ่งวันสบายๆ ในเลห์ มีเพียงส่งโปสการ์ดและหาพิซซ่าอร่อยทาน
http://athlons.blogspot.com/2012/07/LehLadakh-06-Leh.html
เลห์-ลาดักห์-แคชเมียร์-อักรา ตอน 7 ลาจากเมืองเลห์ดินแดนทิเบตน้อยมุ่งหน้าสู่ศรีนาการ์ทางรถยนต์ แวะเที่ยวรายทางมากมาย ก่อนจะพักเมืองแดรสเมืองที่หนาวที่สุดอันดับ 2 ของโลก
http://athlons.blogspot.com/2012/07/LehLadakh-07-LamayuruToDrass.html
เลห์-ลาดักห์-แคชเมียร์-อักรา ตอน 8 ออกจากเมืองแดรสผ่าน Zoji La Pass ทางผ่านบนเขาที่แสนจะหวาดเสียว เข้าโซนามาร์กมุ่งสู่เมืองศรีนาการ์เมืองหลวงของแคชเมียร์
http://athlons.blogspot.com/2012/07/LehLadakh-08-DrassViaZojiLaPassToSrinagarKashmir.html
เลห์-ลาดักห์-แคชเมียร์-อักรา ตอน 9 จากแคชเมียร์มุ่งหน้าลงใต้สู่อนุสรณ์สถานแห่งความรัก "ทัชมาฮาล" ก่อนจะปิดทริปอินเดีย 12 วันอย่างสมบูรณ์แบบ
http://athlons.blogspot.com/2012/07/LehLadakh-09-KashmirDelhiAgraTajMahal.html

วันนี้เป็นวันที่ 3 ที่เราอยู่ในลาดักห์ อินเดีย วันนี้จากเดิมเราต้องเดินทางไปเที่ยวทะเลสาบแปงกองตามแพลนเดิมที่วางไว้ (แพลนเที่ยวดูได้จากตอนที่ 1) แต่แล้วก็ต้องเปลี่ยนแผนเพราะซาลิมได้แจ้งกับเราว่า ถนนที่ไปทะเลสาบแปงกองตอนนี้ปิดคงเป็นดินหรือหิมะถล่มอะไรสักอย่าง ไม่สามารถเดินทางไปได้ ทำให้เราต้องเลื่อนแผนในวันต่อมามาใช้ในวันนี้แทน โปรแกรมในวันนี้เลยเป็นดังนี้

Leh – Khardung La Pass - Nubra valley - Hundar

ซึ่งก็คือ เราจะไปเที่ยวหุบเขานูบร้าซึ่งอยู่ตอนเหนือของเลห์แทน และยิ่งไปกว่านั้น วันนี้เราจะไปค้างที่หมู่บ้านฮุนเดอร์ด้วย เรียกได้ว่า เกือบจะอยู่สุดปลายเขตแดนอินเดียกับปากีสถานกันเลยทีเดียว ถ้าพร้อมกันแล้วก็ตามกันไปเลยครับ



วันนี้เราคื่นเช้ากันหน่อยครับ เพราะต้องเดินทางกันไกลทีเดียว ลงมาทานอาหารเช้าแบบง่ายๆ มีขนมปังปิ้ง แยมอปิคอต ชานมเย็น เครื่องดื่มที่เคยชอบมากๆ ไปที่ไหนต้องสั่งตลอดคือกาแฟ แต่ครั้งนี้ต้องงด เพราะกลัวปวดหัวจากความสูงแล้วยังมาปวดหัวกับกาแฟอีก เลยดื่มชาอย่างเดียวเลย


ทานอาหารเช้าเสร็จก็เริ่มเดินทางกัน รถออกมาเรื่อยๆ ก็ค่อยๆห่างจากหมู่บ้านมาทุกที ตอนนี้เริ่มเข้าสู่เส้นทางบนภูเขาแล้ว ระหว่างทางก็จะเจอกับแก๊งรถช๊อปเปอร์ของคนท้องถิ่นบิดเร่งแซงออกไป เส้นทางนี้ไม่มีเหงาจริงๆ


เห็นอะไรเป็นเส้นๆ ไหนลองซุมเข้าไปดูซิ เป็นฝูงแพะนั่นเอง พวกนี้ชอบเดินบนที่สูง


ด้านล่างเป็นหมู่บ้านอะไรสักอย่าง ทุ่งเขียวขจีเชียว


แล้วก็ต้องขับผ่านรถทหารซึ่งจอดชิดซ้ายเป็นแนวยาวทีเดียว สงสัยคงจอดเช็คกำลังพลก่อนไปต่อนะครับ


ยิ่งสูงเข้าไปเรื่อยๆ ณ ตอนนี้มองลงมาเห็นวิวลำธารสีขาวหยักไปหยักมาหล่อเลี้งผู้คนแถบนั้น


ถนนที่เราผ่านมาทอดยาวตามไหล่เขา เป็นถนนเลนเดียวแต่ต้องขับสวนเลนกัน


พับไปพับมาเห็นแล้วไม่น่าเชื่อว่าขับผ่านมาแล้ว


ยิ่งสูงก็ยิ่งเห็นหิมะปกคลุมด้านบนของภูเขากันแล้ว อากาศก็เริ่มเย็นลงทุกที


รถมาจอดที่จุดแรกครับ เป็นจุดเช็คพอยท์จุดแรก หรือเรียกว่า Traffic Control Post คนขับก็จอดรถแล้วรีบวิ่งเอาเอกสารไปให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบด้านใน เราก็เดินลงมาจากรถด้วย อากาศเย็นมากครับ ต้องรีบใส่ถุงมือผ้าเป็นครั้งแรกกันเลย สักพักคนขับก็วิ่งกลับมาที่รถแล้วเริ่มเดินทางต่อ


จากถนนราดยางอย่างดีที่ผ่านมา เริ่มเป็นถนนหินกันแล้ว ทำให้รถขโยกเอามากๆ การทำเวลาเลยลดลงไปอย่างปริยาย ไม่งั้นเด้งไปเด้งมากันแน่แท้


เริ่มเห็นไอหิมะฟุ้งลงมา รถแต่ละคันก็ค่อยๆวิ่งกันไป


เอ๊ะ...รถข้างหน้าทำไมไม่ไป จอดรอกัน 2-3 คัน คนขับรถเราตัวเล็กรีบหยุดรถแล้วก็วิ่งไปดู ดูอย่างเดียวไม่พอ แถมยังไปช่วยเหลือรถที่มีปัญหาอยู่ ปรากฎว่าเป็นรถบัสที่ติดก้อนหินไปต่อไม่ได้ ต้องถอยรถกันทุลักทุเล เสียเวลาไปพอสมควร แต่แล้วก็ไปต่อกันได้ ใจเสียเล็กน้อยเลย


ด้านข้างขวาถนนที่เห็นสีขาวๆ ก็คือหิมะที่ปกคลุมหินและดินนั่นเอง ทำให้ถนนมีน้ำไหลจากหิมะที่ละลายตลอดเวลา นี่เป็นสาเหตุไม่สามารถที่จะราดยางถนนได้ ก็เลยที่ต้องกระดื๊บกันไป เปิดกระจกรถทีหนาวกันเลยทีเดียว


รถค่อยๆไต่เขาไปเรื่อยๆ อากาศหนาวเย็นทีเดียว ต้องจิบชาร้อนๆที่เราเตรียมกันมาจากโรงแรมพอให้ร่างกายอุ่นกันได้


เจอคันหน้าเป็นรถท้องถิ่นครับ ติดธงมนต์เต็มไปหมด นำอะไรมาสักอย่างในรถ เดาว่าน่าจะไปทำบุญที่วัดไม่ดิสกิตก็แถบๆ Sumur นะครับ


วิวหุบเขาเป็นลายพลางทีเดียว เปิดกระจกเพื่อเอากล้องยื่นไปถ่ายรูปเสร็จก็ต้องรีบปิดกระจก ก็มันหนาวนะสิ


และแล้วเวลาประมาณ 9 โมงนิดๆ เราก็มาถึงคาดุงลาพาส(Khardung La Pass) จุดถนนที่สูงที่สุดในโลกกันแล้ว อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 18,380 ฟุต หรือ 5,602 เมตร ในป้ายเขาจะเขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า "World's Highest Motorable Road" หรือจุด/ทางผ่านที่สูงที่สุดของถนนที่ยวดยานพาหนะโดยใช้เครื่องยนต์สามารถไปถึง นั่นคือไม่นับถนนหรือทางเดินที่คนหรือสัตว์ที่ขนของผ่านไปนะครับ


ลงจากรถมาหนาวมากๆ แถบปวดปัสสาวะด้วย ต้องรีบแจ้นไปหาห้องน้ำ

ผมว่า น่าจะเป็นห้องน้ำที่วิวสวยที่สุดในโลกและอยู่สูงที่สุดในโลกก็ว่าได้ครับ เปิดดูอยู่หลายห้องที่ว่างๆอยู่ แต่อย่าไปเข้ามันเลยครับ เพราะทุกอย่างมันเป็นน้ำแข็งไปหมด และก็ไม่โสภาซะด้วยสิ ทำยังไงดี ปวดมาก ก็เลยเดินไปจนสุดทางทางด้านขวา แล้วก็ปล่อยมันไปลงเหวเลยละกัน อิอิ

อีกจุดหนึ่งที่มีป้ายยินดีต้อนรับ ธงมนต์เต็มไปหมด จริงๆแล้วที่นี่ก็มีวัดด้วยนะครับ แต่ต้องเดินขึ้นไปอีก เราคงไม่เสียพลังงานเดินขึ้นไปแน่ๆครับ

รถจอดให้พักที่จุดนี้นานเกินไปแล้ว ผมรู้สึกปวดหัวครับ เพราะจุดที่สูงที่สุดอากาศมันก็น้อยลง มองหาคนขับรถไม่เจอสักที โมโหมากครับ กลัวจะเป็นอะไรซะก่อน สุดท้ายก็เดินมา ผมต่อว่าเขาไปใหญ่ว่าอย่าจอดนาน ไม่รู้เหรอว่าหลายคนเกิดเอาการปวดหัวเพราะออกซิเจนน้อยที่จุดสูงๆแบบนี้ คนขับหน้าจ๋อยไปเหมือนกัน แล้วก็รีบไปต่อครับ


ธารน้ำแข็ง เห็นแล้วเย็นยะเยือก


แล้วรถก็เริ่มลงเขาไปเรื่อยๆ เพราะผ่านจุดที่สูงที่สุดมาแล้ว 10.30 น.ก็มาถึงยังจุดนี้ แถบนี้อากาศเย็นสบายมากครับ ไม่หนาวจนเกินไป และที่สำคัญมีเจ้าตัวนี้ด้วย มาร์มอต(marmot) คือกระรอกขนาดใหญ่ที่อาศัยตามพื้นดิน ส่วนใหญ่จะพบได้จากเทือกเขาสูงๆ เช่น เทือกเขาแอลป์ เทือกเขาร็อคกี้ และก็ที่นี่ ลาดักห์

ในรูปมันกำลังโผล่จากรูของมันเลย ผมต้องค่อยๆย่องเดินไปใกล้ๆ เพื่อจะเก็บภาพนี้ ใกล้มากกว่านี้กลัวหนีหายไปครับ


ฮั่นแน่...ควายเองก็ยังสงสัยในตัวมาร์มอต ว่ามันคือตัวอะไรกันเนี่ย ผลุบๆโผล่ๆ


แถบนี้คือสวนสาธารณะระหว่างทาง แต่จำชื่อไม่ได้แล้ว วิวคุณวิวเล็มหญ้าอ่อน ชิวมากๆ


แล่นมาสักพัก ฝนก็ตกเม็ดเล็กๆ เรียกว่าเป็นละอองท่าจะถูกกว่า แล้วก็มาถึงจุดเช็คพอยท์อีกครั้งแล้ว


ลงมาถึงที่ราบใกล้ลำธาร ก็จะเจอกับฝูงแพะระหว่างทาง หลากสีสันขนยาวเชียว เนื่องจากภูมิอากาศหนาวนั่นเอง


วิวหุบเขาและขุนเขาไม่จบไม่สิ้น


เหลือบมองไปทางด้านขวามือ เห็นคล้ายๆบ้านของชาวบ้าน คิดว่าเป็นอีกเส้นทางหนึ่งที่อยู่อีกฟาก แต่จริงๆแล้ว ไม่ใช่ เพราะสุดท้ายรถก็จะวนไปหาบ้านนั้นในอีกไม่นานนั่นเอง แสดงว่าถนนมันวกข้ามเขาในแต่ละลูกมากมายทีเดียว


นี่คือสะพานที่เชื่อมเส้นทางของเขาทั้งสองลูกที่ว่า


ธงมนต์อยู่เหนือลำธารเต็มไปหมด เห็นแล้วสดชื่นขึ้นมาทีเดียว


เกือบๆ 11 โมงครึ่งก็มาถึงหมู่บ้าน Khalsar หมู่บ้านนี้อยู่ในหุบเขาที่ราบ ทำให้เห็นเขาสีน้ำตาลที่อยู่เบื้องหน้าอันแปลกตาออกไป


พื้นที่ราบลุ่มในหุบเขา ได้เห็นสีเขียวและเหลืองอีกครั้งก็ชื่นใจมาทันที


ที่นี่เรายังไม่แวะทานอาหารเหมือนกันทริปของคนอื่นๆ แต่แค่แวะปัสสาวะเท่านั้นเอง


โค้งเส้นทางนี้แต่ละโค้งต้องมีสติและสมาธิเท่านั้น เผลอหน่อยเดียวอาจกลายเป้นผีเฝ้าหุบเขาไปได้


ความกว้างของถนนแบบนี้ขับสวนกันเสียวน่าดู รถเก็งบางคันอาศัยจังหวะเจ๋งๆ แซงรถเราไปก็ถือว่าเก่งมากๆ


และก็มาถึงจุดชมวิวแรกของแม่น้ำ S
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่