[กระทู้หนังคู่กรรม 18-04-2556] ผมไม่แน่ใจว่าหนังคู่กรรมเป็นหนังอาร์ทหรือเปล่า แต่ผมน้ำตารื้อไป 2 ครั้งใหญ่ๆ [SPOIL][อวย]

ผมได้โอกาสไปดูภาพยนต์เรื่องนี้วันอังคารตอนกลางวัน (แน่นอนว่า เพื่อจะได้กลับมาดูคู่กรรมของ Exact ทางช่อง 5 ตอนอวสานทัน) จึงขอมาเล่าถึงภาพยนต์เรื่องนี้อีกคน เพราะไม่แน่ใจว่าพฤหัสนี้หนังเรื่องนี้จะเหลืออยู่สักกี่โรง หรือ ออกไปจากโปรแกรมแล้ว

โดยถึงผมจะได้อ่านหลายๆ กระทู้ในห้องเฉลิมไทยแล้ว รู้ทั้งรายละเอียดของบทประพันธ์ และ SPOIL ไปเยอะแล้ว แต่ผมก็ยังอยากไปดูด้วยตัวเองอยู่ดี


ผมเข้าไปดูได้สักพักก็มั่นใจได้เลยว่าหนังเรื่องนี้ไม่ใช่ ‘หนังแมส’ หรือจะเรียกว่า ‘หนังพาณิชย์’ หรือจะเรียกว่า ‘หนังทำเงิน’ ก็เถอะ (ส่วนจะเป็นหนังอาร์ทหรือไม่ ผมฟันธงไม่ได้ครับ ไม่ conc พอ) เพราะในช่วงแรกที่พ่อดอกมะลิเจอกับอังซังนั้นก่อนจะหมั้นกันนั้น สั้นมาก อาจจะราวๆ เพียง 1 ใน 4 ของเรื่องด้วยซ้ำ

ดังนั้น ไม่มีทางที่จะปูพื้นเรื่องให้คนดูฟินกับคู่นี้แน่ๆ เพราะในละคร (คงเทียบได้กับละครคู่กรรมของ Exact ทางช่อง 5 เพราะฉายใกล้กัน/ทาบทับกันที่สุด – แต่เรื่องนี้เราจะต่อว่าใครก็คงไม่ได้ เพราะทมยันตีท่านก็มีสิทธิ์ขายลิขสิทธิ์ให้ละครกับหนังซึ่งตามกฏหมายแยกลิขสิทธิ์กัน และไม่มีใครรู้ว่าช่อง 5 จะมีคิวให้ละครฉายช่วงไหน โรงหนังจะมีคิวให้หนังฉายเมื่อใด)

หนังไม่เหมือนละครที่มีเวลาฉายที่ยาวนานพอที่จะเน้นในฉากพ่อดอกมะลิแอบดูอังซังอาบน้ำ, พ่อดอกมะลิเปลือยท่อนบนอาบน้ำ, ดูอังซังจับกุ้ง, 'ปะทะ' กันในท้องร่อง (จนคนดูให้สมญาตัวเองว่า ‘สาวกท้องร่อง’ (สวทร.)), การกินข้าวร่วมกัน และการหลบระเบิดเข้าหลุมหลบภัย/ท้องร่อง แต่ละฉาก ครั้งแล้วครั้งเล่า (แต่ต่างรายละเอียด) ให้พวกเราได้ ‘ฟิน’ กัน

อาจเป็นเพราะเช่นนี้ (ต่อให้ผู้กำกับจะยืดช่วงดังกล่าวยาวนานกว่านี้อีกเท่าตัวก็ตาม) จึงทำให้หนังคู่กรรมจึงไม่ build อารมณ์คนดูให้มีความผูกพันกับตัวเอกทั้ง 2 ได้มากพอ เหมือนกับที่ละครคู่กรรมทำสำเร็จมาครั้งแล้วครั้งเล่า


แต่หลังจากแต่งงานกัน เรื่องราวก็เข้มข้นขึ้นมาก  โดยเฉพาะ ฉาก ‘ข่มขืน’ ที่ทำให้ผมเข้าใจแล้วหล่ะว่าทำไมฉาก ‘ปูไต่’ ถึงเป็นเหมือนเป็น ‘สัญญลักษณ์’/’กิมมิค/Talk of the Town’ ของเรื่อง … ผู้กำกับเรียวเข้าใจหา ‘การแสดง’ ที่ ‘ตรึงตาตรึงใจ’ คนดู หรือทำให้คนดู ‘ฟิน’ หรือทำให้คนดู 'ปากต่อปาก' กัน ได้อย่างยอดเยี่ยมจริงๆ (ผมว่าแม้แต่ผู้กำกับ หรือ คนเขียนบทเองก็คิดไม่ถึงว่ามันจะสร้างความ ‘ฟิน’ ได้ถึงขนาดนี้)
และก็ถือเป็นการ 'ตีความ' ของผู้กำกับเรียวที่เก่งมากๆ ว่า 'ราวกับ' เป็นการ 'ขอความรัก' (ขอยืมคำคุณ ay_mayz มาใช้หน่อย) ยังไงยังงั้น

และผมก็เข้าใจแล้วว่าทำไมผู้กำกับเรียวถึงบอกว่า ‘เป็นหนังผัวเมียทะเลาะกัน’ เพราะจากต้นเรื่องจนถึงจนจะจบ เป็นหนังที่เป็นเรื่องของแฟน/ผัวเมียทะเลาะกันจริงๆ


แน่นอนว่า 2 ฉากที่ทำให้ผมซาบซึ้งจนน้ำตารื้อคือฉากที่พ่อดอกมะลิบอกว่า ‘คุณมีเหตุผลของคุณ แต่ผมก็มีเหตุผลของผม’ และฉากจบที่อังซังสารภาพความในใจด้วยประโยคที่พ่อดอกมะลิเรียกร้องเสมอมา ‘อานาตาโอะ อาอิชิเตมัส’ ฉันรักคุณ … สำหรับผมทั้งโศกเศร้าและประทับใจ ไม่แพ้ตอนอวสานของละครที่ได้ดูในตอนกลางคืนในอีกไม่กี่ชั่วโมงถัดมาเลย

คำถามที่ผมเคยตั้งกระทู้ถามคนห้องเฉลิมไทยที่ว่า ‘[กระทู้คู่กรรม 18+] คิดว่า 'คืนวันเมาแล้วปล้ำ' พ่อโกโบบี้กับแม่หนูอังซัง 'ได้เสีย' กันเพียงครั้งเดียว ? ทำไมท้องได้อ่ะ ?‘ (ซึ่งแฝงว่า อังซังยินยอมพร้อมใจด้วยหรือไม่ ?) ผมได้รับคำตอบจากเรื่องนี้อย่างชัดเจน เพราะตอนเช้าหลังคืนนั้น อังซังพูดกับพ่อดอกมะลิ โดยบอกว่า ‘ฉันเจ็บใจตัวเอง’ (ที่คงจะต่อด้วยคำว่า ‘ที่ยอมเธอ’)


มาพูดถึงนักแสดงกันบ้าง  ณเดชน์ (โกโบริ) เล่นดีมากๆ  ผมว่าเขาดูมีมิติมากกว่าที่เล่นละครด้วยซ้ำไป (อาจเพราะช่วงเวลา 2 ชั่วโมงทำให้เราเห็นพัฒนาการของ 'โกโบริ' ได้อย่างชัดเจน)  แต่ผมไม่ได้รู้สึกว่า ณเดชน์เป็นคน ‘แบก’ หนังคู่กรรมไว้เพียงผู้เดียวแต่อย่างใด

ส่วนน้องริชชี่ (อังศุมาลิน) ทำให้ผมนึกถึงญาญ่า (ไม่ได้เปรียบเทียบความน่ารักหรือความเก่งในการแสดงนะครับ) เพราะเราส่วนใหญ่จะทราบว่าญาญ่าพูดไทยไม่ชัด และเสียงออกจะเนิร์ดๆ อยู่ (หา wording อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน จึงขอให้คำว่าเนิร์ด ไม่ได้จะด่าว่าน้องนะครับ) แต่พอน้องญ่าแสดงละครเรื่องใดก็ตาม เธอพูดภาษาไทยได้ถูกทั้งคำศัพท์และไวยากรณ์  คล่องแคล่ว และน้ำเสียงสม่ำเสมอเป็นธรรมชาติ  

ส่วนน้องริชชี่ตั้งแต่ดูเธอให้สัมภาษณ์ครั้งแรก เสียงเธอแง้วๆ พูดจาดูง้องแง้ง  ตอนนั้น มีบางคห.ดูถูกเธอซะด้วยซ้ำ (ผม post กระทู้ชวนพวกเราดูคุณไตรภพสัมภาษณ์นักแสดงและผู้กำกับในรายการ Tonight Show)  แต่ในหนัง เธอก็ทำให้ผมรู้ว่าผมคิดไม่ผิด เธอพูดจาได้คล่องแคล่ว และ น้ำเสียงสม่ำเสมอ การแสดงก็อยู่ในระดับที่ดีทีเดียว  

แน่นอนว่า นี่เป็นการเล่นหนัง/ละครครั้งแรก เป็นธรรมดาที่น้องริชชี่จะแสดงสู้น้องญ่าไม่ได้

อันนี้ต้องชมผู้กำกับด้วยที่ 'เทรน'/'กำกับ' น้องมาได้ขนาดนี้  แถมยังวางบทให้อังซังเป็นผู้หญิงที่ซับซ้อนได้แนบเนียนกว่าละครขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง

(ขอพูดถึงน้องญ่าสั้นๆ ว่า ประทับใจกับ ‘สาวน้อย’ ใน ‘มายาตวัน’ เมื่อคืนมาก เธอพัฒนาการเล่นได้ ‘ดีมากๆ’  น่ารัก น่าหมั่นไส้เป็นที่สุด   รวมถึง ‘นายตวัน’ ด้วย หนุ่มอั้มเล่นบทซึ้งหวนคิดคำนึง กลับไปกลับมากับ บทโกรธเกรี้ยว ได้เยี่ยม สมแล้วที่เป็นพระเอกคู่บุญของช่อง 3   ผมดูไปก็อินไปตลดดเวลา แม้จะไม่ได้เข้า ‘กระทู้รายงานสด’ หรือ ‘กระทู้ต่อเนื่อง’ ก็ตาม)

แต่คนที่ผมทึ่งที่สุด (และทึ่งตั้งแต่ตอนให้สัมภาษณ์ในรายการ Tonight Show แล้ว) คือ โบ้ท - นิธิศ วรายานนท์ (วนัส)  เขาออกมาไม่กี่ฉาก (ถ้าจำไม่ผิดแค่ 3 ฉาก) แต่แต่ละฉากที่เขาออกมา เขามี ‘พลัง’ เหนือกว่าทุกคนที่แสดงด้วยกันในฉากนั้นๆ  

สำหรับผม ผมถือว่าเขาคือวนัสที่ ‘เท่’ ที่สุดของคู่กรรมตั้งแต่ที่ผมเคยดูและจำความได้  และผมจะไม่แปลกใจเลย ถ้าเขาจะได้เข้าชิงดาราสมทบชายยอดเยี่ยมจากหลายๆ สำนักในต้นปีหน้า และน่าจะได้รางวัลไปอย่างสมเกียรติ สมฝีมือ ไปจากหลายๆสำนัก ทีเดียว


และที่จะไม่กล่าวถึงไม่ได้ คือฉากสงครามที่ทำได้สมจริงมาก แต่ละฉากลงทุนมหาศาล และสะท้อนความโหดร้ายของสงครามได้ลึกซึ้งจริงจังมากกว่าละครหรือภาพยนต์คู่กรรมเรื่องใดๆ ที่ผมเคยดูและจำความได้ (เช่นกัน)  
รวมถึงเพลงประกอบหนังและเพลง End Title ที่มีทั้งเพลงบรรเลงที่ไพเราะ และเพลงที่ณเดชน์และเพลงที่โบ้ทร้องได้เพราะและ 'ฟิน' เอามากๆ



สุดท้ายที่อยากจะบอกก็คือ ภาพยนต์คู่กรรมนี้ ผมไม่รู้ว่าเป็นหนังอาร์ทหรือเปล่า แต่หนังทำได้ลึกซึ้งกินใจ (ผม) มาก  และผมไม่เสียดายเงิน 200 บาทค่าดู รวมถึงค่าน้ำ,ค่าอาหาร,ค่าเดินทางที่ต้องจ่ายไปเลย (รวมแล้วไม่ต่ำกว่า 500 บาท) แม้แต่สตางค์แดงเดียว
มีแต่ความอิ่มเอิมใจ และเป็นหนังไทยเรื่องแรกในหลายปีที่ผ่านมาที่ผมดู End Title จนจบด้วยความเต็มใจ
… และแน่นอนว่า DVD Box Set ของภาพยนต์เรื่องนี้จะเป็น 1 ใน collections ของผมอย่างแน่นอน (รวมถึงภาพยนต์เรื่องพ่อมากพระโขนงด้วย)


ท้ายที่สุดและสุดท้ายจริงๆ ขอขอบคุณบริษัท เอ็ม๓๙, ผู้กำกับเรียว, เอ ศุภชัย, แบร์รี่, น้องริชชี่ และโบ้ท มาก ที่ทำภาพยนต์ไทยออกมาได้อย่างน่าประทับใจที่สุดในรอบ 4 เดือนของปี 2556  
(แน่นอนว่าหนังมีข้อบกพร่องหลายต่อหลายจุด แต่ผม ‘เลือก’ ที่จะไม่สนใจ และไม่พูดถึงมัน เพราะข้อดีของหนังสำหรับผมมีมากจนสามารถมองข้ามข้อบกพร่องดังกล่าวได้)
(ส่วนพ่อมากพระโขนงเป็นภาพยนต์ไทยที่ 'ตลก' ที่สุดในรอบ 4 เดือนของปี 2556)


ชอบคุณท่านใดก็ตามที่อุตส่าห์อ่านผม ‘พร่ำเพ้อ’ จนจบมากๆ ครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 10
ชอบเหมือนกัน ดีใจด้วยที่มีคนโพสกระทู้บอกว่าชอบ

ถ้าเทียบกับละคร  เราว่าหนังสมจริงกว่าเยอะ  ละครค่อนข้างจะเป็นพ่อแง่ยิ้มอน  แต่ในหนังอังสุมาลินจะเป็นคนเด็กเดี่ยวเข็มแข็งและเก็ดกด  ตัวละครวางออกมาได้สมกับเด็กผู้หญิงที่ต้องแบกรับภาระต่างๆในสมัยสงครามได้ดีจริงๆ

หลายฉากยังชอบมาก  ส่วนฉากปล้ำ อยากดูแล้วดูอีก เพราะดูแล้วมันเศร้านะเราว่า   มันเหมือนเป็นผู้ชายที่กำลังขอความรักจากผู็หญิงอยู่มากกว่า ไม่เหมือนใช้กำลังปล้ำ   ในละครจะออกแนวแมาและใช้กำลังมากกว่า

ที่กลัวอีกตอนไม่รู้เป็นเหมืนกันรึเปล่า  ก็คือตอนที่สองคนเริ่มทะเลาะกันเพราะเรื่องวนัส  โกโบริมีขึ้นเสียงบ้าง  แต่เพราะเห็นพ่อโกอ่อนโยนมาตลอด เจอขึ้นเสียง ดูน่ากลัวเหมือนกัน โกโบริทั้งเจ็บปวดที่ต้องช่้วยคนรักและทรยศชาติ  เราว่าหนังสื่อความรู้สึกนี้ออกมาได้ดีมากๆค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่