{กระทู้มุงกองทุนค่ะ} รายงานราคา NAV กองทุนหุ้น BBL SCB KTAM ING KF HI-DIV ฯลฯ 5 เม.ย. 56 แดงทั้งวัน

กระทู้คำถาม
กองเก่าที่ซื้อไว้ ช่วงกลางๆ มี.ค.  ต้นทุนสูงมากทั้งนั้น  ขึ้นยอดเอเวอเรสต์ไปหมดละ
INGTEF , KTEF , KFFLEX-D , KFSEQ-D , SCBSE กับ ENY , KT-Trigger 9 และ 10  ของกรุงไทย
ทำลืมไปซะ คิดว่า Trigger รอ 8 เดือนละกัน -*-

มาเริ่มต้นลงทุนรอบใหม่  Set ปรับฐานหรือเปล่า ???
เปลี่ยนนโยบายมาถัวเฉลี่ยทีละน้อยสัปดาห์ละ 1 - 2 วัน แทนละ


ราคาของ BBL  กอง BSIRICG  BTK  ลดน้อยแฮะ   ส่วน BTP ก็ยังเน่าสุดเหมือนเดิม -*-
T-Lowbeta ลบเยอะแฮะ




แก้ไขข้อความเมื่อ

สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 15
อันนี้เป็นแนวคิดของผมนะครับ จะถูกจะผิด เพื่อนๆ ลองพิจารณาดู
ใช้สำหรับกองทุนรวม เพราะถ้าหุ้น ต้องดูเป็นตัวๆ แต่กองทุนมักลงหุ้น 30-50 ตัว/กอง
ทำให้เราต้องมาดู set แทนครับ
ต้นเดือน ม.ค.56 set อยู่ที่ 1391.93 จุด โบรคออกมาคาดการณ์ว่า set จะวิ่งไปถึง 1650 จุด
หมายความว่า หุ้นจะขึ้นประมาณ 250 จุด+ หรือมีอัพไซด์ 18.54% ถ้าเราแบ่งเป็นช่วงๆ ตัด 50 จุด บนสุดออกไป
เราก็จะบริหารพอร์ตเราได้แบบนี้ครับ
1400 จุด อัพไซด์ที่ 17.86% หุ้น 100% ตลาดเงิน 0%
1450 จุด อัพไซด์ที่ 13.79% หุ้น 75% ตลาดเงิน 25%
1500 จุด อัพไซด์ที่ 10%      หุ้น 50% ตลาดเงิน 50%
1550 จุด อัพไซด์ที่ 6.45%   หุ้น 25% ตลาดเงิน 75%
1600 จุด อัพไซด์ที่ 3.13%    หุ้น 0% ตลาดเงิน 100%
ทำไม 1600 ถึงไม่ให้ถือเลย เพราะว่า ผลตอบแทน 3.13% ธรรมดาความเสี่ยงของหุ้นอยู่ที่ 18%
ในขณะที่ ผลตอบแทนตราสารหนี้อยู่ที่ 3.15% ความเสี่ยงอยู่ที่ 0.64%
ตรงนี้จึงเป็นจุดที่มีแรงขาย 100% ครับ เพราะจะถือหุ้นทำไม ไปถือตราสารหนี้ไม่ดีกว่าเหรอ

ที่นี้มาดูฝรั่งเล่นบ้าง
1.เดือน ธ.ค. set 1324 จุด ซื้อไป 23000 ล้าน สิ้นเดือน ธ.ค.ปิดที่ 1391
2.เดือน ม.ค. ต่างชาติซื้ออีก 15000 ล้าน สิ้นเดือน ม.ค.ปิดที่ 1474
3.เดือน ก.พ. พอ set อยู่ที่ 1500 จุด = เหลือ upside 10% ต่างชาติเริ่มทุบขายไป -17000 ล้าน
(แต่ดันทุบไม่ลง เพราะทริกเกอร์เข้ามารับ +รายย่อยกำลังฮึกเหิม) เดือนนี้ปิดที่ 1541 จุด = upside 7%
4.เดือน มี.ค. วันที่ 16 set ขึ้นไป 1600 = 3.13% ก็โดนทุบทันที
จะเห็นว่าต่างชาติ ยิ่งหุ้นขึ้น เขายิ่งต้องขายลดพอร์ตลงมา

คำตอบว่าทำไม ต่างชาติ ต้องทุบลงไป เพื่อลากขึ้นมาใหม่ เพราะผลตอบแทนรอบละประมาณ 15%
ถ้าซื้อแล้วถือนิ่ง ทั้งปีคือ 15% แต่ถ้าลากลง แล้วซื้อที่ข้างล่าง (ถามว่าถ้าต่างชาติซื้อ แล้วหุ้นขึ้น เราจะซื้อไหมครับ ซื้อแน่นอน)
ถ้าสองรอบก็ 30% แล้วครับ

ส่วนหุ้นตกมีแบบไหนบ้าง เด๋วให้พี่ต๊อตโต๊ะ มาอธิบายต่อครับ

สำหรับคนที่อยู่ดอย ไม่เป็นไรครับ ผมไม่เคยเห็น set ที่ตก แล้วไม่ขึ้นเลยครับ
และก็ไม่เคยเห็น set ที่ขึ้นแล้วไม่ตก เหมือนกัน ครับ
ผมยังเชื่อว่า 1550 ต้องมีคนขึ้นไปรับเพื่อนๆ แน่ครับพลุ
ถ้ามีรถขึ้นไปรับ อย่าลืมลงจากดอยนะครับ ลงบางส่วนก็ได้ ถ้ายังไม่แน่ใจ
เวลา set ตก เราจะได้มี กระสุน ไว้เฉลี่ยต้นทุน บนดอยครับ

หรือถ้าบางคนคิดว่า dca ดีกว่า ก็ได้ครับ แต่ถ้า set สูงกว่า 1550 อย่าเพิ่งลงครับ พักเงินไว้รอซื้อตอนที่ต่ำกว่า 1550 ดีกว่าครับ
ความคิดเห็นที่ 31
พอดีมีน้องอีกคนที่ติดต่อกันทางหลังไมค์  เขียนมาถามก็เลยถือโอกาสก๊อป เอาให้อ่านกันนะคะ
____________________________________________________________________________

ถาม : พี่ต๊อตโตะ ตอนนี้ล้างพอร์ตอยู่ใช่มั้ยครับ คงได้ลงอีกทีตอนจุดต่ำสุดพอดีแหงๆเลย (สู้ๆ)

ตอบ : ถ้าเป็นสมัยก่อนพี่ขายล้างพอร์ตไปแล้วค่ะ  แต่อย่างที่เคยบอก พอตลาดขึ้นเราก็ไม่กล้าซื้อสักที
เพราะตัวเดิมที่เราขายมันมักจะสูงกว่าตอนที่เราขาย  รอไปรอมาก็ตกรถทุกที  ตอนนี้เลยใช้เทคนิคตกแต่งสวนแทน
พี่เอาไอเดียมาจากหนังสือ การลงทุนแบบหุ้นห่านทองคำ  แต่เนื่องจากเราเป็นกองทุน  ก็จะปรับใช้เอา

โดยที่เราศีกษาเรื่องราคาของสองกองนี้มาระยะหนึ่ง  พอรู้ว่ามันเป็นยังไง  พี่ก็ตั้งงบไว้สำหรับแต่ละกอง
แล้วแบ่งเป็นหลายๆ  ไม้เลย  ตั้งเป้าว่าถ้ามันตก 20 จุด ซื้อเท่านี้  ถ้า 20-40 ซื้ออีกยอดนึง ไม่เท่ากัน
กลับกันถ้ามันเด้ง  จนถึงจุดที่ของเก่ามันไม่ขาดทุน  ก็สับออกไป  สุดท้ายเราจะได้ของใหม่ ราคาต่ำค่ะ

ตอนนี้ก็เริ่มซื้อไปสองครั้งสำหรับพอร์ตพี่  และสามครั้งสำหรับพอร์ตคนอื่น  เพราะวันที่หุ้นตก 50 จุด พี่สั่งผิด
จากสับเข้าเป็นสับออก  อย่างเซ็งเลย  

ถาม : อยากถามพี่ต๊อตโตะว่า ในกรณีที่เราติดดอยกองทุน มันจะเหมือนติดหุ้นมั้ย เช่นถ้าตลาดตกไปถึง
1000-1200  จะทำอย่างไรดี  (สองคำถามแต่ขอรวมเป็นคำถามเดียวนะคะ)

ตอบ : พี่ว่าแยกเป็น 3 กรณีนะ  สำหรับหุ้นตก  
1. รุนแรงแบบวิกฤติศก.  แบบนี้ฟื้นยาก นาน  และอยู่ที่ใจของเรา ว่าจะอยู่จนมันฟื้นเรอะเปล่า  ยกตัวอย่างชัดๆ  
ก็กองของบัวหลวงที่ราคา 5 บาทนั่นแหละ  ชัดเลย

2. ก็คือต่างชาติย้ายฐานการลงทุน  การตกก็จะแรงปานกลาง  อาจลงไปถึง 1000-1200  อย่างที่น้องว่า
อันนี้ฟื้นค่ะ  พี่ซื้อ LTF ครั้งแรกปี 47 เจอวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ปี 50 มั๊ง  หุ้นตกจาก 870==>370  น้องว่าแรงไหม
มันเกิน 50% นะ  กองที่พี่ซื้อไว้ 3 ปี  เป็นเงินประมาณ 7 แสน  เหลือ 3 แสนกว่าๆ  (เคสนี้พี่โดนแฟนรุ่นน้องเรียกเป็น
ไอ้พี่คนนั้น เลยล่ะ)  แต่พี่ก็ถือมาเรื่อยๆ  จนมาขายปี 53 หรือ 54 จำไม่ได้แน่นอน  ก็ได้กำไรนิดหน่อยนะ  ไม่ขาดทุน

3.  ก็คือปรับฐานธรรมดา  ลงไป 150-250 จุด  เช่นปี 54  อันนี้ฟื้นเร็วค่ะ  

วิธีแก้ไขคือ  ถ้าเป็นแบบสาม  ซื้อถัวปรับพอร์ตไปเรื่อย  เพราะมันมีวันเด้ง  เราก็ขายของแพงออกไป

ถ้าเป็นแบบสองและแบบหนึ่ง  ต้องหยุดการลงทุนเลย  ของแพงถือไปเรื่อยๆ  อย่าไปดูมัน  แล้วมาเล่นกันที่ฐานใหม่
เพื่อเอากำไรกลับคืนค่ะ  (LTF ที่ซื้อหลังวิกฤต  กำไร 200% ค่ะพี่เพิ่งขายไปไม่นานนี่เอง)  พอได้กำไรคืนจนคุ้มต้นแล้ว  
ของแพงที่ถืออยู่ก็อาจจะขายไปซะ  ไม่ต้องอยู่บาดตาบาดใจต่อไปค่ะ

แล้วจะทราบได้อย่างไรว่าเป็นแบบไหน  ขอลอกคำตอบคุณภูติน้อยนะคะ

ผมมาอธิบาย พี่ต๊อต ต่อ อีกนิด
แบบที่ 1 ดูได้จากอสังหาริมทรัพย์เมื่อไหร่ที่ อสังหา บูม สุดขีด คือวิกฤติเศรษฐกิจ ลองดูไม่ว่า ต้มยำกุ้งของไทย แฮมเบอร์เกอร์ของ เมกา
มาจากการที่เงินไหลไปอสังหาทั้งสิ้น สาเหตุเพราะ เป็นทรัพย์สินที่มีสภาพคล่องน้อย พอเกิดวิกฤติแล้วหนีไม่ได้เลย

แบบที่ 2 ฝรั่งทิ้งฐาน ให้ดูที่ตราสารหนี้ ถ้าขายทั้งหุ้น และตราสารหนี้ อันนี้คือทิ้งฐาน

แบบที่ 3 ไม่มีปัจจัยอะไร แต่มันก็ตกเพราะต่างชาติปรับลดพอร์ต
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่