สวัสดีจ้า วันนี้มีบทความมาฝาก หลายคนอาจลืมเด็กคนนี้ไปแล้ว T^T
วันนี้เค้ามีซิงเกิ้ลใหม่มาแล้ว เลยคิดได้ว่า มันทำให้เราได้ระลึกอะไรหลายๆอย่าง เลยลองเขียนบทความนี้มาฝากจ้า ^^
บทความนี้เกิดจากการติดตาม Jay Park มาอย่างต่อเนื่อง และ ฟังเพลงตามความรู้สึก เพราะฉะนั้นแล้ว อาจไม่ได้ลงลึกไปถึงรายละเอียดเกี่ยวกับเทคนิคทางดนตรีอะไรนัก เป็น “การแสดงความเห็นส่วนตัว” หากทำให้เกิดความไม่พอใจ ขออภัยมา ณ ทีนี้ …
ไม่รู้ว่าถือเป็นความโชคดี หรือ โชคร้ายของ Jay Park กันแน่
กับการออกจากวงบอยแบนด์อันดับ 1 ในช่วงที่วงกำลังรุ่งสุดขีด
ด้วยปัญหา ความประพฤติที่ไม่เหมาะสม
Jay Park ต้องประกาศลาออกจากวงมา ทั้งที่เขามีฐานะเป็นหัวหน้าวงในตอนนั้น
แต่มันก็ผ่านมานานเหลือเกินแล้วในความทรงจำ
ทั้งอดีตต้นสังกัด อดีตเพื่อนร่วมวง ล้วนแล้วแต่เป็นเพียงความทรงจำ
แต่ละคนก็ต้องก้าวต่อไปข้างหน้า
แน่นอนว่า มันอาจเป็น ความโชคร้าย
เพราะกว่าที่เขาจะกลับมาเข้าวงการเพลงเกาหลีได้อีกครั้ง ใช้เวลา่เกือบ 2 ปี
และเขาได้สูญเสีย โอกาสไปมากมาย ทั้งโอกาสที่จะโด่งดังในฐานะบอยแบนด์แห่งยุค
หรือ ความสะดวกสบายในการทำงานในหลายๆแขนง ที่ได้จากการเป็น “ศิลปินไอดอล”
แต่เมื่อเรามามองการใช้ชีวิตในวงการ Jay Park ณ ปัจจุบันแล้ว
ดูเหมือนว่า เขากลับมีความสุขกว่าการใช้ชีวิตแบบ “ไอดอล” อย่างที่เขาเคยเป็น มาก
ความสุขที่เราเห็นได้ชัดเจน ไม่ได้มาจาก รอยยิ้ม ที่แตะแต้มใบหน้าเขาตลอดเวลา
แบบในคลิปวิดิโอเบื้องหลังที่เขาถ่ายเล่นกับเพื่อนๆ เพียงเท่านั้น
แต่มันเด่นชัดใน “งานเพลง”
ขอข้ามเรื่อง ความแรงของเพลง Count On Me หรือ การ Cover เพลง Nothin On You ของ B.o.B ไป
เพราัะอันที่จริงแล้ว มันดูเหมือนความกระหายของค่าย
มากกว่าความ “วอนนาบี” ส่วนตัวของศิลปิน
ขอเริ่มจากเพลงแรก ที่ เจย์แนะำนำตัวเอง ในฐานะนักแต่งเพลง
“Bestie”
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
VIDEO
ปัจจุบัน เพลงนี้ยังเป็นเพลงที่ชอบที่สุด ตั้งแต่เจย์ร้องเพลงในฐานะ ศิลปินเดี่ยว มา
เพราะเพลงนี้ดู จริงใจ น่ารัก ธรรมดา วัยรุ่น และ ไร้แรงกดดัน ไม่คำนึงถึงภาพลักษณ์ อย่างชัดเจน
ความรู้สึกส่วนตัวสำหรับ มินิอัลบั้มแรก ในฐานะศิลปินเดียว อย่าง TAKE A DEEPER LOOK
“ต้องมองให้ลึกกว่านั้น”
เป็นเหมือนคำประกาศ ทำหรับคนที่เกลียดชังเขา
ก่อนออกอัลบั้มนี้ เจย์ เองก็ยังคงเจอโจมตีจากแอนตี้แฟนอยู่อย่างต่อเนื่อง
ไม่พ้นประเด็นเดิม คือ ปัญหากับอดีตต้นสังกัดและเพื่อนร่วมวง ที่ยังไม่ได้แก้ไขอย่างชัดเจน
แต่ดูเหมือน เรื่องราวก็ไม่ได้เริ่มจากทั้ง 2 ฝั่ง
แต่เริ่มจากการจุดประเด็นจากแฟนๆเอง
แม้ “วัฒนธรรมชาวเน็ต” ในเกาหลี
จะเป็น กระแสที่ส่งผลกระทบกับผู้คนในวงการเสมอ
แต่ดูเหมือนมันไม่ได้ส่งผลกับเจย์รุนแรง แบบที่เคยเป็นสมัยที่เขายังเป็นเพียง “ไอดอลหัวหน้าวง”
วันนี้เขาแข็งแรงกว่าเดิมมาก
TAKE A DEEPER LOOK
TADL คือ มินิอัลบั้มแรกของ Jay Park ในฐานะศิลปินเดี่ยว ที่แฟนๆรอคอยและเป็นที่จับตามอง
นั่นเพราะ เขาทั้งแต่ง/ทั้งร้อง เพลงในอัลบั้มเอง
คนที่มีดีแค่เต้น จะไปได้สักกี่น้ำ?
สมัยที่เขายังอยู่ในวงบอยแบนด์ แม้จะได้รับตำแหน่งหัวหน้าวง แต่โดยเนื้อเสียงแล้วก็ไม่ได้โดดเด่นอะไรนัก
ด้วยเพราะ เจย์มีคีย์เสียงที่แหลมเล็ก จึงค่อนข้างไม่เหมาะกับการร้องเพลงที่ใช้พลัง ซึ่งเป็นแกนเสียงหลักของเพลง
บวกกับความชอบส่วนตัว เขาจึงได้รับหน้าที่ในการร้องท่อนแรพหลักของเพลงแทน
พอเขาคิดกลับมาในฐานะ “นักร้อง” อีกครั้ง หลายคนก็ปรามาสว่า คนที่ร้องแค่ท่อนแรพอย่างเดียวจะไปทำอะไรได้ …
ก็แรพน่ะสิ ถามได้…
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ VIDEO
สำหรับมินิอัลบั้มแรก นั้นค่อนข้างจะทำให้เราผิดหวังอยู่นิดหน่อยตรงที่ ยังคงพูดเรื่องรัก เพลงยังคงมีความป๊อปอยู่มาก ซึ่งผิดกับสไตล์ที่เราคิดไว้ก่อนที่เขาจะออกอัลบั้ม แต่มันก็ดีในแง่ของการ “Comeback” เพราะนอกจากเพลงจะพูดเรื่องรักแบบ Poppy Love แบบเพลงป๊อปเกาหลีทั่วไป ยังมีเพลงแรพที่เสมือนการแนะนำตัว/สิ่งที่เขาได้พบเจอมาอยู่ด้วย ในแง่ของการเปิดตัว และ เรียกฐานแฟนๆเก่าๆกลับมา ถือว่าทำได้ไม่เลว เพราะ สไตล์ของเจย์ก็ไม่ได้เปลี่ยนไปจากเราเคยเห็นเท่าไรนัก เขายังคงน่ารัก ทะเล้น เหมือนเดิม
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
VIDEO
นั่นอาจเป็นความตั้งใจของเจย์ ด้วยเช่นกัน
เพราะต่อมาใน New Breed ดูเหมือนเจย์จะไม่แคร์อะไรอีกต่อไปแล้ว ทั้งแนวเพลง ทั้งเรืองที่อยากเล่า เรื่องที่อยากเขียน ดูผิดจาก “ไอดอลเกาหลี” คนเดิมไปมาก ทั้งการดึงตัวบรรดาศิลปินแรพใต้ดินหลายๆคนมาร่วมงาน และ มีเพลงเชิงทดลองหลายๆแนวในอัลบั้ม บวกกับความประพฤติก่อนหน้า ที่เจย์ไปสักตามร่างกายมาเป็นจำนวนมาก และความเถื่อน หยาบคาย แบบอเมริกันสไตล์ ที่ไม่ค่อยเหมาะสมนักในบางโอกาส ทำให้แฟนๆกลุ่มเดิม เริ่มลังเลในการสนับสนุนเขาต่อ เพราะ
“เขาเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ”
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ VIDEO
VIDEO
หรืออันที่จริง สิ่งที่เราได้เห็นในฐานะ “ไอดอลเกาหลี” อาจเป็นภาพลวงตาก็ได้
แต่ความเถื่อนของเจย์ ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่า การพูดคุยกับเพื่อนบนทวิตเตอร์ด้วยศัพท์แสลง แบบฮิปฮอปอเมริกัน ที่ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่เขาคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็กๆ (โตมาพร้อมเพื่อนแม็กซิกันและเต้นบีบอย) เพราะหากดูจากผลงานและการทำงานของเขาจริงๆ เจย์เข้าขั้นเป็นเด็กที่สุภาพเรียบร้อยเลยทีเดียว
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ VIDEO
ใน New Breed เราได้เห็นการเขียนเพลงเกี่ยวกับ Sex ที่ดูเหมือนเจย์พยายามเขียนมันอย่างมาก ไม่ว่ามันจะมาจากประสบการณ์จริงๆหรือไม่ แต่ส่วนตัวแล้ว กลับคิดว่า เจย์ยังเขียนเพลงแนวนี้ได้ไม่ดีนัก เพราะมันฟังออกมาไม่เซกซี่ แบบที่ควรเป็น หรือมันดูไม่จริงใจและมีอินเนอร์ แบบตอนเขาเขียนเพลงรัก
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ VIDEO
VIDEO
เราลองนึกถึงเพลงของ Chris Brown (ที่เป็นเหมือนไอดอลของเจย์) กับการร้องเพลง Take you Down ที่ในเครดิต ก็มีชื่อของคริส บราวน์เป็นผู้แต่งด้วย ซึ่งคริสไม่ได้เขียนเพลง ที่มีฉากร่วมรักชัดเจนนัก (ผลักเธอล้มลง ร่างกายเสียดสี อย่าหยุดที่รัก!) แต่ด้วยดนตรี และ อารมณ์ของเพลง รวมถึงท่าเต้น นั้นช่วยเหลือเราไว้มาก จนเพลงนี้เป็นหนึ่งในเพลงที่ เซกซี่ บรรลัย ขณะที่เจย์เขียนเนื้อเพลงที่มีเนื้อหาโจ๋งครึ่มกว่าด้วยซ้ำ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ VIDEO
ถามว่าจำเป็นต้องเทียบ เจย์ กับ คริส บราวน์มั้ย ไม่จำเป็น แต่เรากำลังพูดถึงการเขียนเพลงเกี่ยวกับ Sex ที่เรามองว่า เจย์ยังทำใด้ไม่ถึง แบบที่เขาต้องการ และถามว่ามันแย่ขนาดไหน มันไม่แ่ย่ แต่เป็น Nice Try.
จนกระทั่งมาถึง Fresh Air : Breath it นี่อยากปรบมือให้ดังๆ
เพราะเจย์ดูจริงใจกับมันมาก ตามใจกับมันมาก และ ไม่กั๊กครึ่งๆกลางๆแบบที่เคยทำกับ 2 อัลบั้มแรก
แต่เพราะ นี่อาจเป็น Mixtape ด้วย ทำให้เขาใส่ตัวเองลงมาได้เต็มที่
Mixtape คือ วัฒนธรรมหนึ่งในวงการเพลง ฮิปฮอป คือการทำ Freestyle music อัดลงเทป (หรือลงแผ่น CD)แล้วแจกจ่ายแฟนๆ ในกรณีที่ อยากทำ จริงๆ ไม่ได้สนใจเรื่องคอนเซปหรือแนวทางอะไรนัก ซึ่งกรณีนี้ บางคนอาจ นำเพลง cover มาทำด้วยซ้ำ (ใช้ทำนองเพลงคนอื่น แต่ใส่เนื้อเพลงเราเข้าไปแทน) ในวงการเพลงฮิปฮอปถือว่าไม่ใช่การลอกเลียน แต่เป็นวัฒนธรรม mixtape เท่านั้น ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ VIDEO
ซึ่งใน Fresh Air : Breath It นั้นถือว่าเจ๋งพอตัวเลย เพราะเจย์ตามใจตัวเอง และ ไร้คอนเซปต์มาก ไม่ว่าจะเป็นการเขียนเพลงวางก้าม อย่างยโสโอหัง (ตามสไตล์นักร้องฮิปฮอป)ใน Willam Hung หรือ การเขียนเพลงเกี่ยวกับ Sex และผู้หญิง ก็พัฒนาขึ้นไปกว่าแค่ ฉากรัก เร่าร้อน บนเตียง แต่เริ่มพูดถึง ความรักแบบจริงๆจังๆ ที่ Sex อาจเป็นสิ่งสำคัญ แต่มันก็ไม่ใช่อันดับ 1 แบบใน Hopeless Love ซึ่งเป็นเพลงที่ดีที่สุดในอัลบั้ม (และเหมือนนักวิจารณ์ทางดนตรีอื่นๆก็ให้ความเห็นแบบเดียวกัน)
Hopeless Love เป็นเพลงที่อยู่ตรงกลางระหว่างความแข็งกร้าวแบบผู้ชาย และ ความอ่อนแอที่เกิดจากความรัก
ว่ากันว่า เพลงนี้คือ Harcore Version ของ Bad Boy – Big Bang หากจะเทียบง่ายๆกับวงการ K-Pop
เพลงนี้ก็เป็นอีกเพลงที่เราชอบมาก จนถึงขั้นทำ MV ให้
VIDEO
และอัลบั้มนี้เองก็ทำให้เราเห็นว่า เจย์ค่อนข้างมีความสุขกับการทำเพลงด้วยตัวเองอย่างมาก จากพัฒนการของเนื้อเพลงที่เขียน ที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ มากกว่ากว่า บน ก่น ด่า คนอื่นไปเรื่อย หรือ การลงไปต่อล้อต่อเถียงกับเหล่า Hater ซึ่งดูจะไม่มีประโยชน์อะไร เจย์เริ่มใช้การเสียดสีแทนการด่าระบุตรงๆ ที่ทำให้เพลงดูกว้างขวางกว่าเดิม และการทำให้ Fresh Air : Breath it เป็นเหมือน บทกลอน แม้จะตามใจตัวเองขนาดไหนแต่เพลงก็เรียงร้อยกันหมดทุกเพลง แบบที่ทำให้เราต้องมาตั้งคำถามว่า นี่เป็นความจงใจหรือความบังเอิญ ที่เนื้อเพลงของเขาเหมือนกลอน มากกว่า การบ่น ก่น ด่า แบบที่เคยทำมา
(เจย์เขียนเพลงครอบคลุมเรื่องราวในสังคมที่ทำให้คนเข้าถึงมากกว่า การบ่นเรื่องตัวเอง)
และ ล่าสุดกับ JOAH มันเป็นเพลงรักธรรมดาเพลงหนึ่ง แต่มันกลับโดนใจมาก เพราะเหมือนเจย์จะกลับไปเป็นเด็กคนเดิมแบบที่เคยเขียนเพลง Bestie
ฉันชอบเธอมาก ภาวนาให้ได้อยู่กับเธอทุกคืนวัน ชอบเธอมาก ชอบทุกอย่างที่เป็นเธอ
VIDEO
จากความก้าวร้าวผ่านบทเพลง ที่เราเห็นในอัลบั้มที่ผ่านมาๆทำให้เรารู้สึกว่า เจย์เองก็มีด้านที่อยากปลดปล่อย อยากเล่าให้ฟัง แต่เหนืออื่นใด เขาก็เป็นผู้ชายธรรมดา ที่เขียนเพลงรักง่ายๆ แต่มันกลับดูมีพลังมากกว่าการเขียนเพลงที่เต็มไปด้วย ฉากรัก หรือ การกอดจูบ แบบที่เขาเคยพยายาม (อย่างน้อยก็กับเราคนนึงหล่ะ)
ความชอบ ที่ ออกมาจาก JOAH ทำให้ มันมีมากขนาดที่ว่า เรารับรู้ได้ถึงความสุข และ เผลอๆอาจจะสามารถมองเห็นรอยยิ้มของคนแต่งเพลงขณะที่เขากำลังเขียนเพลงอยู่ ได้เลยทีเดียว
นี่ทำให้เรารู้สึกว่า การเขียนเพลงแต่ละครั้ง เขาพยายามกับมันมากจริงๆ ไม่ว่าเพลงๆนั้นจะถูกใจหรือไม่
จะเป็น Nice Try หรือ Good Job ขึ้นอยู่กับคนฟัง แต่เจย์ได้ Do The Best สำหรับตัวเองออกมาแล้ว
จนถึงวันนี้ ตั้งแต่ได้รู้จักเจย์ และ ฟังเพลงของเขามา
เราก็พึ่งมาได้ระลึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมา หลังจากฟัง JOAH
ทุกๆอย่างในในชีวิตถ้าชอบ เขาจะทำ ไม่ว่าคุณจะชอบหรือไม่ก็ตาม
#JOAH
VIDEO
credit : Website
http://www.heisjaypark.com
https://www.facebook.com/JwalkerzThailand
Contact me
twitter :
http://twitter.com/alfredpoprock
fb :
http://facebook.com/poprockonfilm
blog :
http://jaypop.exteen.com
[JAY PARK] #JOAH เมื่อผมชอบ ผมจะทำ
สวัสดีจ้า วันนี้มีบทความมาฝาก หลายคนอาจลืมเด็กคนนี้ไปแล้ว T^T
วันนี้เค้ามีซิงเกิ้ลใหม่มาแล้ว เลยคิดได้ว่า มันทำให้เราได้ระลึกอะไรหลายๆอย่าง เลยลองเขียนบทความนี้มาฝากจ้า ^^
บทความนี้เกิดจากการติดตาม Jay Park มาอย่างต่อเนื่อง และ ฟังเพลงตามความรู้สึก เพราะฉะนั้นแล้ว อาจไม่ได้ลงลึกไปถึงรายละเอียดเกี่ยวกับเทคนิคทางดนตรีอะไรนัก เป็น “การแสดงความเห็นส่วนตัว” หากทำให้เกิดความไม่พอใจ ขออภัยมา ณ ทีนี้ …
ไม่รู้ว่าถือเป็นความโชคดี หรือ โชคร้ายของ Jay Park กันแน่
กับการออกจากวงบอยแบนด์อันดับ 1 ในช่วงที่วงกำลังรุ่งสุดขีด
ด้วยปัญหา ความประพฤติที่ไม่เหมาะสม
Jay Park ต้องประกาศลาออกจากวงมา ทั้งที่เขามีฐานะเป็นหัวหน้าวงในตอนนั้น
แต่มันก็ผ่านมานานเหลือเกินแล้วในความทรงจำ
ทั้งอดีตต้นสังกัด อดีตเพื่อนร่วมวง ล้วนแล้วแต่เป็นเพียงความทรงจำ
แต่ละคนก็ต้องก้าวต่อไปข้างหน้า
แน่นอนว่า มันอาจเป็น ความโชคร้าย
เพราะกว่าที่เขาจะกลับมาเข้าวงการเพลงเกาหลีได้อีกครั้ง ใช้เวลา่เกือบ 2 ปี
และเขาได้สูญเสีย โอกาสไปมากมาย ทั้งโอกาสที่จะโด่งดังในฐานะบอยแบนด์แห่งยุค
หรือ ความสะดวกสบายในการทำงานในหลายๆแขนง ที่ได้จากการเป็น “ศิลปินไอดอล”
แต่เมื่อเรามามองการใช้ชีวิตในวงการ Jay Park ณ ปัจจุบันแล้ว
ดูเหมือนว่า เขากลับมีความสุขกว่าการใช้ชีวิตแบบ “ไอดอล” อย่างที่เขาเคยเป็น มาก
ความสุขที่เราเห็นได้ชัดเจน ไม่ได้มาจาก รอยยิ้ม ที่แตะแต้มใบหน้าเขาตลอดเวลา
แบบในคลิปวิดิโอเบื้องหลังที่เขาถ่ายเล่นกับเพื่อนๆ เพียงเท่านั้น
แต่มันเด่นชัดใน “งานเพลง”
ขอข้ามเรื่อง ความแรงของเพลง Count On Me หรือ การ Cover เพลง Nothin On You ของ B.o.B ไป
เพราัะอันที่จริงแล้ว มันดูเหมือนความกระหายของค่าย
มากกว่าความ “วอนนาบี” ส่วนตัวของศิลปิน
ขอเริ่มจากเพลงแรก ที่ เจย์แนะำนำตัวเอง ในฐานะนักแต่งเพลง
“Bestie”
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ปัจจุบัน เพลงนี้ยังเป็นเพลงที่ชอบที่สุด ตั้งแต่เจย์ร้องเพลงในฐานะ ศิลปินเดี่ยว มา
เพราะเพลงนี้ดู จริงใจ น่ารัก ธรรมดา วัยรุ่น และ ไร้แรงกดดัน ไม่คำนึงถึงภาพลักษณ์ อย่างชัดเจน
ความรู้สึกส่วนตัวสำหรับ มินิอัลบั้มแรก ในฐานะศิลปินเดียว อย่าง TAKE A DEEPER LOOK
“ต้องมองให้ลึกกว่านั้น”
เป็นเหมือนคำประกาศ ทำหรับคนที่เกลียดชังเขา
ก่อนออกอัลบั้มนี้ เจย์ เองก็ยังคงเจอโจมตีจากแอนตี้แฟนอยู่อย่างต่อเนื่อง
ไม่พ้นประเด็นเดิม คือ ปัญหากับอดีตต้นสังกัดและเพื่อนร่วมวง ที่ยังไม่ได้แก้ไขอย่างชัดเจน
แต่ดูเหมือน เรื่องราวก็ไม่ได้เริ่มจากทั้ง 2 ฝั่ง
แต่เริ่มจากการจุดประเด็นจากแฟนๆเอง
แม้ “วัฒนธรรมชาวเน็ต” ในเกาหลี
จะเป็น กระแสที่ส่งผลกระทบกับผู้คนในวงการเสมอ
แต่ดูเหมือนมันไม่ได้ส่งผลกับเจย์รุนแรง แบบที่เคยเป็นสมัยที่เขายังเป็นเพียง “ไอดอลหัวหน้าวง”
วันนี้เขาแข็งแรงกว่าเดิมมาก
TAKE A DEEPER LOOK
TADL คือ มินิอัลบั้มแรกของ Jay Park ในฐานะศิลปินเดี่ยว ที่แฟนๆรอคอยและเป็นที่จับตามอง
นั่นเพราะ เขาทั้งแต่ง/ทั้งร้อง เพลงในอัลบั้มเอง
คนที่มีดีแค่เต้น จะไปได้สักกี่น้ำ?
สมัยที่เขายังอยู่ในวงบอยแบนด์ แม้จะได้รับตำแหน่งหัวหน้าวง แต่โดยเนื้อเสียงแล้วก็ไม่ได้โดดเด่นอะไรนัก
ด้วยเพราะ เจย์มีคีย์เสียงที่แหลมเล็ก จึงค่อนข้างไม่เหมาะกับการร้องเพลงที่ใช้พลัง ซึ่งเป็นแกนเสียงหลักของเพลง
บวกกับความชอบส่วนตัว เขาจึงได้รับหน้าที่ในการร้องท่อนแรพหลักของเพลงแทน
พอเขาคิดกลับมาในฐานะ “นักร้อง” อีกครั้ง หลายคนก็ปรามาสว่า คนที่ร้องแค่ท่อนแรพอย่างเดียวจะไปทำอะไรได้ …
ก็แรพน่ะสิ ถามได้…
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
สำหรับมินิอัลบั้มแรก นั้นค่อนข้างจะทำให้เราผิดหวังอยู่นิดหน่อยตรงที่ ยังคงพูดเรื่องรัก เพลงยังคงมีความป๊อปอยู่มาก ซึ่งผิดกับสไตล์ที่เราคิดไว้ก่อนที่เขาจะออกอัลบั้ม แต่มันก็ดีในแง่ของการ “Comeback” เพราะนอกจากเพลงจะพูดเรื่องรักแบบ Poppy Love แบบเพลงป๊อปเกาหลีทั่วไป ยังมีเพลงแรพที่เสมือนการแนะนำตัว/สิ่งที่เขาได้พบเจอมาอยู่ด้วย ในแง่ของการเปิดตัว และ เรียกฐานแฟนๆเก่าๆกลับมา ถือว่าทำได้ไม่เลว เพราะ สไตล์ของเจย์ก็ไม่ได้เปลี่ยนไปจากเราเคยเห็นเท่าไรนัก เขายังคงน่ารัก ทะเล้น เหมือนเดิม
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
นั่นอาจเป็นความตั้งใจของเจย์ ด้วยเช่นกัน
เพราะต่อมาใน New Breed ดูเหมือนเจย์จะไม่แคร์อะไรอีกต่อไปแล้ว ทั้งแนวเพลง ทั้งเรืองที่อยากเล่า เรื่องที่อยากเขียน ดูผิดจาก “ไอดอลเกาหลี” คนเดิมไปมาก ทั้งการดึงตัวบรรดาศิลปินแรพใต้ดินหลายๆคนมาร่วมงาน และ มีเพลงเชิงทดลองหลายๆแนวในอัลบั้ม บวกกับความประพฤติก่อนหน้า ที่เจย์ไปสักตามร่างกายมาเป็นจำนวนมาก และความเถื่อน หยาบคาย แบบอเมริกันสไตล์ ที่ไม่ค่อยเหมาะสมนักในบางโอกาส ทำให้แฟนๆกลุ่มเดิม เริ่มลังเลในการสนับสนุนเขาต่อ เพราะ
“เขาเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ”
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
หรืออันที่จริง สิ่งที่เราได้เห็นในฐานะ “ไอดอลเกาหลี” อาจเป็นภาพลวงตาก็ได้
แต่ความเถื่อนของเจย์ ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่า การพูดคุยกับเพื่อนบนทวิตเตอร์ด้วยศัพท์แสลง แบบฮิปฮอปอเมริกัน ที่ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่เขาคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็กๆ (โตมาพร้อมเพื่อนแม็กซิกันและเต้นบีบอย) เพราะหากดูจากผลงานและการทำงานของเขาจริงๆ เจย์เข้าขั้นเป็นเด็กที่สุภาพเรียบร้อยเลยทีเดียว
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ใน New Breed เราได้เห็นการเขียนเพลงเกี่ยวกับ Sex ที่ดูเหมือนเจย์พยายามเขียนมันอย่างมาก ไม่ว่ามันจะมาจากประสบการณ์จริงๆหรือไม่ แต่ส่วนตัวแล้ว กลับคิดว่า เจย์ยังเขียนเพลงแนวนี้ได้ไม่ดีนัก เพราะมันฟังออกมาไม่เซกซี่ แบบที่ควรเป็น หรือมันดูไม่จริงใจและมีอินเนอร์ แบบตอนเขาเขียนเพลงรัก
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เราลองนึกถึงเพลงของ Chris Brown (ที่เป็นเหมือนไอดอลของเจย์) กับการร้องเพลง Take you Down ที่ในเครดิต ก็มีชื่อของคริส บราวน์เป็นผู้แต่งด้วย ซึ่งคริสไม่ได้เขียนเพลง ที่มีฉากร่วมรักชัดเจนนัก (ผลักเธอล้มลง ร่างกายเสียดสี อย่าหยุดที่รัก!) แต่ด้วยดนตรี และ อารมณ์ของเพลง รวมถึงท่าเต้น นั้นช่วยเหลือเราไว้มาก จนเพลงนี้เป็นหนึ่งในเพลงที่ เซกซี่ บรรลัย ขณะที่เจย์เขียนเนื้อเพลงที่มีเนื้อหาโจ๋งครึ่มกว่าด้วยซ้ำ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ถามว่าจำเป็นต้องเทียบ เจย์ กับ คริส บราวน์มั้ย ไม่จำเป็น แต่เรากำลังพูดถึงการเขียนเพลงเกี่ยวกับ Sex ที่เรามองว่า เจย์ยังทำใด้ไม่ถึง แบบที่เขาต้องการ และถามว่ามันแย่ขนาดไหน มันไม่แ่ย่ แต่เป็น Nice Try.
จนกระทั่งมาถึง Fresh Air : Breath it นี่อยากปรบมือให้ดังๆ
เพราะเจย์ดูจริงใจกับมันมาก ตามใจกับมันมาก และ ไม่กั๊กครึ่งๆกลางๆแบบที่เคยทำกับ 2 อัลบั้มแรก
แต่เพราะ นี่อาจเป็น Mixtape ด้วย ทำให้เขาใส่ตัวเองลงมาได้เต็มที่
Mixtape คือ วัฒนธรรมหนึ่งในวงการเพลง ฮิปฮอป คือการทำ Freestyle music อัดลงเทป (หรือลงแผ่น CD)แล้วแจกจ่ายแฟนๆ ในกรณีที่ อยากทำ จริงๆ ไม่ได้สนใจเรื่องคอนเซปหรือแนวทางอะไรนัก ซึ่งกรณีนี้ บางคนอาจ นำเพลง cover มาทำด้วยซ้ำ (ใช้ทำนองเพลงคนอื่น แต่ใส่เนื้อเพลงเราเข้าไปแทน) ในวงการเพลงฮิปฮอปถือว่าไม่ใช่การลอกเลียน แต่เป็นวัฒนธรรม mixtape เท่านั้น ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ซึ่งใน Fresh Air : Breath It นั้นถือว่าเจ๋งพอตัวเลย เพราะเจย์ตามใจตัวเอง และ ไร้คอนเซปต์มาก ไม่ว่าจะเป็นการเขียนเพลงวางก้าม อย่างยโสโอหัง (ตามสไตล์นักร้องฮิปฮอป)ใน Willam Hung หรือ การเขียนเพลงเกี่ยวกับ Sex และผู้หญิง ก็พัฒนาขึ้นไปกว่าแค่ ฉากรัก เร่าร้อน บนเตียง แต่เริ่มพูดถึง ความรักแบบจริงๆจังๆ ที่ Sex อาจเป็นสิ่งสำคัญ แต่มันก็ไม่ใช่อันดับ 1 แบบใน Hopeless Love ซึ่งเป็นเพลงที่ดีที่สุดในอัลบั้ม (และเหมือนนักวิจารณ์ทางดนตรีอื่นๆก็ให้ความเห็นแบบเดียวกัน)
Hopeless Love เป็นเพลงที่อยู่ตรงกลางระหว่างความแข็งกร้าวแบบผู้ชาย และ ความอ่อนแอที่เกิดจากความรัก
ว่ากันว่า เพลงนี้คือ Harcore Version ของ Bad Boy – Big Bang หากจะเทียบง่ายๆกับวงการ K-Pop
เพลงนี้ก็เป็นอีกเพลงที่เราชอบมาก จนถึงขั้นทำ MV ให้
และอัลบั้มนี้เองก็ทำให้เราเห็นว่า เจย์ค่อนข้างมีความสุขกับการทำเพลงด้วยตัวเองอย่างมาก จากพัฒนการของเนื้อเพลงที่เขียน ที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ มากกว่ากว่า บน ก่น ด่า คนอื่นไปเรื่อย หรือ การลงไปต่อล้อต่อเถียงกับเหล่า Hater ซึ่งดูจะไม่มีประโยชน์อะไร เจย์เริ่มใช้การเสียดสีแทนการด่าระบุตรงๆ ที่ทำให้เพลงดูกว้างขวางกว่าเดิม และการทำให้ Fresh Air : Breath it เป็นเหมือน บทกลอน แม้จะตามใจตัวเองขนาดไหนแต่เพลงก็เรียงร้อยกันหมดทุกเพลง แบบที่ทำให้เราต้องมาตั้งคำถามว่า นี่เป็นความจงใจหรือความบังเอิญ ที่เนื้อเพลงของเขาเหมือนกลอน มากกว่า การบ่น ก่น ด่า แบบที่เคยทำมา
(เจย์เขียนเพลงครอบคลุมเรื่องราวในสังคมที่ทำให้คนเข้าถึงมากกว่า การบ่นเรื่องตัวเอง)
และ ล่าสุดกับ JOAH มันเป็นเพลงรักธรรมดาเพลงหนึ่ง แต่มันกลับโดนใจมาก เพราะเหมือนเจย์จะกลับไปเป็นเด็กคนเดิมแบบที่เคยเขียนเพลง Bestie
ฉันชอบเธอมาก ภาวนาให้ได้อยู่กับเธอทุกคืนวัน ชอบเธอมาก ชอบทุกอย่างที่เป็นเธอ
จากความก้าวร้าวผ่านบทเพลง ที่เราเห็นในอัลบั้มที่ผ่านมาๆทำให้เรารู้สึกว่า เจย์เองก็มีด้านที่อยากปลดปล่อย อยากเล่าให้ฟัง แต่เหนืออื่นใด เขาก็เป็นผู้ชายธรรมดา ที่เขียนเพลงรักง่ายๆ แต่มันกลับดูมีพลังมากกว่าการเขียนเพลงที่เต็มไปด้วย ฉากรัก หรือ การกอดจูบ แบบที่เขาเคยพยายาม (อย่างน้อยก็กับเราคนนึงหล่ะ)
ความชอบ ที่ ออกมาจาก JOAH ทำให้ มันมีมากขนาดที่ว่า เรารับรู้ได้ถึงความสุข และ เผลอๆอาจจะสามารถมองเห็นรอยยิ้มของคนแต่งเพลงขณะที่เขากำลังเขียนเพลงอยู่ ได้เลยทีเดียว
นี่ทำให้เรารู้สึกว่า การเขียนเพลงแต่ละครั้ง เขาพยายามกับมันมากจริงๆ ไม่ว่าเพลงๆนั้นจะถูกใจหรือไม่
จะเป็น Nice Try หรือ Good Job ขึ้นอยู่กับคนฟัง แต่เจย์ได้ Do The Best สำหรับตัวเองออกมาแล้ว
จนถึงวันนี้ ตั้งแต่ได้รู้จักเจย์ และ ฟังเพลงของเขามา
เราก็พึ่งมาได้ระลึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมา หลังจากฟัง JOAH
ทุกๆอย่างในในชีวิตถ้าชอบ เขาจะทำ ไม่ว่าคุณจะชอบหรือไม่ก็ตาม
#JOAH
credit : Website
http://www.heisjaypark.com
https://www.facebook.com/JwalkerzThailand
Contact me
twitter : http://twitter.com/alfredpoprock
fb : http://facebook.com/poprockonfilm
blog : http://jaypop.exteen.com