คำเตือน : รีวิวนี้ยาวมากครับ
ก่อนอื่นขอเกริ่นก่อนนะครับว่าผมก็ไม่ใช่กูรู หรือเทพเทิพอะไรในวงการการโทรศัพท์มากนัก แค่ผู้ใช้ธรรมด๊า ธรรมดา ที่ใช้แล้วประทับใจเลยอยากจะมาแชร์ให้เพื่อนๆ พี่ๆ ได้ดูข้อมูลกัน
โทรศัพท์ที่ผมใช้ที่ผ่านมาในรอบ 6 ปีนี้ ก็มี W810i, SS S3, Lumia 920 เพราะงั้น บางอย่างในรีวิวนี้ ผมก็จะอ้างอิงกับประสบการณ์ที่ผ่านมากับรุ่นเหล่านี้เท่านั้นนะครับ
ทำไมถึงตัดสินใจซื้อ Xiaomi MI2?
จะว่าเป็นรักแรกพบก็ได้ 555+ เพราะทันทีที่เห็น MIUI ที่ครอบอยู่บน Android ของมันที่มีหน้าตาน่ารัก น่าชัง ก็ทำให้ผมปิ๊ง อยากได้มาครอบครองในทันที แต่ติดตรงที่มันเป็นแบรนด์จีน แล้วมันจะมีปัญหาอะไรหรือเปล่า? (จริงๆ MIUI Rom ก็ flash ใช้บนมือถือก็ได้นะ แต่ผมคิดว่า ถ้าจะใช้ MIUI ก็น่าจะใช้โทรศัพท์ของบริษัทเค้าที่ผลิตมาให้ใช้ MIUI โดยตรงเลยดีกว่า)
หลายคนมองว่าของจีนมันพังง่าย (รวมถึงผมด้วย) พอได้ยินชื่อ Xiaomi ครั้งแรก ก็คิดว่ามันก็คงเหมือนพวกที่ผลิตสินค้าจีนทั่วๆ ไป แต่พอได้ค้นหาข้อมูลอย่างจริงจังแล้วพบว่า ค่ายนี้ก็ไม่เลวเลยแฮะ ค่อนข้างดังในจีนมากๆ (เพราะทำตลาดอยู่แต่ในจีน) และโทรศัพท์ที่ผลิตออกมาก็ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า แถมผลตอบรับยังดีอีกด้วย และยิ่งอ่านข้อมูลตามคอมมิวนิตี้ต่างๆ ก็ยิ่งเชื่อมั่นในตัว Xiaomi MI2 ขึ้นไปอีกว่ามันไม่พังง่ายๆ แน่ เพราะเท่าที่ผ่านมาตั้งแต่มันเปิดตัว ปัญหาการใช้งานส่วนใหญ่จะเป็นเกี่ยวกับบัคต่างๆ และซอฟแวร์ทั้งนั้น (และส่วนใหญ่ก็เป็นปัญหาที่จิ๊บจ๊อยมาก) ส่วนเรื่องฮาร์ดแวร์เรียกได้ว่าแทบจะไม่มีปัญหาเลยก็ว่าได้ ตอนนี้ก็เลยจัด MI2 มาไว้ในครอบครองในที่สุด อิอิ
มาดู Spec กับภาพด้านนนอกแบบคร่าวๆ กัน
ตัว Xiaomi MI2 นั้น มากับ CPU Qualcomm APQ8064 Snapdragon S4 Pro @ Quad-Core 1.5 Ghz Krait พร้อมกับ Ram 2 GB หน่วยความจำภายใน 16/32 GB (แล้วแต่เลือก) ระบบประมวลผล Graphic Adreno 320 หน้าจอขนาด 4.3" ความละเอียด 720 x 1280 pixels (~342 ppi pixel density) ติดมาด้วยกระจกกันรอย Dragon Trail (แบรนด์เอชีย คุณภาพเทียบเท่า Gorilla glass 2) แบตเตอรี่ Li-Ion ขนาด 2000 mAh (แต่เปลี่ยนเป็น 3100 mAh ได้)
สัมผัสแรก ก็รู้สึกได้ทันทีถึงงานประกอบที่แจ่มจรัส (แต่วัสดุอาจไม่ถูกใจขา Premium เท่าไหร่นัก) งานประกอบดีมาก ดูแน่นหนา สมกับที่ผลิตออกมาในจำนวนที่เกือบจะเรียกได้ว่า ผลิตตามจำนวนที่มีการสั่ง order เท่านั้น และด้วยขนาดหน้าจอที่ไม่ใหญ่จนเกินไป (แต่บางคนอาจไม่ชอบ) ทำให้ตัวมันเองมีขนาดที่พอดีมือ ซึ่งถูกใจผมมากๆ เพราะมันสะดวกในการพกใส่กระเป๋ากางเกง (ยีนส์) แล้วทำให้ไม่รู้สึกรำคาญเท่ากับพวกจอใหญ่ๆ และนำหนักของมันก็กำลังพอดี ไม่หนักเท่าไหร่นัก (หนักกว่า S3 แต่เบากว่า 920)
ด้านบนของเครื่องจะประกอบไปด้วย เซ็นเซอร์ต่างๆ เช่น เซ็นเซอร์รับแสง (ซึ่งทำงานได้ดี) กล้องหน้าขนาด 2MP ที่ถ่ายออกมาแล้วชัดพอสมควร (หาก +Camera 360 เข้าไปก็หล่อเลย 555+) ลำโพงสนทนาที่ดังค่อนข้างมาก หากปรับสุดอาจหูแตกตายได้ (ล้อเล่นนะครับ แต่มันดังจริงๆ) ด้านซ้ายบนมีช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5mm อยู่
ด้านขวามือเป็นแบบเรียบๆ มีปุ่มเพิ่ม/ลดเสียง และปุ่ม Power อยู่ ส่วนด้านซ้ายเรียบกว่า เพราะมันไม่มีอะไรเลย 555+
ด้านล่างจะเป็นปุ่มแบบสัมผัส 3 ปุ่ม ที่มีสัญลักษณ์แต่ละปุ่มฝังอยู่ (มันไม่ได้นูนขึ้นมา) ไม่มี backlit (ตรงนี้บางคนอาจไม่ชอบ เพราะตอนมืดๆ มันจะมองไม่เห็น) ไฟ LED อยู่ข้างใต้ปุ่ม Home มีหลายสี จากที่ใช้ดูก็จะมี สีขาว สีส้ม สีแดง สีเขียว สีน้ำเงิน ลักษณะจะค่อยๆ fade in/out ไม่กระพริบปริบๆ
ส่วนด้านล่างเป็นไมค์สนทนา และ microUSB ซึ่งใช้เป็น port MHL เพื่อต่อ HDMI ได้ด้วย แต่รูด้านซ้ายสุดคืออะไรผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน - -*
ฝาหลังเป็นพลาสติกแบบ glossy สีขาว (สามารถเปลี่ยนได้) สัมผัสคล้าย S3 แต่ให้ความรู้สึกดีกว่า (ความเห็นส่วนตัว) มีสัญลักษณ์ MI ด้านล่าง ส่วนด้านบนเป็น กล้องความละเอียด 8MP ขนาดรูรับแสง 2.0 และลำโพง กับ ไฟ LED แฟลช (เรื่องกล้องอ่านด้านล่างๆ จ้า)
หากกดๆ ดูตรงฝาหลังจะมีเสียงกร๊อบแกร็บนิดหน่อยตรงฝั่งซ้ายบน แต่ไม่มีปัญหาเรื่องการใช้งาน เพราะเป็นเสียงของพลาสติกฝาหลังกับช่องว่างตรงนั้น
ถอดฝาหลังออกจะเป็นที่ใส่แบตเตอรี่ขนาด 2000 mAh ช่องใส่ซิม และรหัสจากโรงงานต่างๆ เช่น IMEI , SN (ขอเซ็นเซอร์ไว้)
ฝาหลังอย่างที่บอกไปว่าสามารถเปลี่ยนได้หลายแบบ หลายสี และแบตสามารถเปลี่ยนเป็นขนาด 3100 mAh โดยจะมีฝาหลังแยกให้ต่างหาก ซึ่งหากเปลี่ยนจะทำให้ตัวเครื่องมีขนาดหนาขึ้น 0.2 mm
หน้าตา MIUI และฟังค์ชันการใช้งานต่างๆ (Interface, Setting, Sound, Camera)
เนื่องด้วยมันพ่วงมากับ CPU 4 Core พร้อม Ram 2GB และ Graphic chip ระดับสูง บวกกับ ROM MIUI ที่มีการพัฒนามาค่อนข้างนานแล้ว (โดย Xiaomi เอง) ทำให้การใช้งานลื่นไหล ไม่มีกระตุก การเปิดปิดแอพพลิเคชัน การเล่นเกม การเปิด multitasking ลื่นไหลกว่า S3 ค่อนข้างมาก
Interface ใช้งานค่อยข้างง่าย คล้าย Android+iOS เพราะ App Tray ถูกตัดออกไป ทำให้ application ต่างๆ ไปรวมอยู่ที่หน้า Screen หลักทั้งหมด
มีวิทยุ FM ในตัว
App การจัดการต่างๆ ซึ่งมี App ที่ใช้ดูการใช้ Data และจำกัดการใช้ Data ได้ด้วย
การเคลียร์แรมทำได้ง่ายดาย โดยกดปุ่ม Home ค้างไว้ก็จะขึ้นมา ทั้ง Recent App และ ปุ่มเคลียร์แรม (หรือจะสร้าง Widget ที่ใช้เคลียร์แรมไว้ที่หน้าจอก็ได้)
ผลทดสอบคะแนนจาก Antutu (โดยเครื่องผมเอง) ในโหมด Performance (เครื่องปรับได้ 3 ระดับคือ power saving, normal, performance) และคะแนนเทียบกับโทรศัพท์แบรนด์อื่นๆ
ธีม MIUI ก็มีให้เลือกมากมาย มีทั้งแบบเสียตังกับไม่เสียตัง หรือจะนำธีมมาผสมกันก็ได้ (เป็นต้นว่าอย่างของผม ใช้ธีมนึงไปรวมกับ Icon ของอีกธีมนึง)
มาร์เกตที่ติดมากับเครื่องจะเป็นมาร์เก็ตจีน แต่ก็สามารถโหลด Playstore มาติดตั้งได้ภายหลัง
หน้าตา Setting Interface มีให้เลือกแบบ Complete กับ Common
เมื่อปัด Notification ด้านบนลงมาก็จะเป็นหน้าตาแบบนี้ โดยจะแยก Notifications กับ Toggles แต่ก็สามารถปรับเปลี่ยนให้แสดงผลแบบรวมกันในหน้าเดียวได้
หน้าตา Dialpad (ขึ้นอยู่กับธีม) สามารถบล็อกเลขหมายที่ไม่ต้องการได้ และเปิด/ปิด การแจ้งเตือนแบบสั่น เมื่อปลายทางรับสายหรือวางสายได้ (ไม่มีรูปให้ดูนะครับ ไม่ได้เซฟ)
หน้าตา Interface การจัดการไฟล์ใน File Explorer
ระบบเสียงของเจ้าตัวนี้เป็นอะไรที่สุดยอดมาก เพราะมันมาพร้อมกับ Dolby Digital Plus (เช็คโทรศัพท์รุ่นที่รองรับได้ที่เว็บ dolby โดยตรง) ตอนแรกก็ไม่ได้คาดหวังอะไรเท่าไหร่ แต่เมื่อได้ฟังแล้วต้องยอมรับว่า เสียงมันดีจริงๆ แต่ไม่ค่อยมีคนพูดถึง เพราะงั้นผมขอพูดยาวๆ หน่อย
จากการทดสอบ (ด้วยไฟล์คุณภาพ 320kbps และ Flac) กับหูฟัง sony HPM-70 (ซึ่งให้เสียงส่วนใหญ่ไปทางอับๆ ดาร์คๆ) ที่ใช้มาเกือบๆ 6 ปี (แถมมากับ W810i) เปรียบเทียบกับ Lumia 920 ที่ติด Dolby มาเหมือนกัน และ S3 ที่ใส่ชิป Wolfson เข้ามา (ด้วยหูฟังเดียวกัน) เทสด้วยค่า Default ทั้งหมด ผลปรากฎว่า Xiaomi MI2 ทำได้ดีที่สุด (ไม่ได้ลำเอียงนะครับ) และค่อนข้างประทับใจ เสียงที่ได้มีมิติ และความโปร่งสบายมากกว่า Lumia 920 ค่อนข้างมาก (มิติ Surround ที่ได้จาก 920 จะค่อนข้างอึดอัด-อึดอัดมากๆ ในบางเพลง ซึ่งบางทีอึดอัดจนต้องปิด ระบบ Dolby ไปเลยก็มี) เสียงยังใสไม่เท่า S3 แต่ S3 จะเสียงไม่โปร่งและมิติแคบมาก โดยเสียงส่วนใหญ่จะอยู่แค่บริเวณแถวๆ หน้าผากเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีความรู้สึกว่ามันอึดอัดบ้างนิดหน่อยในบางเพลง (แต่ไม่เท่า 920)
หน้าตา Interface ของ EQ
ในส่วนของเครื่องเล่นเพลงที่ติดมา สามารถหาหน้าปกและเนื้อร้องของเพลงนั้นๆ มาแสดงได้ด้วย
นอกจากนี้ยังมี Streaming ที่ให้ฟังแบบ online ได้ โดยส่วนใหญ่จะเป็นเพลงจีน แต่เพลงฝรั่งก็มีค่อนข้างมากเช่นกัน
นอกจากลองในเครื่องเล่นเพลงที่ติดมาแล้ว ก็ไปลองกันใน app PowerAmp ด้วย (เพราะมันปรับ EQ ได้ค่อนข้างยืดหยุ่นกว่า และสามารถ Enable Dolby ได้ด้วย) แต่คราวนี้ไม่ได้เทสด้วย Default จึงไม่เทียบกับตัวอื่นนะครับ จากการทดสอบปรากฎว่า เสียงที่ได้จากการ Enable dolby แล้วนั้น จะได้เสียงที่มีมิติกว้างกว่าเดิม ทำให้รู้สึกโปร่งสบายกว่าเดิมมากๆ โปร่งถึงขนาดว่าไม่รู้สึกว่าใส่หูฟังอยู่เลย (อย่างที่บอกไปว่าถ้าเป็นเครื่องเล่นเพลงที่ติดมาจะยังคงรู้สึกอึดอัดบ้างนิดหน่อย) แต่เสียงที่ได้ยังคง Surround เหมือนเครื่องเล่นเพลงที่ติดมา เสียงจะเหมือนกับการมีวงดนตรีมานั่งเล่นอยู่ล้อมรอบตัวเรา จนถึงขนาดที่สามารถบอกได้ว่าเครื่องดนตรีชิ้นนั้นตั้งอยู่ตรงไหน ระยะไกลเท่าไหร่
ปล. ทั้งนี้เป็นความรู้สึกจากผมเท่านั้นนะครับ บางคนอาจฟังแล้วไม่รู้สึกเหมือนผมก็ได้
เดี๋ยวต่อด้านล่างครับ ตัวหนังสือมันเกิน
[CR] ยิ่งรู้จัก ยิ่งรัก ยิ่งหลง !! Xiaomi MI2 มือถือสุดเทพจากจีน เทียบชั้น High-end แบรนด์ดัง (รีวิวฉบับ คม ชัด ไม่ลึก)
ก่อนอื่นขอเกริ่นก่อนนะครับว่าผมก็ไม่ใช่กูรู หรือเทพเทิพอะไรในวงการการโทรศัพท์มากนัก แค่ผู้ใช้ธรรมด๊า ธรรมดา ที่ใช้แล้วประทับใจเลยอยากจะมาแชร์ให้เพื่อนๆ พี่ๆ ได้ดูข้อมูลกัน
โทรศัพท์ที่ผมใช้ที่ผ่านมาในรอบ 6 ปีนี้ ก็มี W810i, SS S3, Lumia 920 เพราะงั้น บางอย่างในรีวิวนี้ ผมก็จะอ้างอิงกับประสบการณ์ที่ผ่านมากับรุ่นเหล่านี้เท่านั้นนะครับ
ทำไมถึงตัดสินใจซื้อ Xiaomi MI2?
จะว่าเป็นรักแรกพบก็ได้ 555+ เพราะทันทีที่เห็น MIUI ที่ครอบอยู่บน Android ของมันที่มีหน้าตาน่ารัก น่าชัง ก็ทำให้ผมปิ๊ง อยากได้มาครอบครองในทันที แต่ติดตรงที่มันเป็นแบรนด์จีน แล้วมันจะมีปัญหาอะไรหรือเปล่า? (จริงๆ MIUI Rom ก็ flash ใช้บนมือถือก็ได้นะ แต่ผมคิดว่า ถ้าจะใช้ MIUI ก็น่าจะใช้โทรศัพท์ของบริษัทเค้าที่ผลิตมาให้ใช้ MIUI โดยตรงเลยดีกว่า)
หลายคนมองว่าของจีนมันพังง่าย (รวมถึงผมด้วย) พอได้ยินชื่อ Xiaomi ครั้งแรก ก็คิดว่ามันก็คงเหมือนพวกที่ผลิตสินค้าจีนทั่วๆ ไป แต่พอได้ค้นหาข้อมูลอย่างจริงจังแล้วพบว่า ค่ายนี้ก็ไม่เลวเลยแฮะ ค่อนข้างดังในจีนมากๆ (เพราะทำตลาดอยู่แต่ในจีน) และโทรศัพท์ที่ผลิตออกมาก็ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า แถมผลตอบรับยังดีอีกด้วย และยิ่งอ่านข้อมูลตามคอมมิวนิตี้ต่างๆ ก็ยิ่งเชื่อมั่นในตัว Xiaomi MI2 ขึ้นไปอีกว่ามันไม่พังง่ายๆ แน่ เพราะเท่าที่ผ่านมาตั้งแต่มันเปิดตัว ปัญหาการใช้งานส่วนใหญ่จะเป็นเกี่ยวกับบัคต่างๆ และซอฟแวร์ทั้งนั้น (และส่วนใหญ่ก็เป็นปัญหาที่จิ๊บจ๊อยมาก) ส่วนเรื่องฮาร์ดแวร์เรียกได้ว่าแทบจะไม่มีปัญหาเลยก็ว่าได้ ตอนนี้ก็เลยจัด MI2 มาไว้ในครอบครองในที่สุด อิอิ
มาดู Spec กับภาพด้านนนอกแบบคร่าวๆ กัน
ตัว Xiaomi MI2 นั้น มากับ CPU Qualcomm APQ8064 Snapdragon S4 Pro @ Quad-Core 1.5 Ghz Krait พร้อมกับ Ram 2 GB หน่วยความจำภายใน 16/32 GB (แล้วแต่เลือก) ระบบประมวลผล Graphic Adreno 320 หน้าจอขนาด 4.3" ความละเอียด 720 x 1280 pixels (~342 ppi pixel density) ติดมาด้วยกระจกกันรอย Dragon Trail (แบรนด์เอชีย คุณภาพเทียบเท่า Gorilla glass 2) แบตเตอรี่ Li-Ion ขนาด 2000 mAh (แต่เปลี่ยนเป็น 3100 mAh ได้)
สัมผัสแรก ก็รู้สึกได้ทันทีถึงงานประกอบที่แจ่มจรัส (แต่วัสดุอาจไม่ถูกใจขา Premium เท่าไหร่นัก) งานประกอบดีมาก ดูแน่นหนา สมกับที่ผลิตออกมาในจำนวนที่เกือบจะเรียกได้ว่า ผลิตตามจำนวนที่มีการสั่ง order เท่านั้น และด้วยขนาดหน้าจอที่ไม่ใหญ่จนเกินไป (แต่บางคนอาจไม่ชอบ) ทำให้ตัวมันเองมีขนาดที่พอดีมือ ซึ่งถูกใจผมมากๆ เพราะมันสะดวกในการพกใส่กระเป๋ากางเกง (ยีนส์) แล้วทำให้ไม่รู้สึกรำคาญเท่ากับพวกจอใหญ่ๆ และนำหนักของมันก็กำลังพอดี ไม่หนักเท่าไหร่นัก (หนักกว่า S3 แต่เบากว่า 920)
ด้านบนของเครื่องจะประกอบไปด้วย เซ็นเซอร์ต่างๆ เช่น เซ็นเซอร์รับแสง (ซึ่งทำงานได้ดี) กล้องหน้าขนาด 2MP ที่ถ่ายออกมาแล้วชัดพอสมควร (หาก +Camera 360 เข้าไปก็หล่อเลย 555+) ลำโพงสนทนาที่ดังค่อนข้างมาก หากปรับสุดอาจหูแตกตายได้ (ล้อเล่นนะครับ แต่มันดังจริงๆ) ด้านซ้ายบนมีช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5mm อยู่
ด้านขวามือเป็นแบบเรียบๆ มีปุ่มเพิ่ม/ลดเสียง และปุ่ม Power อยู่ ส่วนด้านซ้ายเรียบกว่า เพราะมันไม่มีอะไรเลย 555+
ด้านล่างจะเป็นปุ่มแบบสัมผัส 3 ปุ่ม ที่มีสัญลักษณ์แต่ละปุ่มฝังอยู่ (มันไม่ได้นูนขึ้นมา) ไม่มี backlit (ตรงนี้บางคนอาจไม่ชอบ เพราะตอนมืดๆ มันจะมองไม่เห็น) ไฟ LED อยู่ข้างใต้ปุ่ม Home มีหลายสี จากที่ใช้ดูก็จะมี สีขาว สีส้ม สีแดง สีเขียว สีน้ำเงิน ลักษณะจะค่อยๆ fade in/out ไม่กระพริบปริบๆ
ส่วนด้านล่างเป็นไมค์สนทนา และ microUSB ซึ่งใช้เป็น port MHL เพื่อต่อ HDMI ได้ด้วย แต่รูด้านซ้ายสุดคืออะไรผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน - -*
ฝาหลังเป็นพลาสติกแบบ glossy สีขาว (สามารถเปลี่ยนได้) สัมผัสคล้าย S3 แต่ให้ความรู้สึกดีกว่า (ความเห็นส่วนตัว) มีสัญลักษณ์ MI ด้านล่าง ส่วนด้านบนเป็น กล้องความละเอียด 8MP ขนาดรูรับแสง 2.0 และลำโพง กับ ไฟ LED แฟลช (เรื่องกล้องอ่านด้านล่างๆ จ้า)
หากกดๆ ดูตรงฝาหลังจะมีเสียงกร๊อบแกร็บนิดหน่อยตรงฝั่งซ้ายบน แต่ไม่มีปัญหาเรื่องการใช้งาน เพราะเป็นเสียงของพลาสติกฝาหลังกับช่องว่างตรงนั้น
ถอดฝาหลังออกจะเป็นที่ใส่แบตเตอรี่ขนาด 2000 mAh ช่องใส่ซิม และรหัสจากโรงงานต่างๆ เช่น IMEI , SN (ขอเซ็นเซอร์ไว้)
ฝาหลังอย่างที่บอกไปว่าสามารถเปลี่ยนได้หลายแบบ หลายสี และแบตสามารถเปลี่ยนเป็นขนาด 3100 mAh โดยจะมีฝาหลังแยกให้ต่างหาก ซึ่งหากเปลี่ยนจะทำให้ตัวเครื่องมีขนาดหนาขึ้น 0.2 mm
หน้าตา MIUI และฟังค์ชันการใช้งานต่างๆ (Interface, Setting, Sound, Camera)
เนื่องด้วยมันพ่วงมากับ CPU 4 Core พร้อม Ram 2GB และ Graphic chip ระดับสูง บวกกับ ROM MIUI ที่มีการพัฒนามาค่อนข้างนานแล้ว (โดย Xiaomi เอง) ทำให้การใช้งานลื่นไหล ไม่มีกระตุก การเปิดปิดแอพพลิเคชัน การเล่นเกม การเปิด multitasking ลื่นไหลกว่า S3 ค่อนข้างมาก
Interface ใช้งานค่อยข้างง่าย คล้าย Android+iOS เพราะ App Tray ถูกตัดออกไป ทำให้ application ต่างๆ ไปรวมอยู่ที่หน้า Screen หลักทั้งหมด
มีวิทยุ FM ในตัว
App การจัดการต่างๆ ซึ่งมี App ที่ใช้ดูการใช้ Data และจำกัดการใช้ Data ได้ด้วย
การเคลียร์แรมทำได้ง่ายดาย โดยกดปุ่ม Home ค้างไว้ก็จะขึ้นมา ทั้ง Recent App และ ปุ่มเคลียร์แรม (หรือจะสร้าง Widget ที่ใช้เคลียร์แรมไว้ที่หน้าจอก็ได้)
ผลทดสอบคะแนนจาก Antutu (โดยเครื่องผมเอง) ในโหมด Performance (เครื่องปรับได้ 3 ระดับคือ power saving, normal, performance) และคะแนนเทียบกับโทรศัพท์แบรนด์อื่นๆ
ธีม MIUI ก็มีให้เลือกมากมาย มีทั้งแบบเสียตังกับไม่เสียตัง หรือจะนำธีมมาผสมกันก็ได้ (เป็นต้นว่าอย่างของผม ใช้ธีมนึงไปรวมกับ Icon ของอีกธีมนึง)
มาร์เกตที่ติดมากับเครื่องจะเป็นมาร์เก็ตจีน แต่ก็สามารถโหลด Playstore มาติดตั้งได้ภายหลัง
หน้าตา Setting Interface มีให้เลือกแบบ Complete กับ Common
เมื่อปัด Notification ด้านบนลงมาก็จะเป็นหน้าตาแบบนี้ โดยจะแยก Notifications กับ Toggles แต่ก็สามารถปรับเปลี่ยนให้แสดงผลแบบรวมกันในหน้าเดียวได้
หน้าตา Dialpad (ขึ้นอยู่กับธีม) สามารถบล็อกเลขหมายที่ไม่ต้องการได้ และเปิด/ปิด การแจ้งเตือนแบบสั่น เมื่อปลายทางรับสายหรือวางสายได้ (ไม่มีรูปให้ดูนะครับ ไม่ได้เซฟ)
หน้าตา Interface การจัดการไฟล์ใน File Explorer
ระบบเสียงของเจ้าตัวนี้เป็นอะไรที่สุดยอดมาก เพราะมันมาพร้อมกับ Dolby Digital Plus (เช็คโทรศัพท์รุ่นที่รองรับได้ที่เว็บ dolby โดยตรง) ตอนแรกก็ไม่ได้คาดหวังอะไรเท่าไหร่ แต่เมื่อได้ฟังแล้วต้องยอมรับว่า เสียงมันดีจริงๆ แต่ไม่ค่อยมีคนพูดถึง เพราะงั้นผมขอพูดยาวๆ หน่อย
จากการทดสอบ (ด้วยไฟล์คุณภาพ 320kbps และ Flac) กับหูฟัง sony HPM-70 (ซึ่งให้เสียงส่วนใหญ่ไปทางอับๆ ดาร์คๆ) ที่ใช้มาเกือบๆ 6 ปี (แถมมากับ W810i) เปรียบเทียบกับ Lumia 920 ที่ติด Dolby มาเหมือนกัน และ S3 ที่ใส่ชิป Wolfson เข้ามา (ด้วยหูฟังเดียวกัน) เทสด้วยค่า Default ทั้งหมด ผลปรากฎว่า Xiaomi MI2 ทำได้ดีที่สุด (ไม่ได้ลำเอียงนะครับ) และค่อนข้างประทับใจ เสียงที่ได้มีมิติ และความโปร่งสบายมากกว่า Lumia 920 ค่อนข้างมาก (มิติ Surround ที่ได้จาก 920 จะค่อนข้างอึดอัด-อึดอัดมากๆ ในบางเพลง ซึ่งบางทีอึดอัดจนต้องปิด ระบบ Dolby ไปเลยก็มี) เสียงยังใสไม่เท่า S3 แต่ S3 จะเสียงไม่โปร่งและมิติแคบมาก โดยเสียงส่วนใหญ่จะอยู่แค่บริเวณแถวๆ หน้าผากเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีความรู้สึกว่ามันอึดอัดบ้างนิดหน่อยในบางเพลง (แต่ไม่เท่า 920)
หน้าตา Interface ของ EQ
ในส่วนของเครื่องเล่นเพลงที่ติดมา สามารถหาหน้าปกและเนื้อร้องของเพลงนั้นๆ มาแสดงได้ด้วย
นอกจากนี้ยังมี Streaming ที่ให้ฟังแบบ online ได้ โดยส่วนใหญ่จะเป็นเพลงจีน แต่เพลงฝรั่งก็มีค่อนข้างมากเช่นกัน
นอกจากลองในเครื่องเล่นเพลงที่ติดมาแล้ว ก็ไปลองกันใน app PowerAmp ด้วย (เพราะมันปรับ EQ ได้ค่อนข้างยืดหยุ่นกว่า และสามารถ Enable Dolby ได้ด้วย) แต่คราวนี้ไม่ได้เทสด้วย Default จึงไม่เทียบกับตัวอื่นนะครับ จากการทดสอบปรากฎว่า เสียงที่ได้จากการ Enable dolby แล้วนั้น จะได้เสียงที่มีมิติกว้างกว่าเดิม ทำให้รู้สึกโปร่งสบายกว่าเดิมมากๆ โปร่งถึงขนาดว่าไม่รู้สึกว่าใส่หูฟังอยู่เลย (อย่างที่บอกไปว่าถ้าเป็นเครื่องเล่นเพลงที่ติดมาจะยังคงรู้สึกอึดอัดบ้างนิดหน่อย) แต่เสียงที่ได้ยังคง Surround เหมือนเครื่องเล่นเพลงที่ติดมา เสียงจะเหมือนกับการมีวงดนตรีมานั่งเล่นอยู่ล้อมรอบตัวเรา จนถึงขนาดที่สามารถบอกได้ว่าเครื่องดนตรีชิ้นนั้นตั้งอยู่ตรงไหน ระยะไกลเท่าไหร่
ปล. ทั้งนี้เป็นความรู้สึกจากผมเท่านั้นนะครับ บางคนอาจฟังแล้วไม่รู้สึกเหมือนผมก็ได้
เดี๋ยวต่อด้านล่างครับ ตัวหนังสือมันเกิน