นิทานช่าวสวน ๑๒ เม.ย.๕๖
เที่ยวแล้วทุกข์
เมื่อวันพุธที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๕๓ ได้ไปทัศนาจรกับเพื่อน ที่เคยรับราชการในกรมการทหารสื่อสารด้วยกันมาเมื่อ ๔๐ ปีก่อน รวม ๙ คน เป็นทหารสื่อสาร ๕ คน ทหารสรรพาวุธ ๒ คน เป็นเพื่อนพลเรือนหนึ่งคน และเป็นลูกทหารสื่อสารหนึ่งคน แยกออกเป็นชายสี่คน หญิงห้าคน
ออกเดินทางจากสวนอ้อยประมาณ ๐๖.๓๐ น. ขาไปแวะวัดญาณสังวราราม เดินดูมุมที่ยังไม่เคยเยี่ยมแม้จะมาแวะหลายครั้งแล้วก็ตาม แล้วไปแวะฐานทัพเรือสัตหีบ ลงชมเรือโดยการขึ้นบันไดไปบนดาดฟ้าของ ร.ล.จักรีนฤเบศรพร้อมกับยลโฉม ร.ล.พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ซึ่งจอดเทียบอยู่ด้านหัวเรือ และ ร.ล.ตากสิน ที่กำลังแล่นผ่านออกไปในทะเลหลวงอย่างสง่างามด้วย
แล้วไปดูศูนย์เพาะพันธุ์เต่าทะเลที่หน่วยรักษาฝั่ง จากนั้นแวะกินก๋วยเตี๋ยวเป็นอาหารกลางวัน ที่ตลาดสัตหีบ แล้วจึงเข้าที่พักอาคารรับรองของสวัสดิการทหารเรือ อ่าวเตยงาม โดยจ่ายค่าที่พักในราคากันเองเพราะเป็นทหารบก
เวลาประมาณสี่โมงเย็นขึ้นรถตู้คันเดิม จะไป หาอาหารเย็นที่สโมสรหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน อ่าวดงตาล แต่สโมสรปิดปรับปรุงจึงขึ้นภูเขาไปถึงแหลมฟ้าผ่า ซึ่งเป็นที่ตั้งประภาคารหรือกระโจมไฟ อาภากร และเป็นที่ตั้งศาลกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ แล้วก็ย้อนกลับมากินอาหารเย็นที่สโมสรเรือใบ ติดกับอาคารที่พักของเรานั่นเอง
รุ่งขึ้นวันพฤหัสบดีที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๕๓ กินอาหารเช้าฟรีของที่พักแล้ว ก็ออกเดินทางกลับโดยเส้นทางเลียบทะเลพัทยาผ่านหาดจอมเทียน จนมาจอดแวะหนองมนเพื่อให้ฝ่ายสตรีลงไปจ่ายเงิน แล้วก็เลี้ยวเข้าบางแสน ผ่านแหลมแท่นอ้อมเขาสามมุขไป แวะกินอาหารกลางวันที่ร้านโพธิ์ทะเลหลวง ซึ่งลัดเลี้ยวเข้าไปจนถึงริมทะเล ในขณะนั้นน้ำขึ้นเต็มเปี่ยม มีลมหนาวพัดแรงจนเย็นยะเยือกตลอดเวลา ขนาดพัดลมหมุนได้เองโดยไม่ต้องเปิดไฟ
อิ่มท้องแล้วก็ออกเดินทางไปแวะที่หมู่บ้านอ่างหินหรืออ่างศิลา นึกว่าจะมีใครลงซื้อครกหินหรือสาก(กระเบือ) มีแต่แม่บ้านคนหนึ่งซื้อกระถางดินเผาเล็ก ๆ เป็นรูปน่ารักสำหรับปลูกไม้ประดับ จากนั้นก็แวะวิหารเซียน ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลกันนัก เป็นวิหารที่มีรูปปั้นเซียนของนิกายมหายาน ปางต่าง ๆ เป็นตึกสูงสี่ชั้น ซึ่งผู้เฒ่าเดินขึ้นบันไดไปชั้นเดียวก็เข่าอ่อน ต้องวนเวียนชมความวิจิตรพิสดารแค่ภายนอก ปล่อยให้หนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ขึ้นไปเพียงสามคน
จากนั้นก็บึ่งรถเข้ากรุงเทพทางถนนมอร์เตอร์เวย์ เป็นระยะทางเท่าไรไม่รู้ แต่ใช้เวลากว่าชั่วโมง ทำให้มีการกระสับกระส่าย อยากจะลดน้ำหนักแต่หาที่จอดไม่ได้เลย คิดจะจอดตรงที่จอดรถฉุกเฉิน แล้วเอารถบัง แต่ฝ่ายสตรีที่มีจำนวนมากกว่าห้ามไว้ เพราะเธอเหล่านั้นก็มีความประสงค์เช่นเดียวกัน จำต้องกัดฟันทนจนถึงด่านเก็บเงินครั้งสุดท้าย จึงมีที่ให้ปลดทุกข์ ดูลักษณะแล้วเป็นสถานที่สร้างใหม่เอี่ยม เข้าใจว่าคงจะมีผู้ร้องเรียนหลายราย ที่มีทุกข์เช่นเดียวกับเรา
แล้วก็มาลงจากทางด่วนที่ถนนพระรามหก ข้างคลองประปาสามเสน แล้วต่างก็แยกย้ายกันกลับภูมิลำเนาของตน ซึ่งมีทั้งรังสิต บางกรวย พรานนก และสวนอ้อย ด้วยความเรียบร้อย
วันรุ่งขึ้นศุกร์ที่ ๒๒ มกราคม ๒๕๕๓ ผู้เฒ่าปวดเมื่อยไปหมดทั้งต้นคอ หัวไหล่ บั้นเอว และหัวเข่า ด้วยความที่ต้องมุดเข้าเข้ามุดออกรถตู้ เดินขึ้นลงที่ลาดเขา และเรือจักรี ฯ รวมทั้งขึ้นบันไดเพื่อไปไหว้พระไหว้เซียนหลายแห่ง
การไปเที่ยวเมื่ออายุใกล้จะ แปดสิบ จึงให้ทุกข์ดังนี้แลหนอ.
วางเมื่อ เวลา ๐๖.๒๒
นิทานชาวสวน ๑๒ เม.ย.๕๖
เที่ยวแล้วทุกข์
เมื่อวันพุธที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๕๓ ได้ไปทัศนาจรกับเพื่อน ที่เคยรับราชการในกรมการทหารสื่อสารด้วยกันมาเมื่อ ๔๐ ปีก่อน รวม ๙ คน เป็นทหารสื่อสาร ๕ คน ทหารสรรพาวุธ ๒ คน เป็นเพื่อนพลเรือนหนึ่งคน และเป็นลูกทหารสื่อสารหนึ่งคน แยกออกเป็นชายสี่คน หญิงห้าคน
ออกเดินทางจากสวนอ้อยประมาณ ๐๖.๓๐ น. ขาไปแวะวัดญาณสังวราราม เดินดูมุมที่ยังไม่เคยเยี่ยมแม้จะมาแวะหลายครั้งแล้วก็ตาม แล้วไปแวะฐานทัพเรือสัตหีบ ลงชมเรือโดยการขึ้นบันไดไปบนดาดฟ้าของ ร.ล.จักรีนฤเบศรพร้อมกับยลโฉม ร.ล.พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ซึ่งจอดเทียบอยู่ด้านหัวเรือ และ ร.ล.ตากสิน ที่กำลังแล่นผ่านออกไปในทะเลหลวงอย่างสง่างามด้วย
แล้วไปดูศูนย์เพาะพันธุ์เต่าทะเลที่หน่วยรักษาฝั่ง จากนั้นแวะกินก๋วยเตี๋ยวเป็นอาหารกลางวัน ที่ตลาดสัตหีบ แล้วจึงเข้าที่พักอาคารรับรองของสวัสดิการทหารเรือ อ่าวเตยงาม โดยจ่ายค่าที่พักในราคากันเองเพราะเป็นทหารบก
เวลาประมาณสี่โมงเย็นขึ้นรถตู้คันเดิม จะไป หาอาหารเย็นที่สโมสรหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน อ่าวดงตาล แต่สโมสรปิดปรับปรุงจึงขึ้นภูเขาไปถึงแหลมฟ้าผ่า ซึ่งเป็นที่ตั้งประภาคารหรือกระโจมไฟ อาภากร และเป็นที่ตั้งศาลกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ แล้วก็ย้อนกลับมากินอาหารเย็นที่สโมสรเรือใบ ติดกับอาคารที่พักของเรานั่นเอง
รุ่งขึ้นวันพฤหัสบดีที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๕๓ กินอาหารเช้าฟรีของที่พักแล้ว ก็ออกเดินทางกลับโดยเส้นทางเลียบทะเลพัทยาผ่านหาดจอมเทียน จนมาจอดแวะหนองมนเพื่อให้ฝ่ายสตรีลงไปจ่ายเงิน แล้วก็เลี้ยวเข้าบางแสน ผ่านแหลมแท่นอ้อมเขาสามมุขไป แวะกินอาหารกลางวันที่ร้านโพธิ์ทะเลหลวง ซึ่งลัดเลี้ยวเข้าไปจนถึงริมทะเล ในขณะนั้นน้ำขึ้นเต็มเปี่ยม มีลมหนาวพัดแรงจนเย็นยะเยือกตลอดเวลา ขนาดพัดลมหมุนได้เองโดยไม่ต้องเปิดไฟ
อิ่มท้องแล้วก็ออกเดินทางไปแวะที่หมู่บ้านอ่างหินหรืออ่างศิลา นึกว่าจะมีใครลงซื้อครกหินหรือสาก(กระเบือ) มีแต่แม่บ้านคนหนึ่งซื้อกระถางดินเผาเล็ก ๆ เป็นรูปน่ารักสำหรับปลูกไม้ประดับ จากนั้นก็แวะวิหารเซียน ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลกันนัก เป็นวิหารที่มีรูปปั้นเซียนของนิกายมหายาน ปางต่าง ๆ เป็นตึกสูงสี่ชั้น ซึ่งผู้เฒ่าเดินขึ้นบันไดไปชั้นเดียวก็เข่าอ่อน ต้องวนเวียนชมความวิจิตรพิสดารแค่ภายนอก ปล่อยให้หนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ขึ้นไปเพียงสามคน
จากนั้นก็บึ่งรถเข้ากรุงเทพทางถนนมอร์เตอร์เวย์ เป็นระยะทางเท่าไรไม่รู้ แต่ใช้เวลากว่าชั่วโมง ทำให้มีการกระสับกระส่าย อยากจะลดน้ำหนักแต่หาที่จอดไม่ได้เลย คิดจะจอดตรงที่จอดรถฉุกเฉิน แล้วเอารถบัง แต่ฝ่ายสตรีที่มีจำนวนมากกว่าห้ามไว้ เพราะเธอเหล่านั้นก็มีความประสงค์เช่นเดียวกัน จำต้องกัดฟันทนจนถึงด่านเก็บเงินครั้งสุดท้าย จึงมีที่ให้ปลดทุกข์ ดูลักษณะแล้วเป็นสถานที่สร้างใหม่เอี่ยม เข้าใจว่าคงจะมีผู้ร้องเรียนหลายราย ที่มีทุกข์เช่นเดียวกับเรา
แล้วก็มาลงจากทางด่วนที่ถนนพระรามหก ข้างคลองประปาสามเสน แล้วต่างก็แยกย้ายกันกลับภูมิลำเนาของตน ซึ่งมีทั้งรังสิต บางกรวย พรานนก และสวนอ้อย ด้วยความเรียบร้อย
วันรุ่งขึ้นศุกร์ที่ ๒๒ มกราคม ๒๕๕๓ ผู้เฒ่าปวดเมื่อยไปหมดทั้งต้นคอ หัวไหล่ บั้นเอว และหัวเข่า ด้วยความที่ต้องมุดเข้าเข้ามุดออกรถตู้ เดินขึ้นลงที่ลาดเขา และเรือจักรี ฯ รวมทั้งขึ้นบันไดเพื่อไปไหว้พระไหว้เซียนหลายแห่ง
การไปเที่ยวเมื่ออายุใกล้จะ แปดสิบ จึงให้ทุกข์ดังนี้แลหนอ.
วางเมื่อ เวลา ๐๖.๒๒