อยากทราบกำไรของโรงหนังจากตั๋ว 1 ใบ

เห็นรายได้ พี่มากพระโขนงแล้วสงสัย

พยายามหาจาก google แล้วหาไม่ได้จริงๆครับ
เลยอยากตั้งคำถามไร้สาระ 2-3 คำถาม มาถามชาวสินธร และเฉลิมไทยว่า

1.ตั๋วหนังที่จำหน่าย 1 ใบ major ได้กำไรกี่บาท
2.major กับ EGV ได้กำไรจากตั๋วหนัง 1 ใบ เท่ากันหรือเปล่า แล้วโรงหนังในพารากอน,house,สกาล่า,ลิโด้ ได้กำไรต่างจากนี้มากหรือเปล่า
3.สัดส่วนรายได้ของการขาย popcorn และค่าเช่าที่ในโรงหนัง มีรายได้ใกล้เคียงค่าชมภาพยนต์หรือเปล่า
4.ทำไมเครือ major ที่รวมกับเครือ EGV แล้ว ทำไมยังแยก brand major,EGV,SF, เซ็นจูรี่
5.ในระยะยาว major น่าลงทุนหรือเปล่า ตลาดจะขยายได้แค่ไหน อีกนานแค่ไหนจะมีหนังรายได้ดีแบบพี่มากมาอีก
6.การที่ตั๋วโครตแพง และรายได้ 300 บาท ทำให้ major น่าสนใจหรือเปล่าครับ

ขอบคุณสำหรับคำตอบครับ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 5
ยอดเงินที่มีการลงข่าวประชาสัมพันธ์ต่าง ๆ ที่เห็นกันมายาวนาน รวมถึงล่าสุดกับพี่มากพระขโนงนั้น เขาเรียกว่า ยอด box office ครับ
คือที่เกิดขึ้นจากการขายตั๋วหนังทั้งสิ้นครับ เป็นยอดเต็ม ๆ ยังไม่ได้มีการหักค่าใช้จ่ายหรือส่วนแบ่งใด ๆ คือ ถ้าเค้าลงประกาศว่าได้ 150 ล้าน
นั่นหมายถึงยอดรายได้ทั้งหมดที่เกิดจากการจำหน่ายบัตรชมภาพยนตร์ครับ  
สำหรับยอดที่แสดงให้เห็นนั้นเป็นยอดของโรงภาพยนตร์ในกรุงเทพเสียส่วนใหญ่นะครับ ยังไม่รวมของต่างจังหวัดที่เป็นลักษณะของการขายขาด
หรือที่เรียกว่าสายหนังนั่นแหละครับ  หมายความว่า หาก พี่มากพระโขนงบอกว่าขณะนี้ได้ยอด 180 ล้าน นั่นยังไม่รวมยอดขายสายหนังตจว.
ซึ่งอาจจะมียอดอีกประมาณ 20 ล้าน อะไรประมาณนี้ก็ได้ครับ  ดังนั้นยอดสรุปจริงๆ  ก็จะมีให้เห็นหลังจากหนังปิดโปรแกรมฉาย
ส่วนที่เห็นในข่าวกันทุกวันนี้ คือยอดจากการขายตั๋วที่เกิดขึ้นในกรุงเทพและโรงภาพยนตร์ที่อยู่ในข่ายการแบ่งรายได้เท่านั้นครับ ไม่รวมสายหนัง
และเป็นยอด 100 เปอร์เซนต์ของการขายตั๋วยังไม่มีการแบ่งรายได้ค่าใช้จ่ายใด ๆ ครับ
ส่วนตั๋วหนัง 1 ใบ โรงได้เท่าไหร่ ค่ายหนังได้เท่าไหร่ ก็แล้วแต่ตกลงครับ ถ้าหนังใหญ่อำนาจการต่อรองก็จะอยู่ที่ค่ายหนัง อย่าง ทรานส์ฟอร์เมอร์ส
ส่วนแบ่งอาจจะเป็น 60 : 40 คือค่ายหนังได้ 60 เปอร์เซนต์ โรงหน้งได้ 40 เปอร์เซนต์  ในสัปดาห์แรก สัปดาห์ต่อไปอาจจะเป็น 50 : 50  ก็แล้วแต่ตกลงครับ ถ้าเป็นหนังเล็กก็สลับกันครับ โรงหนังก็จะได้ส่วนแบ่งมากกว่า เพราะค่ายหนังคงไม่ได้สามารถต่อรองอะไรได้มาก ถ้าอยากเอาหนังเข้าฉาย
สำหรับรายได้ของโรงภาพยนตร์ ปัจจุบันน่าจะแบ่งออกเป็น 4 ส่วนครับ
1. รายได้จากการจำหน่ายบัตรชมภาพยนตร์ ก็คือขายตั๋วหนังนั่นแหละ
2. รายได้จากจำหน่ายน้ำอาหารเครื่องดื่ม Concession
3. รายได้จากการให้เช่าพื้นที่ศูนย์ในการจำหน่ายสินค้าหรือกิจกรรมต่าง ๆ
4. รายได้จากการขายสื่อโฆษณาในโรงภาพยนตร์ทุกรูปแบบ

ผลกำไรของโรงภาพยนตร์เอง ขึ้นอยู่กับภาพยนตร์ที่เข้าฉายด้วยครับ ใน 1 ปี 4 ไตรมาสนั้น ไตรมาสแรกส่วนใหญ่จะแย่ที่สุดครับ คือ 3 เดือนแรก
ของปี จะไม่มีภาพยนตร์ใหญ่หรือดี ๆ เข้าฉายเลย ทำให้รายได้ค่อนข้างจะน้อย แต่ในปีนี้โชคดีครับ ปิดท้ายไตรมาสแรก พี่มากพระขโนง กับ จีไอโจ
มาพอดี ก็เลยทำให้มีรายได้เป็นกอบเป็นกำขึ้นมา ผลประกอบการก็เลยดีขึ้นกัน ไตรมาส 2 กับ 3 นั้นจะค่อนข้างดีครับ เพราะว่าทุกปีหนังฟอร์มยักษ์
ก็จะเริ่มเข้าฉาย อย่างในปีนี้เอง เดือนพฤษภาคม ก็คือว่าเป็นเดือนทองของโรงหนังเลย เพราะหนังใหญ่เข้าฉายกันเต็ม ๆ  3 เรื่อง ไอรอนแมน 3
สตาร์เทรค 2 และ ฟาสท์ 6  ดังนั้นรายได้ในส่วนของโรงภาพยนตร์นั้น ขึ้นอยู่กับภาพยนตร์ที่เข้าฉายด้วยครับ
ทุกหัวข้อของรายได้ที่แจ้งให้ทราบข้างต้น ก็จะขึ้นอยู่กับภาพยนตร์ด้วย ภาพยนตร์ดี ภาพยนตร์ดัง ของกินก็ขายได้เยอะ ลูกค้าก็จมาเช่าพื้นที่
ทำกิจกรรม เหมารอบฉาย ขายของกันเยอะ ลูกค้าก็จะมาซื้อสื่อโฆษณากันเยอะ อย่างสินค้าตัวไหนซื้อสื่อช่วงนี้ก็ถือว่าโชคดีครับ เพราะคนแน่นโรงภาพยนตร์ตลอด
นั่นแหละครับ คร่าว ๆ ของรายได้ของโรงภาพยนตร์  แต่เน้นย้ำไว้หน่อยนะครับ จงภูมิใจเถอะครับ ประเทศไทยเราโชคดี ได้ชมภาพยนตร์ดี ๆ
พร้อม ๆ กับต่างประเทศ ในราคาที่ถูกมากนะครับ และก็เป็นโรงภาพยนตร์ที่ดี เรียกว่าระดับต้น ๆ ของโลกเลยก็ว่าได้ โรงภาพยนตร์ในต่างประเทศ
ตั๋วหนัง 300 บาทขึ้นไป เก้าอี้เน่า ๆ โรงเน่า ๆ เยอะครับ ในหลายประเทศ เข้าใจครับว่าค่าครองชีพต่างกัน แต่อย่างไรก็ตามโรงภาพยนตร์
ประเทศไทยเราก็เป็นโรงภาพยนตร์ที่ถูกและบริการดีที่สุดแล้วล่ะครับ

สำหรับราคาตั๋วหนังที่ต่างกันมีการแบ่งรายได้ที่ต่างกันหรือเปล่า ใช่ครับ ก็แบ่งตามราคาตั๋วหนัง เว้นเสียแต่ว่าที่นั่งพิเศษบางอย่างที่รวมเอาบริการต่าง ๆ เอาไว้ด้วย ก็จะมีการหักสัดส่วนค่าบริการต่าง ๆ ก่อน เช่นค่าอาหารเครื่องดื่มสำหรับพวกโรงหนังวีไอพี ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับข้อตกลงต่าง ๆ ของโรงภาพยนตร์และค่ายภาพยนตร์ครับ

และการที่โรงภาพยนตร์ในเครือเดียวกันมีการแยก brand ของโรงภาพยนตร์ที่แตกต่างกัน ทั้ง เมเจอร์ อีจีวี พารากอน เอสพลานาด เอสเอฟซี เอสเอฟ เอ็กซ์ เอสเอฟเวิล์ด นั่นก็เป็นเรื่องของการตลาดครับ เพื่อเป็นการแยกกลุ่มลูกค้าและบริการ ทำเลของโรงภาพยนตร์ ศูนย์การค้าที่ตั้ง ทุกอย่างทำเพื่อแบ่งกลุ่มของลูกค้า เพราะแต่ละกลุ่มลูกค้ามีความต้องการไม่เหมือนกัน กลุ่มที่มีรายได้สูง ก็สามารถจะจ่ายได้ราคาสูงและเลือกดูโรงภาพยนตร์ที่อยู่ในทำเลที่เหมาะสมกับการใช้ชีวิตของตัวเอง บริการและราคาก็สูงตามไปด้วยครับ ง่าย ๆ เหมือนคนถือกระเป๋าแบรนด์เนม กับ กระเป๋าทั่วไปนั่นแหละครับ
จ่ายแพงกว่าก็ได้สิ่งที่ดีกว่า บวกกับความพึงพอใจที่ได้แตกต่างของกลุ่มคนที่จ่ายเงินเหล่านั้น

นอกจากนี้แล้วการทำ brand ที่แตกต่างกัน ก็มีผลในเรื่องของการต่อรองการค้าด้วยครับ เช่นถ้าคนละแบรนด์กัน โรงภาพยนตร์แบรนด์นี้อาจจะมีน้ำดำยี่ห้อนี้เป็นสปอนเซอร์ พอไปอีก แบรนด์นึง ก็สามารถเป็นน้ำดำอีกยี่ห้อนึงสปอนเซอร์ได้ ซึ่งก็สามารถหารายได้เข้ามาได้เพิ่มเติมอีก
นอกจากนี้แล้วด้านการลงสื่อโฆษณา สินค้าคนละกลุ่มเป้าหมายก็สามารถจะเลือกลงโฆษณาให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายได้ อย่างรถยนต์ระดับพรีเมี่ยม
ก็จะลงโฆษณาในโรงระดับพรีเมี่ยม  ในขณะที่รถกะบะ รถซีดาน อีโค่คาร์ ก็จะลงในโรงอีกระดับนึง  เป็นเรื่องของการตลาดและการวางแผนหารายได้ของโรงภาพยนตร์ล้วน ๆ ครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่