"ริชชี่ "อังศุมาลิน" ผู้ถูกวิพากษ์

ถูกพูดถึงตั้งแต่หนังเริ่มถ่าย ว่าเป็นใคร มาจากไหน ถึงคว้าบท
"อังศุมาลิน" ใน "คู่กรรม" ไปได้

หลายเสียงบอกว่าเธอเป็นเด็กใหม่ของ เอ-ศุภชัย ศรีวิจิตร ที่ถูกใส่พานให้ เรียว-กิตติกร เลียวศิริกุล ผู้กำกับ ด้วยเงื่อนไขว่าถ้าอยากได้ ณเดชน์ คูกิมิยะ เป็น "โกโบริ" ก็ต้องมี ริชชี่-อรเณศ ดีคาบาเลส เป็น "อังศุมาลิน"

ถึงวันนี้ วันที่หนังเข้าฉาย ริชชี่ก็ยังคงถูกพูดถึง โดยหลายคนพูดแรงถึงขั้น เธอเป็นเหตุที่ทำให้เวอร์ชั่นนี้ "ไม่สนุก"

"จริงๆ ริชตั้งใจมากๆ เลย" สาวน้อยวัย 18 นักกีฬาเหรียญทองแบดมินตันเยาวชนเมื่อปี 2554 ซึ่งพาตัวเองเข้าวงการบันเทิง ตามคำชวนของเอ-ศุภชัย ซึ่งไปจีบมาตั้งแต่เกือบ 2 ปีก่อนบอก

"ริชไม่เคยเรียนการแสดงมาก่อน"

"กับพี่เอก็ไม่รู้จัก"

ค่าที่ชีวิตวนเวียนอยู่กับโรงเรียนและสนามซ้อม ตั้งแต่เช้ากระทั่งถึง 4 ทุ่ม จนไม่มีเวลาติดตามรายการโทรทัศน์เหมือนคนทั่วไป

"กับพี่ณเดชน์เคยได้ยินแต่เพื่อนคุยกัน"

เธอเองเพิ่งจะรู้ว่าเขาดัง ก็ตอนหลังๆ ที่ได้มาร่วมงานกันนี่เอง

"กดดันนะคะ" พอถามความรู้สึกริชชี่ก็สารภาพตามตรง

"เป็นงานชิ้นแรก แล้วต้องมาร่วมงานกับพี่ที่เก่งๆ แต่พี่เรียวก็เตรียมตัวให้เยอะมาก เวิร์กช็อป 3 เดือนก่อนแสดง ปูพื้นฐานตั้งแต่การเดิน การมอง การเคลื่อนไหว"

เพื่อให้เป็น "อังศุมาลิน" ที่ดุ ไม่กลัวใคร และเก็บความรู้สึก

"ซึ่งยากทั้งหมดละค่ะ" ริชชี่บอกพลางหัวเราะเบาๆ

"แอ๊กติ้งก็ยาก ภาษาก็ยาก"

นอกจากนั้นคุณสมบัติอีกหลายอย่างที่ "อังศุมาลิน" มี เธอก็ขาด ก่อนแสดงจึงต้องหัดทั้งว่ายน้ำ, พายเรือ รวมถึงพูดภาษาญี่ปุ่น

อย่างนั้นแล้ว ทำไมถึงได้เล่น?

กับคำถามนี้ริชชี่ส่ายหน้า เพื่อสื่อว่าตอบไม่ได้จริงๆ

ส่วนข้อหาว่าเป็น "ตัวพ่วง" นั้น ริชชี่พูดสั้นๆ เพียงว่า "อันนี้ไม่ทราบเลย"

"รู้แต่ว่าต้องมาแคสกับพี่เรียว ริชก็มาลองดู"

และหลังจากถูกเรียวเทสต์หลายอย่าง เธอก็ได้บท "อังศุมาลิน" มาครอง

ริชชี่ซึ่งปกติ "ไม่ค่อยพูด ขี้อายมาก" ขนาดจะให้ไปพรีเซ็นต์งานส่งครูหน้าห้องยังทำไม่ได้ เล่าด้วยว่า สำหรับเธอแล้วการแสดงนั้นเป็นสิ่งที่ยากมาก

โดยเฉพาะฉากจบ ที่ "โกโบริ" ตาย ซึ่งถ้าไม่ได้ผู้กำกับติวเข้มมาก่อน เป็นต้องแย่

"พี่เรียวเตรียมตัวให้เยอะมาก แต่ละฉากก่อนถ่ายจริง จะซ้อมให้ทุกฉาก ซ้อม 10 กว่ารอบ พอถึงวันถ่ายจริง พอพี่เรียวพูดแอ๊กชั่น ทุกอย่างที่พี่เรียวสอน ที่ซ้อมมา มันก็เหมือนกัน หนูเลยจำความรู้สึกได้ว่าเราซ้อมมาแล้ว เลยไม่ตื่นเต้นมาก"

หากกระนั้นเมื่อถามว่าสำหรับเธอเองแล้ว คิดว่าตัวเองเล่นได้เป็นอย่างไร

"ไม่มั่นใจเลยค่ะ" ริชชี่ก็บอก ด้วยเสียงบางเบา

"ไม่เคยถามพี่เรียวด้วยว่าเป็นยังไง คือพี่เขาสอนหลายอย่าง เราเองเล่นแล้วก็ไม่อยากจะเทค ไม่อยากให้หลุด เพราะพี่เรียวจะเสียใจหรือเปล่า ที่หนูทำไม่ได้"

"แต่ก็ตั้งใจเต็มที่นะคะ" ริชชี่ย้ำอีก

"ด้วยความเป็นนักกีฬา ริชเลยถูกฝึกมาตั้งแต่ 5 ขวบ โดยโค้ชจะสอนว่าทุกครั้งที่ลงแข่ง เราจะเหนื่อยหรือยังไงก็ช่าง จะไม่มีคำว่าไม่ไหว ไม่พร้อม ทุกครั้งที่โค้ชเรียกปุ๊บ ต้องโอเค"

"บางครั้งเราซ้อมมาน้อย แต่ก็ต้องไม่มีคำพูดว่าหนูซ้อมมาน้อย หรือไม่สบาย และถ้าลงไปแล้วแพ้ ชนะ อะไรก็ช่าง ไม่มีสิทธิพูดว่าเหตุผลเพราะอะไร"

"ทีแรกก็ไม่คิดว่าจะแสดงได้ แต่พอมีหน้าที่ตรงนี้ มันคือสิ่งที่ต้องทำ ต้องรับผิดชอบ ต้องเต็มที่ ต้องทำให้ได้"

"ก็เหมือนตอนแข่งแบด บางครั้งเหนื่อยมาก หลายๆ ลูกเรารู้สึกว่าวิ่งไม่ไหว เหนื่อยแบบแทบตาย บอกตัวเองว่าไม่ไหวแล้ว ตีลูกนี้แล้วพอ ไม่วิ่งแล้ว แต่พอลูกถูกตีกลับมา ก็เหมือนมีอะไรบางอย่างให้ต้องวิ่งต่อ"

"พอมาถึงการแสดง บางครั้งเราก็รู้สึกว่าเราไม่พร้อม กดดันด้วย เครียดด้วย แต่พอพี่เรียวพูดว่าโอเคนะ ริชชี่ 5 4 3 2 แอ๊กชั่น ทุกอย่างเหมือนกลับเข้ามาในหัว เหมือนลงแข่งน่ะค่ะ ไม่พร้อมก็ต้องทำ"

กับคำวิจารณ์ที่ได้รับ สำหรับคนใกล้ๆ ตัว ริชชี่บอกว่าส่วนใหญ่จะให้กำลังใจ "เขาบอกหนูตั้งใจที่สุดแล้ว ได้แค่ไหนก็ไม่เป็นไร"

"ส่วนคำวิจารณ์อื่นๆ ที่ได้เห็น ก็คิดว่าจะพยายามปรับปรุง ฝึกซ้อมค่ะ"

ริชชี่ทิ้งท้ายอย่างมุ่งมั่น

หน้า 24,มติชนรายวัน ฉบับวันพฤหัสบดีที่  11 เมษายน 2556
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่