การมาเยือนเขาค้อในครั้งนี้ มีโอกาสได้เข้าพักรีสอร์ทแห่งใหม่ในเครือ “บลูสกาย” ชื่อรีสอร์ทที่คุ้นหูใครหลายคนเป็นอย่างดี แต่หนนี้บลูสกายรีสอร์ทไม่ได้ตั้งอยู่ริมทะเลอย่างที่เคย ทำเลใหม่บนที่โล่งกว้างท่ามกลางขุนเขา สามารถมองเห็น “ผาซ่อนแก้ว” ทอดยาว เป็นจุดเด่นของ “บลูสกาย แอท เขาค้อ” (BlueSky @ Khao Kho) นี่เอง

BlueSky @ Khao Kho เพิ่งเปิดให้บริการเมื่อกลางเดือนมกราคม 2556 ซึ่งนักเที่ยวหลายคนก็คงจะรับรู้การเปิดตัวนี้แล้ว ตั้งแต่ในงานเทศกาลท่องเที่ยวเมื่อต้นปีที่ผ่านมา แม้ที่นี่จะเพิ่งเปิดตัวไม่นานนักแต่เชื่อว่าด้วยชื่อของบลูสกาย และคอนเซ็ปต์ของรีสอร์ทแห่งนี้จะสามารถเป็นที่นิยมได้ในเวลาไม่นานเกินรอ

ภาพรีสอร์ทมุมสูงนี้ได้จากจุดชมวิวด้านบนของรีสอร์ท ซึ่งในชั่วโมงแรกที่มาถึงได้รับทราบจากเจ้าหน้าที่รีสอร์ทว่าสามารถเดินขึ้นไปด้านบนเนินอันเป็นจุดชมวิวของรีสอร์ทได้ หากแต่ชาวคณะต่างแยกย้ายกันเข้าห้องพักแล้ว จึงตัดสินใจขอเดินขึ้นไปเก็บภาพซักสองสามช็อตก่อนเช็คอินตามคนอื่นไป นับว่าโชคดีไม่น้อยที่ได้ขึ้นมาในเวลานั้น เพราะท้ายที่สุดแล้วก็ไม่มีโอกาสได้ขึ้นไปบนเนินนั้นอีกเลย จากที่ตั้งใจกันไว้ว่าจะขึ้นไปเก็บภาพพระอาทิตย์ตกยามเย็นกัน

ท่ามกลางบรรยากาศเนินเขารายรอบ BlueSky @ Khao Kho เลือกที่จะสรรค์สร้างรีสอร์ทภายใต้แนวคิด English Country ซึ่งเข้ากันได้เป็นอย่างดี และยังถือเป็นรีสอร์ทรูปแบบบ้านชนบทสไตล์อังกฤษแห่งแรกบนเขาค้ออีกด้วย

น่าเสียดายที่ท้องฟ้าตลอด 2-3 วัน บนเขาค้อนี้ ค่อนข้างขมุกขมัว เป็นอุปสรรคต่อการเก็บภาพพอสมควร โดยเฉพาะกับช่างภาพไม่มืออาชีพอย่างเจ้าของกระทู้

อาคารต้อนรับขนาดกะทัดรัด ซึ่งแลดูอาจจะคับแคบไปสักหน่อยหากอยู่ในช่วงเทศกาลท่องเที่ยวที่ผู้คนแห่แหนกันมาเข้าพัก

ว่าแล้วก็ก้าวเท้าขึ้นอาคารไปเช็คอินกัน..

ภายในอาคารแบ่งออกเป็นสองส่วน คือ โซน Lobby และโซน Souvenir Shop

เคาน์เตอร์รีเซ็ปต์ชั่น ภายในโซน Lobby

ในโซน Souvenir Shop มีจำหน่ายของขึ้นชื่อเมืองเพชรบูรณ์จำพวกผลไม้กวน อย่างเช่น มะขามกวน และสินค้าเด่นอีกอย่างของเพชรบูรณ์ นั่นคือ ข้าวสาร แต่ไม่ทันได้สังเกตว่าใช่ “ข้าวลืมผัว” ของดีเมืองเพชรบูรณ์หรือไม่   ข้าวลืมผัวเป็นพันธุ์ข้าวสีดำของชาวเขาเผ่าม๊ง และเหตุที่ได้ชื่อว่าข้าวลืมผัว ก็เพราะว่าแม่บ้านชาวม๊งนางหนึ่งหุงข้าวไว้รอสามี แต่ด้วยความหิวและความนุ่มอร่อยของข้าว นางจึงเผลอทานข้าวจนหมดไม่เหลือให้สามีนั่นเอง

พวงกุญแจตุ๊กตาหมี ส่วนหนึ่งของบรรดาสินค้าที่ระลึก

และที่นี่ยังจำหน่ายพร็อพเก๋ๆ จำพวกผ้าพันคอ, หมวก, ถุงมือไหมพรม ไว้ให้สาวๆ ที่ไม่ได้ตระเตรียมมา ไม่ต้องกลัวว่าจะขาดสีสันเวลาถ่ายภาพ

รวมทั้งมีของประดับตกแต่งบ้านสไตล์คันทรี่ให้ได้เลือกช็อปกัน

โซฟาพักผ่อนในโซน Souvenir Shop

มองย้อนกลับไป จะเป็นโซน Lobby ซึ่งกั้นห้องระหว่างกันไว้ด้วยบานหน้าต่างเท่านั้น

การตกแต่งและจัดวางถือว่าลงตัวไม่น้อยสำหรับพื้นที่ใช้สอยที่ค่อนข้างจำกัดเช่นนี้

สำรวจพื้นที่อาคารต้อนรับเสร็จสรรพ ก็ถึงเวลายกกระเป๋าเข้าห้องพักเสียที ป่านนี้ผู้ร่วมทริปคนอื่นๆ คงจะนอนพักผ่อนกันสบายแล้ว

ก่อนออกจากอาคาร ขอถ่ายภาพปฏิทินไว้ช่วยจำว่าได้มาเยือน BlueSky @ Khao Kho แห่งนี้เมื่อไร

ภายในห้องพักที่พวกเราได้พักผ่อนสำหรับทริปนี้ เป็นห้อง Deluxe ซึ่งถูกตกแต่งในสไตล์ Country Lover โดยบลูสกายยังคงคอนเซ็ปต์อย่างหนึ่งไว้เป็นอย่างดี ก็คือหมอนน้อยใหญ่มากมายทั่วทั้งรีสอร์ทไม่เพียงแค่ในห้องนอนเท่านั้น

ตู้เสื้อผ้าที่สามารถเปิดบานประตูได้จากฝั่งห้องนอน และยังสามารถเปิดม่านได้จากในห้องน้ำ เป็นไอเดียประหยัดพื้นที่ใช้สอยที่น่าสนใจ

รายการ Complimentary และ Minibar .. (เจ้าของกระทู้อยากให้โชว์ราคาหมอนหนุนใบใหญ่บนเตียงนอนมากๆ เพราะนอนแล้วสบายจนอยากหิ้วกลับบ้าน)

ส่วนตัวแล้ว ไอเท็มตกแต่งห้องที่โดนใจที่สุดคงจะเป็นโทรศัพท์เครื่องนี้ เพราะทั่วไปที่พบเห็นแม้รูปร่างจะเป็นโทรศัพท์แบบโบราณ แต่หมายเลขก็เป็นแบบปุ่มกดกันซะส่วนใหญ่ ส่วนที่นี่เป็นระบบมือหมุน เสียงดังแกร๊กกกก ถูกใจเหมือนได้ย้อนไปวัยเด็กอีกหน

ชุดโต๊ะกาแฟ นั่งรับแสงแดดอ่อนๆ ยามเช้าที่นอกชานเพลินๆ  แต่ช่วงอากาศร้อนเช่นนี้อาจจะนั่งไม่ได้นานนัก สายหน่อยอากาศเริ่มร้อนพอตัว หากเป็นช่วงอากาศหนาวเย็นคงจะดีไม่น้อย

พวกเราได้มีโอกาสไปชมห้องพักอีกแบบหนึ่งของรีสอร์ท ห้อง Suite ซึ่งถูกตกแต่งในรูปแบบที่เรียกว่า Diva Blossom เน้นโทนสีเหลืองอ่อนหวาน

โดยห้อง Suite ทั้งหมดนั้นอยู่บนชั้นสองของอาคาร ทำให้มีพื้นที่ห้องใต้หลังคา สำหรับ Twin bed อีกชุดหนึ่ง ฉะนั้นห้อง Suite ทั้งหมดจะสามารถเข้าพักได้ถึง 4 คน

สะดึงปักผ้าธรรมดาก็สามารถนำมาประยุกต์ตกแต่งได้ไม่ธรรมดา

มุมโซฟาไว้เอกเขนกเอนกายผ่อนคลายกับกองหมอนใบโต

ชุดโต๊ะกาแฟนอกชานที่แลดูอ่อนหวานกว่าห้อง Deluxe สักนิด

พักผ่อนกันพอหายร้อน จวนถึงเวลาสำหรับ Afternoon Tea ฉะนั้นเราจะมุ่งหน้าไปที่ห้องอาหารของรีสอร์ทแห่งนี้กัน

ห้องอาหารมีลักษณะเป็นโถงสูง ทาด้วยสีเทาขาว

ป้าย Chef Recommended Menus กับตู้ Home-made Bakery

ที่เคาน์เตอร์มีป้ายบอกรายการเครื่องดื่มร้อน-เย็น ได้ยินว่าโกโก้ที่นี่อร่อยเข้มข้น แต่ไม่ได้ลิ้มลองด้วยตัวเองเลยไม่สามารถการันตีได้ ใครอยากรู้ว่าหอมอร่อยแค่ไหนคงต้องลองมาพิสูจน์

นอกจากโถงโปร่งสูงแล้ว การใช้โต๊ะไม้ และกำแพงโชว์แนวเรียงอิฐทาสีขาว ให้กลิ่นอายความเป็นชนบทสไตล์อังกฤษเป็นอย่างดี

เก็บภาพไปบางครั้งก็แอบรู้สึกว่า เสาสูงๆ เหล่านี้ก็ทำให้หงุดหงิดเล็กๆ เพราะต้องขยับหลบหลีกหามุมกล้องให้เข้าที่

แอบชอบโต๊ะอาหารชุดนี้เป็นการส่วนตัว

ชำเลืองไปเห็นบันไดทางขึ้นชั้นบน เลยขออนุญาตขึ้นไปเก็บภาพมุมบนสักหน่อย

แม้แต่ในห้องอาหารก็ยังเต็มไปด้วยหมอนมากมาย จนเกิดคำถามในใจว่ารีสอร์ทในเครือบลูสกายแต่ละแห่งมีหมอนทั้งหมดจำนวนกี่ใบ? เอาแค่คร่าวๆ ว่าห้องนอนหนึ่งห้องมี 12 ใบ เฉลี่ยห้องพัก 30 ห้อง ก็เท่ากับ 360 ใบแล้ว นี่ยังไม่รวมถึงหมอนในห้องอาหาร และที่วางอยู่ตามจุดต่างๆ ทั่วทั้งรีสอร์ทแต่ละแห่ง ห้องพักไม่กี่ห้องแต่มีจำนวนหมอนมากมายเท่ากับโรงแรมที่มีเกือบร้อยห้องเลยทีเดียว (ว้าวว!)

ภาพจากมุมบน จะได้มองเห็นกันอย่างทั่วถึง

มุมด้านบนจากอีกฟากหนึ่ง

ที่ BlueSky @ Khao Kho มีห้องประชุมไว้รองรับหน่วยงานที่สนใจจะเปลี่ยนบรรยากาศการสัมมนามาหารือกันบนเขาค้อด้วย ซึ่งสามารถรองรับได้สัก 20 ท่านโดยประมาณ

ออกมาด้านนอกอาคาร ยังมีที่นั่งรับประทานอาหารรับลมเย็นสบายๆ

บนเขาค้อนี้อากาศดีมากจริงๆ แม้จะอยู่ท่ามกลางเดือนเมษายน ซึ่งคงไม่โกหกว่าในเวลากลางวันนั้นร้อนพอสมควร แต่ช่วงเวลาที่อากาศร้อนอบอ้าวนั้นค่อนข้างสั้น เนื่องจากช่วงเช้าถึงสาย และตกเย็นจนถึงค่ำ อากาศจะเย็นจนถึงขั้นหนาวได้  โดยเฉพาะกลางดึก

มองออกไปจะเห็นป้ายตัวอักษร Bluesky สีขาวอยู่บนเนินด้านหน้า เสียดายแต่ว่าลานพื้นที่โล่งนั้น ในช่วงฤดูแล้งไม่ได้มีการเพาะปลูก จึงทำให้เห็นผืนดินแลดูแห้งแล้ง แต่เมื่อเข้าฤดูเพาะปลูกก็คงจะกลายเป็นทุ่งเกษตรกรรมเขียวขจีให้ความสดชื่นสบายตา

มื้อค่ำพวกเรานั่งรับประทานอาหารกันที่ระเบียงด้านนอกนี้ ซึ่งอย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่าอากาศค่อนข้างเย็นมากเลยทีเดียว

หากมีโอกาสได้จัดปาร์ตี้ยามค่ำคืน ณ ที่แห่งนี้คงจะดีไม่น้อย

มัวแต่เก็บภาพจนเพลิน รีบตามชาวคณะไปลิ้มลอง Afternoon Tea กันดีกว่า