แชร์เรื่องของเราเองค่ะ อยากให้คนที่ยังรักกันและมีโอกาสอยู่ด้วยกันได้อ่านค่ะ

เรื่องมันมีอยู่ว่า 6 ปีก่อนเราไปอยู่อเมริกาเพื่อไปเรียนภาษามาค่ะเราได้เจอ ผช คนนึงอายุมากกว่าเรายี่สิบปีได้ค่ะ เราไม่เคยคิดเลยว่าจะมีแฟนเป็นฝรั่งเพราะเรามีความคิดที่ว่าฝรั่งไม่ชอบคนแบบเราหรอกเราผิวสีน้ำผึ้งออกไปทางขาวนิดๆหน้าตาก็ออกโทนสเปคหนุ่มไทยมากกว่าอีกทั้งเค้าก็อายุมากกว่าเรามากโข แต่เค้าเป็นคนดีมากค่ะแรกๆเราไม่อยากคุยก็พยายามส่งข้อความมาหา ถามไถ่สารทุกข์เสมอ เค้าอยู่อีกเมืองเค้าก็หาข้ออ้างขับรถมาเมืองที่เราอยู่บ่อยๆบอกว่ามาทำงานบ้างหา ลค บ้าง วันไหนเราว่างเราก็ออกไปทานข้าวกับเค้าบ้างค่ะเพราะเราก็ไม่ได้มีใครในตอนนั้น

เข้าเรื่องต่อนะคะเรากับเค้าก็คุยกันมาเรื่อยๆรู้ๆกันว่าจีบจนวันนึงเราทะเลาะกับเมทคนไทยร่วมบ้านค่ะเพราะเมดเราเป็นคนรกๆสูบบุหรี่เหม็นอะไรก็ไม่ช่วยเราพูดบ่อยจนทนไม่ไหวค่ะเราก็น้อยใจเก็บข้าวของจะกลับไทยพอดี รรก็ครบคอร์สที่ลงไว้แล้วด้วยเหลือแต่ค่าเครื่องเพราะเราต้องเก็บตังเอง เราไม่มีเพื่อนที่อื่นอีกเลยขอความช่วยเหลือจากเค้าค่ะเค้าก็ขับรถมารับช่วยขนของโดยเค้าเสนอว่าย้ายไปเมืองที่เค้าอยู่ซักพักก่อนเค้าจะจ่ายค่า รรให้และจะไม่ทำอะไรเรา

วันที่ย้ายออกมาเราสับสนมากค่ะตอนนั้นกลัวเค้าก็กลัวแต่ก่อนหน้านั้นปรึกษาที่บ้านแล้วแม่บอกว่าเค้าน่าไว้ใจได้ค่ะระหว่างนั่งรถไปเมืองนั้นเค้าก็คงรู้ว่าเราหวั่นๆเค้าก็ขอจับมือค่ะมือเค้าใหญ่กว่ามือเรามากเค้าจับมือเราไว้แน่นแล้วบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วงนะมือใหญ่จะคอยดูแลมือเล็กเอง หลังจากนั้นเราก็พักที่รรใกล้ๆบ้านเค้าประมาณสิบกว่าวันโดยเค้าก็จะมารับทานข้าว แอบเอาตังยัดใส่กระเป๋าให้ตลอดค่ะบอกว่าเอาไว้ซื้อของใช้ที่จำเป็นซื้อข้าวซื้ออะไรก็ซื้อเพราะเค้ารู้ว่าเราก็มีเงินติดตัวไม่เยอะ ตอนนั้นรวมๆระยะเวลาที่รู้จักกันก็หลายเดือนแล้วค่ะ เลยตัดสินใจลองคบกันและย้ายเข้าไปอยู่บ้านเค้าค่ะ ศึกษากันมาเรื่อยๆถึงทราบว่าเค้ามีบริษัทเกี่ยวกับงานวิศวะ ทำพวกปั้มน้ำมันหรือพวกของไฮเทคๆต่างๆ มีลูกน้องมากมายค่ะ ทีแรกคิดว่าเค้าเป็นแค่ พนง ธรรมดาๆคนนึง พอไปอยู่บ้านบ้านมีแม่บ้านมาดูแลเช้า เย็นค่ะเราถึงกับตกใจว่าเค้าจะมาเสียเวลากับคนแบบเราทำไม ในเมื่อชีวิตเค้าดูเหมือนจะสมบูรณ์แบบดีอยู่แล้ว

เค้ามีลูกค่ะแต่อาศัยอีกที่รัฐนึงภรรยาเค้าเสียชีวิตตั้งแต่ลูกเล็กๆแล้วพอลูก18ลูกก็ย้ายออกไปอยู่ข้างนอกกับแฟนแต่เค้าก็ยังส่งเสียโทรหาตลอดและยังให้ลูกและแฟนลูกช่วยงานของบริษัทตลอดและไม่เคยปิดบังเรื่องว่าเรามาอยู่ด้วยคบหากับเราอยู่ ซึ่งลูกเค้าก็โอเคนะคะ ทางบ้านเค้าพี่น้องเค้าทุกคนก็โอเคค่ะ ทีนี้วีซ่าเราต้องเปลี่ยนแบบค่ะถึงจะอยู่ต่อไปได้อย่างไม่ผิด กม ซึ่งเค้าก็ขอเราแต่งงานอาจจะไม่ได้ขอแบบยิ่งใหญ่แต่เพื่อที่เราจะได้อยู่แบบถูก กม ต้องปรึกษาทนายอะไรมากมายค่ะ(เรื่องยังอยู่ที่ทนายยังไม่ได้แต่ง) ระหว่างนั้นเค้าไปประมูลงานตามสถานที่ราชการหรืออะไรก็ตามเค้าก็ให้เราไปด้วยค่ะให้เราแฝงตัวเป็นเลขาเพราะมันไม่เหมาะสมที่จะหิ้วแฟนไปทำงานด้วยมันไม่โปรฯค่ะ แต่ด้วยความที่ว่าเค้าอยากให้เราเห็นว่าวันๆเค้าไปไหนทำอะไรบ้างและไม่อยากให้เราอยู่บ้านเบื่อๆเค้าก็ให้เราไปด้วยค่ะ กฎก็คือห้ามเรียกที่รัก ห้ามส่งตาหวาน ห้ามเดินจับมือ หน้าที่เราต้องถือกระเป๋าโน้ตบุคและเอกสารเดินตามเค้าค่ะซึ่งเราก็โอเค บางทีไปตีกอล์ฟเราก็ขับรถกอล์ฟตามเช้ายันบ่ายไม่มีบ่นค่ะเพราะเราชอบดูเค้าทำงาน

เวลาเราป่วยเค้าก็คอยดูแลนะคะหรือแม้แต่เวลาเค้าไปทำงานบางที่ที่เราไปด้วยไม่ได้เค้าก็จะมีของมาฝากตลอดทั้งขนมไทย ผลไม้ไทยค่ะเค้าช่างสังเกตุว่าเราชอบอะไรแบบไหนสีอะไร  มีครั้งนึงที่เราปลื้มมากคือลุคเค้าจะขรึมๆหน่อยนะคะวันนึงเค้ากลับมาพร้อมกับตุ้กตาคิตตี้ตัวขนาดพอกอดได้เลยค่ะเร้าบอกว่าขับรถผ่านร้านเค้าจำได้ว่าเราเคยบอกว่าเราชอบไอ้ตัวนี้เค้าเลยซื้อมาให้ตอนไปซื้อคนขายยังถามเลยว่าซื้อไปฝากลูกสาวหรอเค้าก็ขำค่ะ

เรื่องเงินเค้าให้เครดิตการ์ดเราไว้ช้อปปิ้งออนไลน์ค่ะ เราชอบแต่งตัวสั่งกระเป๋า น้ำหอม อะไรมาเต็มบ้านจนเค้ารื้อห้องนอนรับแขกเป็นห้องเก็บเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋าให้เรา เวลาเดินทางไปไหนมาไหนขึ้นรถปุ้บ เราหลับเค้าก็ไม่เคยว่าค่ะ เค้าไม่ทานแอลกอฮอล์แต่บางทีเราก็ขอดื่มไวน์แก้ว สองแก้วเค้าก็โอเคนะคะให้เราดื่ม เค้าดูแลเหมือนพ่อดูแลลูก ขับรถไปแอบลูบหัวเราบางทีเราแกล้งหลับก้อมาแอบหอมแก้มเรา เวลาไปพัก รร ต้องเปิดห้องเค้าก็จะชอบใช้ชื่อเรานามสกุลเค้าไม่ก็ชื่อเค้าบวกชื่อเราตลอดค่ะ

หลายสิ่งหลายอย่างที่เค้าทำมันทำให้เราแน่ใจว่าเราอยากจะฝากชีวิตไว้กับเค้าจริงๆ เรื่องสำคัญคือเค้าไม่ดื่มแต่สูบบุหรี่ตอนทำงานวันละไม่เกิน5มวล พอเราย้ายเข้าบ้านเค้าแรกๆเค้าก็ปิดห้องทำงานเปิดหน้าต่างสูบค่ะเพราะกลัวกลิ่นรบกวนเรา เราบอกว่าเราไม่ชอบกลิ่นบุหรี่ หลังจากนั้นประมาณ10วันเค้าก็เลิกสูบจนเราถามว่าไม่สูบบุหรี่แล้วหรอเค้าบอกว่าลดละมาประมาณอาทิตย์นและ2-3วันมานี่ก็สูบแค่ครึ่งมวลค่ะเค้าจะเลิก เค้าบอกว่าเพื่อเราเพื่อลูกในอนาคตด้วย

เค้าชอบวางแผนอนาคตค่ะเค้าบอกว่าเค้าอยากมีลูกกับเรา อยากสร้างสนามเด็กเล่นให้ลูกตรงหลังบ้านที่ว่างเยอะแยะ เค้ามีอพาทเม้นต์ที่แมนฮัตตัน ซึ่งราคาสูงมากทีเดียวเค้าอาจจะขายมาซื้อบ้านอีกหลังที่โน่นที่รัฐอื่นเอาไว้พาลูกๆไปพักผ่อน และอีกส่วนก็ซื้อบ้านไว้ที่ไทยจะได้พาลูกๆไปเยี่ยมคุณยาย เรากับเค้าชอบคุยกันเรื่องลูกๆค่ะ ตั้งใจว่าจะแต่งงานแล้วมีลูกเลย

สำหรับเราเค้าใช่ตั้งแต่วันที่เค้าพาเราออกมาจากบ้านและเค้าจับมือเราไว้3-4ชม ตอนขับรถไม่ได้ปล่อยเลยค่ะ ทุกครั้งที่เราเครียดเค้าก็จะมีอะไรน่ารักๆเซอร์ไพร้ให้เราเสมอ บางทีก็แค่เลิกงานไวกลับมาเซอร์ไพร์ที่บ้าน แอบจองร้านทำผมไว้ให้บ้าง แอบจองร้านอาหารจัดโต๊ะพิเศษๆไว้บ้าง ทุกๆวันเราเหมือนเราเป็นคนพิเศษมากๆเลยค่ะ

วันนึงเค้าพาเราไปที่ร้านอาหารไทยที่เราชอบไปเค้าก็แอบเอาแหวนมาสวมให้ค่ะ บอกว่ายังงัยเค้าก็จะแต่งขอจองไว้ก่อนนะเป็นพลอยไพลินมีเพชรเล็กๆล้อมรอบค่ะที่เป็นพลอยไพลินเพราะเราชื่อไพลินค่ะเค้าเคยถามความหมายของชื่อเราเลยบอกเค้าไป เค้าบอกว่าแหวนนี้ตรงกลางเป็นเราส่วนเพชรเล็กๆที่รอบนั้นเป็นตัวเค้าเค้าอยากจะขออยู่รอบๆเราปกป้องดูแลเราตลอดไปค่ะ แต่เสียดายที่แหวนมันหลวมไปเค้ากะนิ้วเราผิดขนาดค่ะเพราะเรามือเล็กมากเค้าเลยบอกว่าให้ใส่นอนไปก่อนนะพรุ่งนี้เค้าจะเอาไปเปลี่ยนร้านให้

คืนนั้นเองค่ะเรารู้สึกไม่ค่อยสบายจึงขอนอนอีกห้องเพราะเราไม่อยากให้เค้าติดหวัดเพราะเค้าต้องทำงานมันจะลำบากเค้าค่ะเค้าเลยจุดเตาผิงไว้ด้านล่างของบ้านและนั่งทำงานในห้องออฟฟิต ประมาณตี2 ไฟไหม้บ้านค่ะ เรารู้สึกร้อนมากด้วยฤทธิ์ยาเราเบลอมากค่ะเหมือนกึ่งๆว่าฝัน เราได้ยินเสียงเร้าตะโกนว่าให้ออกจากบ้านเดี๋ยวนี้เราลืมตาหายใจไม่ได้เลยค่ะควันหนามาก เราได้เอาจมูกไปแนบกับหน้าต่างมุ้งลวดเพื่อหายใจ พยายามงัดหน้าต่างก็ไม่ออก รู้สึกว่าเท้าก็ร้อน มองไม่เห็นทางด้วยค่ะ มองไปเป็นเปลวไฟส้มๆไปหมด เราคิดว่าเราคงตายแน่แท้แล้วเพราะห้องเรามันอยู่ชั้นสองตรงเยื้องๆกับชั้นล่างตรงเตาผิงพอดีเลยค่ะ เค้าเรียกชื่อเรา บอกเราออกมาจากห้องเราพูดไม่ได้ค่ะควันเข้าปากเข้าคอมันส่งเสียงออกจากลำคอไม่ได้เลย พยายามจะเดินออกแสบตามากหายใจไม่ได้เหมือนกำลังโพล้เพล้จากความเป็นความตายคิดถึงที่บ้านมากค่ะตอนนั้นถึงกับขออโหสิให้ทุกคนแล้วก็เหมือนจะหมดสติ(ตั้งแต่เกิดไม่เคยเป็นลมหรือวูบมาก่อนค่ะ) รู้สึกตัวอีกทีเรานั่งอยู่นอกบ้านแล้ว ดับเพลิงก็มาแล้วเราอาเจียรออกมามีแต่เขม่าดำๆออกมา น่ากลัวมากค่ะ ทั้งเนื้อทั้งตัวเรามีแค่ชุดนอนติดมาค่ะ รองเท้าเสื้อแขนยาวไม่มี คืนนั้นหิมะตกด้วย แล้วเค้าก็เดินมาหาเราพร้อมกับเสื้อแขนยาวของเค้ากับรองเท้าคู่โตของเค้าให้เราใส่ เค้าลูบหัวเรา ยิ้มให้เราแต่แววตาเค้าดูเศร้ามากค่ะ คืนนั้นกว่าดับเพลิงจะทำงานเสร็จก็เกือบตี4ไปแล้ว สภาพบ้านไหม้ไปเกินหกสิบเปอร์เซนต์ค่ะ ห้องที่เรานอนก็มอดไปเกินครึ่ง ตั้งแต่คืนนั้นเรารักเค้าหมดทั้งใจเลยค่ะเพราะเค้าช่วยเราออกมา ถ้าเค้าเห็นแก่ตัวอีกนิดเค้าทิ้งเราไว้เราก็คงตายค่ะ ไม่รู้เค้าตามหาเราเจอได้ยังงัย พาเราลงมาทางไหนแต่เราจำได้ลางๆว่าเราลงมาก่อนที่ดับเพลิงหรือรถตำรวจจะมาถึง เราสัญญากับตัวเองว่ายังงัยเราก็จะไม่ทิ้งเค้า

หลังจากคืนนั้นเราก็ต้องเร่ร่อนพักตาม รร ต่างๆไปก่อนค่ะ และทนายของบริษัทเค้าก็ขอว่าให้เรากลับไปไทยก่อนค่อยทำเรื่องเอาเรากลับมาเพราะงานส่วนใหญ่ที่เค้าทำมันของรัฐ ถ้าเค้าสอบสวนมามันจะแย่ตรงที่เราจะมาแต่งเอาใบในระหว่างที่ออกจากโรงเรียนมา มันเหมือนช่วยคนที่จะอยู่ผิด กม ให้อยู่ต่อน่ะค่ะเราก็ไม่เข้าใจแต่ทนายเค้าขอมาและเราก็คิดถึงบ้านมากแล้วด้วยเลยยอมกลับค่ะ

กลับมาไทยได้ซักเดือนนึงเค้าบอกว่าเค้ารู้สึกไม่สบายค่ะปวดท้องเลยไปหาหมอตรวจเจอมะเร็งระยะที่สามค่อนข้างแย่หมอสั่งงดเดินทางและให้คีโมด่วนค่ะช่วงนั้นเราและเค้าแย่มากแต่ก็ให้กำลังใจกัน ผ่านไป3เดือนอาการเค้าเริ่มดีขึ้นแต่หมอยังงดเดินทางอยู่ค่ะเพราะอยู่ในระหว่างการรักษาเข้าๆออๆ รพ ประจำ เค้าแอบที่บ้านบินมาหาเราที่ไทย มาแค่3วันเท่านั้นค่ะ เพราะตัวเค้ายังต้องเข้าๆออกๆ รพ ตลอด เค้าบอกเราว่าในเมื่อเราขอวีซ่าไปยากเค้ามาง่ายเค้าจะมาหาเองเค้าไม่อยากรออะไรต่อไปอีกแล้ว เค้าเดินทางมาที่บ้านเราที่ต่างจังหวัดและขอเราหมั้นอีกครั้งกับที่บ้านเราโดยแหวนวงที่เคยให้เราเค้าไม่ได้เอามาไทยด้วยค่ะเลยต้องซื้อแหวนใหม่ที่ไทย เค้าเลือกให้เรา2วง วงนึงราคาสูงมากค่ะซื้อรถได้เลยเค้าบอกว่าเอาไว้ใส่ออกงานจะได้ไม่อายเพื่อนๆ อีกวงใส่ติดตัวไว้เพราะมันไม่มีราคาค่างวดมากมายอะไร เราปฏิเสธวงใหญ่แต่เค้าก็ไม่ยอมค่ะ เราก็ตามใจเค้าค่ะเพราะตั้งแต่คบกันมาเราไม่เคยขออะไรเลยเค้าคิดว่าเค้าอยากให้อะไรเค้าก็ให้ เค้าบอกว่าตอบแทนที่เราดูแลเค้า ไม่เคยเหวี่ยง ไม่งอแงเวลาเค้าทำงาน และเข้าใจสถานการณ์ในชีวิตเค้าทุกอย่าง เราสองคนจัดงานหมั้นที่ รร งานไม่ใหญ่มากแต่ก็ให้เหมาะสมกับหน้าตาทางบ้านเรา(บ้านเราไม่ได้รวยนะคะแต่แม่และญาติๆทุกคนรับราชการหมดเค้าก็จะห่วงเรื่องหน้าตาน่ะค่ะ)  ช่วงเวลา3วันเค้าดูเปลี่ยนไปค่ะคือผมร่วงจากการทำคีโม ผอมลงน่าจะเป็นสิบโลได้เพราะเมื่อก่อนเค้าจะกล้ามค่อนข้างเยอะตัวสูงสามส่วนค่ะแต่มารอบนี้ดูซูบลงไปมาก เค้าต้องทานยาตลอดและนอนเยอะมากอาจจะเพราะเจทแลคด้วยและเพราะเค้าป้วยด้วย ตอนเค้าหลับเราก็นั่งมองเค้ารู้รักรักและเอ็นดูอยากดูแลผู้ชายคนนี้ไปตลอดไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นค่ะ จนวันที่เค้ากลับเราก็นั่งเครื่องจาก ตจวไปส่งเค้าที่กรุงเทพรอจนเครื่องเค้าออก

กลับไปเดือนแรกเค้ากำลังให้ทนายช่วยทำเอกสารจะเอาเรากลับไปเพราะก่อนเรากลับมาวีซ่าจากทาง รร หมดแล้วและเราไม่ได้แต่งงานที่นั่นทันที นั่นก็หมายถึงถ้าเราทำเรื่องเองเราจะกลับไปไม่ได้ค่ะต้องให้เค้าข่วยส่งเอกสารทั้งหมดยืนยันว่าก่อนกลับเรากับเค้าอยู่ด้วยกันจริงและเราไม่ได้หนีวีซ่า โดยทางทนายอิมมิเกรชั่นบอกว่าเราต้องใช้เอกสารจาก รพ ว่าแฟนเราป่วยและอีกหลายๆอย่างที่แฟนเราต้องเตรียมซึ่งเค้าก็โอเคและดีใจค่ะที่เราจะกลับไปดูแลเค้าจนถึงวันที่ต้องให้คีโมอีกครั้ง เค้าก็ไปพักที่ รพ และสไก้มาหาเราบอกว่ารู้สึกอาการไม่ค่อยดีเลยดีนะมีแหวนหมั้นอยู่กับเค้าเป็นกำลังใจให้เค้า เค้ารับรู้ได้ว่าเราอยู่ข้างๆเค้าเสมอ เค้าก็โชว์แหวนของเค้าค่ะและเงียบหายไป2วัน (นอน รพ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่