เมื่อมีคนพูดถึงเรื่อง สงกรานต์ ที่เป็นข่าวกันตอนนี้ ผมเริ่มเข้าใจแล้วครับ
ผมคงอยู่แต่ในกะลา เลยไม่รู้ไม่ทราบว่า ตอนนี้ สังคมสังคังเขาไปไกลเกินกว่าที่จะกู่แล้ว
ผู้คนส่วนหนึ่ง....ในสังคม ต่อต้านอำนาจรัฐ (อำนาจในการรักษากฎหมาย)
ผู้คนส่วนหนึ่ง....ส่ายหน้า ในพฤติกรรมของพวกแรก และผมอยู่ในผู้คนที่ส่ายหน้า
ตั้งแต่เล็กจนทุกวันนี้ ผมเข้าใจว่า...สงกรานต์ คือประเพณีอันดีงาม คือขนบธรรมเนียมหรือวัฒนธรรม อันดีงาม ของไทยที่สืบสานกันมาหลายร้อยปี ที่ถือปฏิบัติกันประจำ คือ เข้าวัด ทำบุญ ระลึกถึงบรรพบุรุษ ก่อเจดีย์ทราย สรงน้ำพระ รดน้ำดำหัวผู้สูงอายุ หรือถ้าจะมีเล่นสาดน้ำ ก็ถือขัน(มากหน่อยถือถังน้ำ) ไล่สาดกันแบบหนุ่มหยอกสาว สาวหยอกหนุ่ม พอเปียกแล้วก็เพลาๆ หันมาพูดคุย ถามทุกข์สุข (จีบกัน)
แต่....ณ ตอนนี้
สงกรานต์...คือ การเมามายไร้สติ แต่งกายวาบหวิว(อันนี้ผมก็ชอบ แต่ผมว่า ไม่มีกาลเทศะ) เต้นโยกย้ายยั่วยวนยังกะอยู่พัฒน์พงษ์
เปิดเพลงเสียงดัง(เกี่ยวอะไรกับวัฒนธรรม) ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ขึ้นรถตระเวณไล่สาดน้ำ(อันนี้ไม่น่าเรียกว่าสาดน้ำ เพราะมันมากกว่าสาด มันกะทำร้ายร่างกายกันมากกว่า) บ้างก็ขว้างก้อนน้ำแข็งไปด้วย มีทั้งแป้งเหนียวเหนอะหนะ เป้าหมายคือแก้มและซอกคอสาวๆ ฯลฯ
นี่หรือ ...คือ คำว่า วัฒนธรรม
มันน่าจะกลายเป็นอนารยธรรม มากกว่า..........
.............และอย่าลืมว่า นักท่องเที่ยวต่างชาตินั้น เขามาเห็น และเข้าใจไปตามภาพนั้นแน่นอน...............
เมืองไทยเรานั้น...ช่วงที่แล้งสุดน่าจะเป็นช่วง สงกรานต์ แต่เรากลับมาใช้น้ำอย่างเอาเป็นเอาตายในตอนนี้
ทีนี้....กลับมามองผู้คนส่วนหนึ่งประเภทแรกที่ผมกล่าวถึง..เขาต่อต้าน เขาก่นด่ารัฐบาล ด่าแบบหยาบคายในที่สาธารณะ เช่น ในสังคมออนไลน์ต่างๆ และหนักข้อ คือ มีการเห็นชอบว่าดี ส่งต่อข้อความ เพื่อความสะใจเท่านั้น
มันเป็นแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไรกันนะ สังคมไทยเรา
ผมอดไม่ได้ที่จะโยงเข้ามาหาเรื่องการเมือง เพราะมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ มีผู้คนที่ไม่มีเหตุผลเลย ในสังคมเรา
มีผู้คนที่เอาความเกลียดชังมาก่อน และไม่ยอมฟังหรือ ไม่ยอมจะคุยเรื่องเหตุผล หรือ ข้อเท็จจริง
มีผู้คนที่คอยแต่จะเสี้ยม ให้เกิดการเกลียดชังกัน โดยไม่มีเหตุผลอีกเช่นกัน
สุดท้าย...ผมเข้าใจแล้วว่า คนพวกนี้ สุดจะเกินเยียวยาแล้วจริงๆ
อยู่มาตั้งนาน ผมเริ่มเข้าใจอะไรหลายๆอย่างในเมืองไทยเราก็เมื่อพูดถึง "สงกรานต์" ปีนี้ นี่เอง
เมื่อมีคนพูดถึงเรื่อง สงกรานต์ ที่เป็นข่าวกันตอนนี้ ผมเริ่มเข้าใจแล้วครับ
ผมคงอยู่แต่ในกะลา เลยไม่รู้ไม่ทราบว่า ตอนนี้ สังคมสังคังเขาไปไกลเกินกว่าที่จะกู่แล้ว
ผู้คนส่วนหนึ่ง....ในสังคม ต่อต้านอำนาจรัฐ (อำนาจในการรักษากฎหมาย)
ผู้คนส่วนหนึ่ง....ส่ายหน้า ในพฤติกรรมของพวกแรก และผมอยู่ในผู้คนที่ส่ายหน้า
ตั้งแต่เล็กจนทุกวันนี้ ผมเข้าใจว่า...สงกรานต์ คือประเพณีอันดีงาม คือขนบธรรมเนียมหรือวัฒนธรรม อันดีงาม ของไทยที่สืบสานกันมาหลายร้อยปี ที่ถือปฏิบัติกันประจำ คือ เข้าวัด ทำบุญ ระลึกถึงบรรพบุรุษ ก่อเจดีย์ทราย สรงน้ำพระ รดน้ำดำหัวผู้สูงอายุ หรือถ้าจะมีเล่นสาดน้ำ ก็ถือขัน(มากหน่อยถือถังน้ำ) ไล่สาดกันแบบหนุ่มหยอกสาว สาวหยอกหนุ่ม พอเปียกแล้วก็เพลาๆ หันมาพูดคุย ถามทุกข์สุข (จีบกัน)
แต่....ณ ตอนนี้
สงกรานต์...คือ การเมามายไร้สติ แต่งกายวาบหวิว(อันนี้ผมก็ชอบ แต่ผมว่า ไม่มีกาลเทศะ) เต้นโยกย้ายยั่วยวนยังกะอยู่พัฒน์พงษ์
เปิดเพลงเสียงดัง(เกี่ยวอะไรกับวัฒนธรรม) ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ขึ้นรถตระเวณไล่สาดน้ำ(อันนี้ไม่น่าเรียกว่าสาดน้ำ เพราะมันมากกว่าสาด มันกะทำร้ายร่างกายกันมากกว่า) บ้างก็ขว้างก้อนน้ำแข็งไปด้วย มีทั้งแป้งเหนียวเหนอะหนะ เป้าหมายคือแก้มและซอกคอสาวๆ ฯลฯ
นี่หรือ ...คือ คำว่า วัฒนธรรม
มันน่าจะกลายเป็นอนารยธรรม มากกว่า..........
.............และอย่าลืมว่า นักท่องเที่ยวต่างชาตินั้น เขามาเห็น และเข้าใจไปตามภาพนั้นแน่นอน...............
เมืองไทยเรานั้น...ช่วงที่แล้งสุดน่าจะเป็นช่วง สงกรานต์ แต่เรากลับมาใช้น้ำอย่างเอาเป็นเอาตายในตอนนี้
ทีนี้....กลับมามองผู้คนส่วนหนึ่งประเภทแรกที่ผมกล่าวถึง..เขาต่อต้าน เขาก่นด่ารัฐบาล ด่าแบบหยาบคายในที่สาธารณะ เช่น ในสังคมออนไลน์ต่างๆ และหนักข้อ คือ มีการเห็นชอบว่าดี ส่งต่อข้อความ เพื่อความสะใจเท่านั้น
มันเป็นแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไรกันนะ สังคมไทยเรา
ผมอดไม่ได้ที่จะโยงเข้ามาหาเรื่องการเมือง เพราะมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ มีผู้คนที่ไม่มีเหตุผลเลย ในสังคมเรา
มีผู้คนที่เอาความเกลียดชังมาก่อน และไม่ยอมฟังหรือ ไม่ยอมจะคุยเรื่องเหตุผล หรือ ข้อเท็จจริง
มีผู้คนที่คอยแต่จะเสี้ยม ให้เกิดการเกลียดชังกัน โดยไม่มีเหตุผลอีกเช่นกัน
สุดท้าย...ผมเข้าใจแล้วว่า คนพวกนี้ สุดจะเกินเยียวยาแล้วจริงๆ