มารไม่น่ากลัวหากรู้เท่าทัน..
โดยปกติคนทั่วไป เรากับมารเป็นเพื่อนที่สนิทกัน กอดคอกันมาหลายภพชาติ เมื่อมารทั้งภายนอกและมารภายในหลอกล่อเราให้เกิดความกำหนัดยินดีพอใจเมื่อ ตาเห็น หูได้ยิน จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายรับสัมผัสเย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว ใจคิดนึกในธรรมารมณ์ทั้งหลาย เราจะยินดีปลื้มปิติ เดินตามทางที่มารปรุงแต่งมาหลอกล่อเราตลอดเวลา เรากับมารจึงดำรงชีวิตผสมกลมกลืนได้อย่างแนบเนียนบนเส้นทางแห่งมิจฉาทิฏฐิ มีความเห็นที่ผิด เห็นผิดจากความจริง ผิดธรรมชาติตลอดเวลา นั่นเพราะตั้งแต่เกิดเราไม่เคยรู้จักตัวเองเลย ว่าเราเป็นใคร ชีวิตคืออะไร เกิดมาทำไม เป้าหมายชีวิตคืออะไร คำถามเหล่านี้เป็นคำถามที่ต้องการคำเฉลยที่มีคุณค่ามหาศาลกับชีวิตของเราทุกคน เป็นคำถามที่มีคำเฉลยอย่างชัดเจนในพระธรรมคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระศาสดาเอกของโลก
เมื่อเราไม่รู้จกตัวเอง ไม่มีใครสอนเราให้รู้จักตัวเองมาก่อน เราจึงไม่รู้ว่าชีวิตเราถูกควบคุมด้วยมารหรือ โลภะ โทสะ โมหะ และแม้แต่คำว่า โลภะ โทสะ โมหะ ในความหมายของพระสงฆ์ในความหมายที่เราศึกษาเรียนรู้จากครู อาจารย์ จากพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย หรือเจ้าสำนักต่างๆก็ยังเป็นความหมายที่ทำให้เราเข้าใจผิดมาทั้งชีวิต
จนกระทั่งเหตุปัจจัยด้วยบุญ กุศลในอดีตจนถึงปัจจุบันถึงพร้อมทำให้ได้ไปพบพ่อผู้บำเพ็ญเมตตาบารมี ปัญญาบารมี พ่อผู้ให้กำเนิดโลกอริยะคือพ่ออาจารย์สินธพ ทรวงแก้วท่านศึกษาเรียนรู้พระธรรมคำสอนจากพระไตรปิฎกด้วยตนเอง วิเคราะห์จำแนก แยกแยะหาเหตุปัจจัยแห่งการปฏิบัติเพื่อการดับทุข์ของเจ้าชายสิทธัตถะจนได้ตรัสรู้แจ้งเป็นพระพุทธเจ้าโคตมะ แล้วนำไปปฏิบัติตรวจสอบด้วยตนเองจนมีดวงตาเห็นธรรม เห็นตามในกฏความจริงของธรรมชาติอย่างชัดแจ้ง พ่ออาจารย์สอนภาษาธรรมเป็นภาษาคนที่เข้าใจง่าย เพราะลูกศิษย์ที่นำวิธี เทคนิคของพ่ออาจารย์และคณะไปปฏิบัติได้ง่าย ดับทุกข์ให้กับตัวเองได้จริงพิสูจน์ตรวจสอบได้ด้วยตนเอง
เมื่อเริ่มรู้จักตัวเอง รู้จักสุข รู้จักทุกข์ รู้จักธรรมตามความเป็นจริงของโลกและชีวิตอย่างชัดเจนยิ่งขึ้นเป็นลำดับ ชื่อว่า รู้มรรค รู้สัมมามรรค เดินสู่ทางแห่งสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นถูก "มาร"เพื่อนซี้เริ่มสะเทือน เพราะเขารู้ว่าเรากำลังจะตีจากเขาไปไม่ยอมให่เขามาควบคุมชีวิตเราอีก มารคือเจ้าโลภะ โทสะ โมหะที่มีมากมายมหาศาลทั้งในตัวเราและภายนอกปะปนอยู่กับธรรมชาติ คือสิ่งหลอกล่อเราจากภายนอกและภายใน มันทำงานเชื่อมต่อกันตลอดเวลา แนบเนียนจนเราไม่รู้สึกตัวเลย สุขๆ ทุกข์ๆ เหมือนกันหมดเป็นธรรมดาของมนุษย์ที่เราถูกหลอกมาตลอดชีวิต
อริยะบุคคลคือ ผู้ที่ปฏิบัติฝึกฝนตนเองเพื่อหนีจากการควบคุมของมาร ด้วยการรู้ เห็น เข้าใจและกระทำความจริงในใจให้แจ้ง ให้ชัดเจน และกระทำความจริงให้มีให้มาก ยิ่งมีความจริงของกฏธรรมชาติ ๒ กฏ คือ ไม่เที่ยง เกิด ดับ ชัดเจนมากเท่าไร เราจะเห็นและรู้เท่าทันการกระทำของมารภายนอกและมารภายในเมื่อเขาเชื่อมต่อกันอย่างชัดเจน ปฏิบัติฝึกฝนของเราเพื่อลาจากมาร เป็นการตัดการเชื่อมต่อของมารภายนอก กับมารภายในหรือขันธมารโดยเด็ดขาด
อริยะบุคคลผู้ฝึกตนมาดีแล้ว ถูกต้องตรงทาง ตรงธรรมแล้วจึงสามารถรู้เท่าทันการหลอกล่อของมารที่เกิดกับเราทุกรูปแบบ การวิปัสสนาภาวนาพิจารณาขันธ์ ๕ อินทรีย์ ๖ เป็นทางสายเอกสายเดียว หลักสูตรเดียวสำหรับคนทั่วไปนำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวันได้โดยไม่ต้องถือศีล กินเจ นั่งหลับตาภาวนา หลักสูตรที่ต้องลืมตาวิปัสสนาให้รู้ เห็นและมีความจริงในใจเราให้มาก
ยกตัวอย่างเมื่อมีคนพูดกระทบ กระเทียบเราในทางใดทางหนึ่ง เราวิปัสสนาว่า คนพูดก็หนุ่ม แก่ ตาย ตัวฉันก็หนุ่ม แก่ ตาย ไม่เที่ยง เกิด ดับ หยุดการปรุงแต่งของความคิดของเราหยุดมารหรือหยุดโลภะ ความพอใจ หยุดโทสะ ความไม่พอใจ ตามทันกรรมเก่าที่แต่งตั้งคนมาว่า มาพูดค่อนแคะ เสียดสี หยุดมารภายนอกที่หลอกล่อเราให้โกรธ เป็นอโหสิกรรมทันทีมารภายในอันเป็นกรรมเก่าของเราก็เชื่อมต่อกับการกระทบนั้นไม่ได้ หยุดกรรมเก่า ไม่สร้างกรรมใหม่ หยุดการสร้างภพชาติ ภายในใจเราจะสงบ ระงับได้ การโต้ตอบออกมาอาจเป็นความเฉยๆ ไม่โต้ตอบ หรือยิ้มให้เขาอย่างรู้เท่าทันแล้วเดินจากไป ผู้ที่ได้รับผลกรรมคือ ผู้ที่พูดกระทบอริยะบุคคล เขากระทำกรรมไว้เขาต้องชดใช้ไป มารเข้าไม่ถึงอริยะบุคคลที่ฝึกตนมาดีแล้ว เพราะอริยะบุคคลรู้เท่าทันการหลอกล่อของมาร ปุ่มควบคุมการทำงานของมารถูกทำลายวงจร สั่งการชีวิตของอริยะบุคคลไม่ได้อีกต่อไป
๑. มารสูตร ว่าด้วยการละความพอใจในขันธมาร
[๓๘๙] พระนครสาวัตถี. ครั้งนั้นแล ท่านพระราธะได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้ มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคโปรดประทานพระวโรกาสทรงแสดงธรรม โดยย่อแก่ข้าพระองค์ ที่ข้าพระองค์ได้ฟังแล้ว จะพึงเป็นผู้ๆ เดียว หลีกออกจากหมู่ ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่เถิด. พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรราธะ สิ่งใดแลเป็นมาร เธอ พึงละความพอใจ ความกำหนัด ความกำหนัดด้วยสามารถความพอใจในสิ่งนั้นเสีย. ดูกรราธะ ก็อะไรเล่าเป็นมาร? ดูกรราธะ รูปเป็นมาร เธอพึงละความพอใจ ความกำหนัด ความกำหนัด ด้วยสามารถความพอใจในรูปนั้นเสีย. เวทนาเป็นมาร ... สัญญาเป็นมาร ... สังขารเป็นมาร ... วิญญาณเป็นมาร เธอพึงละความพอใจ ความกำหนัด ความกำหนัดด้วยสามารถความพอใจ ในวิญญาณนั้นเสีย. ดูกรราธะ สิ่งใดแลเป็นมาร เธอพึงละความพอใจ ความกำหนัด ความ กำหนัดด้วยสามารถความพอใจในสิ่งนั้นเสีย. จบ สูตรที่ ๑.
มารไม่น่ากลัวหากรู้เท่าทัน..
โดยปกติคนทั่วไป เรากับมารเป็นเพื่อนที่สนิทกัน กอดคอกันมาหลายภพชาติ เมื่อมารทั้งภายนอกและมารภายในหลอกล่อเราให้เกิดความกำหนัดยินดีพอใจเมื่อ ตาเห็น หูได้ยิน จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายรับสัมผัสเย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว ใจคิดนึกในธรรมารมณ์ทั้งหลาย เราจะยินดีปลื้มปิติ เดินตามทางที่มารปรุงแต่งมาหลอกล่อเราตลอดเวลา เรากับมารจึงดำรงชีวิตผสมกลมกลืนได้อย่างแนบเนียนบนเส้นทางแห่งมิจฉาทิฏฐิ มีความเห็นที่ผิด เห็นผิดจากความจริง ผิดธรรมชาติตลอดเวลา นั่นเพราะตั้งแต่เกิดเราไม่เคยรู้จักตัวเองเลย ว่าเราเป็นใคร ชีวิตคืออะไร เกิดมาทำไม เป้าหมายชีวิตคืออะไร คำถามเหล่านี้เป็นคำถามที่ต้องการคำเฉลยที่มีคุณค่ามหาศาลกับชีวิตของเราทุกคน เป็นคำถามที่มีคำเฉลยอย่างชัดเจนในพระธรรมคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระศาสดาเอกของโลก
เมื่อเราไม่รู้จกตัวเอง ไม่มีใครสอนเราให้รู้จักตัวเองมาก่อน เราจึงไม่รู้ว่าชีวิตเราถูกควบคุมด้วยมารหรือ โลภะ โทสะ โมหะ และแม้แต่คำว่า โลภะ โทสะ โมหะ ในความหมายของพระสงฆ์ในความหมายที่เราศึกษาเรียนรู้จากครู อาจารย์ จากพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย หรือเจ้าสำนักต่างๆก็ยังเป็นความหมายที่ทำให้เราเข้าใจผิดมาทั้งชีวิต
จนกระทั่งเหตุปัจจัยด้วยบุญ กุศลในอดีตจนถึงปัจจุบันถึงพร้อมทำให้ได้ไปพบพ่อผู้บำเพ็ญเมตตาบารมี ปัญญาบารมี พ่อผู้ให้กำเนิดโลกอริยะคือพ่ออาจารย์สินธพ ทรวงแก้วท่านศึกษาเรียนรู้พระธรรมคำสอนจากพระไตรปิฎกด้วยตนเอง วิเคราะห์จำแนก แยกแยะหาเหตุปัจจัยแห่งการปฏิบัติเพื่อการดับทุข์ของเจ้าชายสิทธัตถะจนได้ตรัสรู้แจ้งเป็นพระพุทธเจ้าโคตมะ แล้วนำไปปฏิบัติตรวจสอบด้วยตนเองจนมีดวงตาเห็นธรรม เห็นตามในกฏความจริงของธรรมชาติอย่างชัดแจ้ง พ่ออาจารย์สอนภาษาธรรมเป็นภาษาคนที่เข้าใจง่าย เพราะลูกศิษย์ที่นำวิธี เทคนิคของพ่ออาจารย์และคณะไปปฏิบัติได้ง่าย ดับทุกข์ให้กับตัวเองได้จริงพิสูจน์ตรวจสอบได้ด้วยตนเอง
เมื่อเริ่มรู้จักตัวเอง รู้จักสุข รู้จักทุกข์ รู้จักธรรมตามความเป็นจริงของโลกและชีวิตอย่างชัดเจนยิ่งขึ้นเป็นลำดับ ชื่อว่า รู้มรรค รู้สัมมามรรค เดินสู่ทางแห่งสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นถูก "มาร"เพื่อนซี้เริ่มสะเทือน เพราะเขารู้ว่าเรากำลังจะตีจากเขาไปไม่ยอมให่เขามาควบคุมชีวิตเราอีก มารคือเจ้าโลภะ โทสะ โมหะที่มีมากมายมหาศาลทั้งในตัวเราและภายนอกปะปนอยู่กับธรรมชาติ คือสิ่งหลอกล่อเราจากภายนอกและภายใน มันทำงานเชื่อมต่อกันตลอดเวลา แนบเนียนจนเราไม่รู้สึกตัวเลย สุขๆ ทุกข์ๆ เหมือนกันหมดเป็นธรรมดาของมนุษย์ที่เราถูกหลอกมาตลอดชีวิต
อริยะบุคคลคือ ผู้ที่ปฏิบัติฝึกฝนตนเองเพื่อหนีจากการควบคุมของมาร ด้วยการรู้ เห็น เข้าใจและกระทำความจริงในใจให้แจ้ง ให้ชัดเจน และกระทำความจริงให้มีให้มาก ยิ่งมีความจริงของกฏธรรมชาติ ๒ กฏ คือ ไม่เที่ยง เกิด ดับ ชัดเจนมากเท่าไร เราจะเห็นและรู้เท่าทันการกระทำของมารภายนอกและมารภายในเมื่อเขาเชื่อมต่อกันอย่างชัดเจน ปฏิบัติฝึกฝนของเราเพื่อลาจากมาร เป็นการตัดการเชื่อมต่อของมารภายนอก กับมารภายในหรือขันธมารโดยเด็ดขาด
อริยะบุคคลผู้ฝึกตนมาดีแล้ว ถูกต้องตรงทาง ตรงธรรมแล้วจึงสามารถรู้เท่าทันการหลอกล่อของมารที่เกิดกับเราทุกรูปแบบ การวิปัสสนาภาวนาพิจารณาขันธ์ ๕ อินทรีย์ ๖ เป็นทางสายเอกสายเดียว หลักสูตรเดียวสำหรับคนทั่วไปนำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวันได้โดยไม่ต้องถือศีล กินเจ นั่งหลับตาภาวนา หลักสูตรที่ต้องลืมตาวิปัสสนาให้รู้ เห็นและมีความจริงในใจเราให้มาก
ยกตัวอย่างเมื่อมีคนพูดกระทบ กระเทียบเราในทางใดทางหนึ่ง เราวิปัสสนาว่า คนพูดก็หนุ่ม แก่ ตาย ตัวฉันก็หนุ่ม แก่ ตาย ไม่เที่ยง เกิด ดับ หยุดการปรุงแต่งของความคิดของเราหยุดมารหรือหยุดโลภะ ความพอใจ หยุดโทสะ ความไม่พอใจ ตามทันกรรมเก่าที่แต่งตั้งคนมาว่า มาพูดค่อนแคะ เสียดสี หยุดมารภายนอกที่หลอกล่อเราให้โกรธ เป็นอโหสิกรรมทันทีมารภายในอันเป็นกรรมเก่าของเราก็เชื่อมต่อกับการกระทบนั้นไม่ได้ หยุดกรรมเก่า ไม่สร้างกรรมใหม่ หยุดการสร้างภพชาติ ภายในใจเราจะสงบ ระงับได้ การโต้ตอบออกมาอาจเป็นความเฉยๆ ไม่โต้ตอบ หรือยิ้มให้เขาอย่างรู้เท่าทันแล้วเดินจากไป ผู้ที่ได้รับผลกรรมคือ ผู้ที่พูดกระทบอริยะบุคคล เขากระทำกรรมไว้เขาต้องชดใช้ไป มารเข้าไม่ถึงอริยะบุคคลที่ฝึกตนมาดีแล้ว เพราะอริยะบุคคลรู้เท่าทันการหลอกล่อของมาร ปุ่มควบคุมการทำงานของมารถูกทำลายวงจร สั่งการชีวิตของอริยะบุคคลไม่ได้อีกต่อไป
๑. มารสูตร ว่าด้วยการละความพอใจในขันธมาร
[๓๘๙] พระนครสาวัตถี. ครั้งนั้นแล ท่านพระราธะได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้ มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคโปรดประทานพระวโรกาสทรงแสดงธรรม โดยย่อแก่ข้าพระองค์ ที่ข้าพระองค์ได้ฟังแล้ว จะพึงเป็นผู้ๆ เดียว หลีกออกจากหมู่ ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่เถิด. พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรราธะ สิ่งใดแลเป็นมาร เธอ พึงละความพอใจ ความกำหนัด ความกำหนัดด้วยสามารถความพอใจในสิ่งนั้นเสีย. ดูกรราธะ ก็อะไรเล่าเป็นมาร? ดูกรราธะ รูปเป็นมาร เธอพึงละความพอใจ ความกำหนัด ความกำหนัด ด้วยสามารถความพอใจในรูปนั้นเสีย. เวทนาเป็นมาร ... สัญญาเป็นมาร ... สังขารเป็นมาร ... วิญญาณเป็นมาร เธอพึงละความพอใจ ความกำหนัด ความกำหนัดด้วยสามารถความพอใจ ในวิญญาณนั้นเสีย. ดูกรราธะ สิ่งใดแลเป็นมาร เธอพึงละความพอใจ ความกำหนัด ความ กำหนัดด้วยสามารถความพอใจในสิ่งนั้นเสีย. จบ สูตรที่ ๑.