เล่ห์รักพรหมลิขิต โดย ไอยสวรรค์ ตอนที่ 1

กระทู้คำถาม

ตอนที่ 1 จุดเริ่มต้น


        ช่วงเวลาพลบค่ำ ณ ท่าอากาศยานเชียงราย มีผู้คนมายืนรอต้อนรับญาติสนิท มิตรสหาย หรือ พวกคณะทัวร์ ที่กำลังเดินทางออกจากช่องทางออก บ้างก็ถือป้ายชื่อทัวร์  บ้างก็เรียกชื่อเมื่อคนรู้จักเดินทางมาถึงจุดที่นัดเจอ ทำให้สถานที่นี้พลุกพล่านไปด้วยผู้คนที่มายืนรอ
         เสือ ชายหนุ่มอายุ 30 ปี ผิวขาวแต่คล้ามแดด ร่างกายสูงใหญ่ แข็งแรง ผมตัดเกรียน  ลูกชายพ่อเลี้ยงสิงห์ผู้มั่งคั่งแห่งจังหวัดเชียงราย เจ้าของไร่แสงตะวัน ไร่ที่เพาะปลูกไร่กาแฟและสวนผลไม้ผสมส่งออกชื่อดังแห่งภาคเหนือ พร้อมเดี่ยว ลูกน้องคนสนิท ก็มายืนรอแม่เลี้ยงการะเกด ภรรยาของพ่อเลี้ยงสิงห์ ที่เดินทางไปเยี่ยมญาติที่กรุงเทพฯ และกำลังเดินออกมาจากช่องทางออกเช่นเดียวกับคนอื่นๆ พอไม่นานแม่เลี้ยงการะเกดก็มาถึง
         “เสือ! มานานหรือยังลูก” เสือและเดี่ยวยกมือไหว้ และช่วยถือของและกระเป๋าแม่เลี้ยง
        “ไม่นานครับแม่ ที่นั่นเป็นยังไงบ้างครับ คุณยายสบายดีไหมครับ”
      “คุณยายสบายดีจ๊ะ อาจจะหลงๆลืมๆไปบ้าง แต่ก็แข็งแรง เดินไหวอยู่ ถ้าไม่ได้น้านิดคอยดูแล แม่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้จริงๆ” แม่เลี้ยงพูดถึงน้องสาวที่คอยดูแลอยู่ พร้อมกับเดินเลี่ยงออกจากจุดนัดพบ
        “ เสือเคยบอกให้น้านิดกับคุณยายมาอยู่ทางเหนือ ก็ไม่ยอมสักที บอกเป็นห่วงบ้าน ไม่มีคนอยู่ คุณยายคงเสียดาย หากจะไปอยู่ที่อื่น เพราะเคยอยู่บ้านหลังนั้นกับคุณตาตั้งแต่สมัยสาวๆน่ะครับ”
       “แต่คุณตาก็เสียไปหลายปีแล้ว คุณยายก็อายุมากขึ้นทุกวัน แม่เป็นห่วงกลัวแกจะเป็นอะไรไป น้านิดก็หย่ากับสามีไปแล้ว มีแต่ผู้หญิง 2 คนอยู่ที่กรุงเทพฯ แม่ไปเยี่ยมทุกครั้ง บอกให้กลับมาด้วยกัน ก็บอกยังไม่พร้อมจะมา” แม่เลี้ยงการะเกดถอนหายใจ  เดี่ยวซึ่งเดินตามหลัง หันไปมองกลุ่มคนขนาดใหญ่ ด้วยความแปลกใจ
        “นายเสือๆ ดูคนกลุ่มนั้นสิครับ มายืนรอรับใครก็ไม่รู้ มากันซะเยอะแยะเลย” เดี่ยวชี้ไปทางประตูทางออกที่ผ่านมา        
      “คณะทัวร์หรือเปล่าจ๊ะเดี่ยว?” แม่เลี้ยงการะเกดหันไปมองไม่ใส่ใจ  
          เดี่ยวยังไม่เลิกมอง จึงเห็นผู้หญิงสาว ท่ามกลางผู้คน
       “โอโห! ดารารึเปล่านี่ สวยจัง!” เดี่ยวอุทาน
         แม่เลี้ยงการะเกดจึงหันมามองชัดๆ
       “เอ๊ะ! นั่นพ่อเลี้ยงราเชนทร์ ไร่ภูคำนึงนี่ มารับใครนะ? พาลูกน้องมากันเยอะแยะเชียว”
        แม่เลี้ยงการะเกดเพ่งมอง ก่อนจะตกตะลึง
        “โอ๊ะ! นั่น!หนูวารินทร์!”
          คำอุทานแม่เลี้ยงการะเกด ทำให้เสืออึ้ง และรีบหันมองตามทันที เขาพบวารินทร์ ผู้หญิงผอมบาง ผิวขาวอมชมพู ผมยาวสลวยถูกมัดรวบไปด้านหลัง ทำให้เห็นดวงหน้าสวยหวาน ตากลมโตยิ้มด้วยความดีใจที่เจอบิดาและลูกน้องที่มาต้อนรับกันมากมาย
         “คุณหนูวารินทร์ ใช่ลูกสาวของพ่อเลี้ยงราเชนทร์หรือเปล่าครับแม่เลี้ยงการะเกด” เดี่ยวถาม ทำให้แม่เลี้ยงพยักหน้าเบาๆ “ใช่! ลูกสาวคนเล็กพ่อเลี้ยงราเชนทร์นั่นแหละ”
ยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ เสือรีบเดินพรวดไปยังที่พ่อเลี้ยงราเชนทร์ทันที
         “เฮ้ย! นาย! จะไปไหน?” เดี่ยวร้อง และวิ่งตามทั้งที่ถือกระเป๋าและข้าวของอยู่ เสือไม่สนใจ แต่เนื่องจากผู้คนเยอะแยะ ทำให้เสือ ต้องพูดขอโทษเป็นระยะๆเนื่องจากเดินชนคนนั้นคนนี้ไปทั่ว ทำให้คลาดจากกลุ่มของพ่อเลี้ยงราเชนทร์ไป เดี่ยวตามมาถึงก็บ่นด้วยความเหนื่อยหอบ
         “ โอ๊ย! แฮ่กๆ นาย.. วิ่งเร็วจัง จะวิ่งตามพ่อเลี้ยงราเชนทร์ทำไมกันครับ เจอกันเกือบทุกวัน”
          เสือไม่ตอบ แต่ตามองไปยังรถตู้ 2 คัน ที่กำลังเคลื่อนตัวออกไป ด้วยความรู้สึกหลากหลาย
         “เสือ..เป็นอะไรหรือเปล่าลูก” แม่เลี้ยงการะเกดร้องทักเมื่อเสือและเดี่ยวเดินกลับมา
          “ไม่ครับแม่ เรากลับกันเถอะครับ”
               เมื่อรถเคลื่อนออกจากสนามบิน บรรยากาศเงียบสนิท เดี่ยวขับรถ โดยแม่เลี้ยงการะเกดและเสือนั่งด้านหลัง ตั้งแต่เมื่อเสือวิ่งตามกลุ่มของพ่อเลี้ยงราเชนทร์ ก็ไม่มีใครเอ่ยคำพูดขึ้นมา แม่เลี้ยงการะเกดจึงทำลายความเงียบนั้นลง
          “เสือ.. ลูกยังไม่ลืมใช่ไหม”
        “ผมหวังว่าพ่อเลี้ยงราเชนทร์จะทำตามที่พูดครับ” แม่เลี้ยงการะเกดอึ้ง
         “แม่เลี้ยงการะเกดครับ คุณหนูวารินทร์ที่เขาลือกันว่าไปอยู่เมืองนอกตั้งแต่เมื่อ 10 ปีก่อนหรือเปล่าครับ” เดี่ยวถามขณะขับรถออกไปยังไร่แสงตะวัน
        “ใช่.. ตอนนี้ก็อายุ 28 แล้วมั้ง ไปอยู่อังกฤษตั้งนาน จำแทบไม่ได้เลย  ไปก่อนเดี่ยวจะมาอยู่ที่ไร่แสงตะวันสักปีได้มั้ง”
       “ผมเคยได้ข่าวชาวบ้านเล่าให้ฟังก่อนผมจะมาอยู่กับนายเสือน่ะครับ” คำพูดเดี่ยวทำให้เสือชะงัก
         “เขาลือกันว่าไง?” เสือถามเสียงห้วน
         “เขาเล่าว่าที่คุณหนูวารินทร์ไปอยู่เมืองนอก เพราะอับอายน่ะซิครับ”
       “อับอาย? อายอะไร?” เสือถาม
        “ก็เขาลือว่าคุณหนูวารินทร์มีผัว เอ้ย! มีสามีแล้ว และวันนั้นมีพ่อเลี้ยงราเชนทร์กับคนที่ไร่ภูคำนึงมาเจอตอนที่เขาอยู่ด้วยกันบนเตียงกับสามีเขาน่ะสิครับ” เสือและแม่เลี้ยงตกใจ
        “แล้วเขาลือว่าไงอีก?” เสือถามลอดไรฟัน
       “เขาบอกว่าพ่อเลี้ยงอับอาย ก็เลยส่งลูกสาวไปอยู่กับคุณนายแม่ที่เมืองนอกครับ” เดี่ยวพูด
       “แล้วเขาก็บอกอีกนะครับว่าผู้ชายคนนั้นก็หายไปเลย ไม่รู้ว่าเป็นยังไงน่ะครับ โดนยิงตายหรือเปล่าไม่รู้”
       “แล้วแกรู้ไหมว่าผู้ชายคนนั้นคือใคร?” เสือถาม
       “ไม่มีใครรู้หรอกครับนาย เพราะที่ไร่ภูคำนึงเขาให้ปิดปากเงียบ ชาวบ้านเลยไม่มีใครรู้ว่าเป็นใคร”
       “ฉันรู้ว่าผู้ชายคนนั้นคือใคร”
       “นายรู้ด้วยหรือครับ?” เดี่ยวถาม ด้วยความแปลกใจ เสือพยักหน้าเล็กน้อย
       “ผุ้ชายคนนั้น..คือฉันเอง!!”
       “นาย..?!!” เดี่ยวร้องด้วยความตกใจ ทำให้ขับรถเสียหลักเล็กน้อย แม่เลี้ยงการะเกดเอาแต่นั่งเงียบ เสือนึกย้อนไปในเหตุการณ์เมื่อ 10 ปี ที่แล้ว.. ในวันเขาอายุ 20 ปี  ซึ่งกำลังเดินกลับเข้ามาในบ้าน หลังจากไปตรวจดูงานที่ไร่แสงตะวันในช่วงปิดเทอม และเห็นกำนันสิงห์นั่งหน้าเครียดอยู่ที่โต๊ะทำงาน
          “คุณพ่อ สวัสดีครับ” เสือยกมือไหว้ พ่อเลี้ยงสิงห์จึงหันมามองและพยักหน้าเล็กน้อย
          “งานที่ไร่เรียบร้อยดีไหม?”
                   “เรียบร้อยดีครับ ได้ยินลุงปัดคนงานที่ไร่บอกว่าคุณพ่อจะทำสวนผลไม้เพิ่มเหรอครับ?” เสือจึงเดินตรงมานั่งตรงข้ามโต๊ะทำงานของผู้เป็นบิดา
        “ใช่แล้ว..ตอนนี้ออร์เดอร์สั่งซื้อส้มกับลำไยเพิ่มขึ้น แจ้งว่าให้เอาไปแปรรูปเป็นผลไม้อบแห้งส่งออกต่างประเทศแถวตะวันออกกลาง และจีน สงสัยเราคงต้องทำไร่ผลไม้ผสมกับโรงอบลำไยอบแห้งเพิ่มขึ้น”
        “คุณพ่อคิดจะซื้อที่ดินเพิ่มเหรอครับ?”
        “กำลังคิดอยู่.. มีคนมาเสนอให้พ่อ เป็นที่ดินประมาณห้าสิบไร่ใกล้ภูเขาแถวห้วยไคร้ ที่สวยทีเดียว พ่อกำลังนั่งดูแผนที่ รูปถ่าย และเอกสารอยู่ แต่กำลังคิดหนักอยู่เหมือนกัน”
        “มีปัญหาอะไรหรือครับ?”
        “ก็คนขายที่ดินน่ะสิ ยังติดปัญหาหนี้สินกับพ่อเลี้ยงราเชนทร์ เจ้าของไร่ภูคำนึง คนที่เป็นเจ้าของรีสอร์ททั่วเมืองเชียงใหม่ กับเชียงราย และทำธุรกิจส่งออกไม้ประดับเมืองหนาวอยู่ตอนนี้ ได้ข่าวว่าพ่อเลี้ยงราเชนทร์มีโครงการจะขยายรีสอร์ทต้อนรับนักท่องเที่ยวในช่วงฤดูหนาวนี้ด้วย พ่อว่าเขาก็อยากจะได้ที่ดินผืนนี้เหมือนกัน”
                     “ทำไมคนขายที่ดินถึงมาขายให้คุณพ่อล่ะครับ ในเมื่อเขายังติดหนี้พ่อเลี้ยงราเชนทร์อยู่ และเขาก็น่าจะรู้ว่าคุณพ่อกับพ่อเลี้ยงราเชนทร์มีปัญหาเรื่องที่ดินกันบ่อย”
         “ที่ดินมรดกน่ะ เจ้าของอยากจะให้ปลูกไร่ปลูกสวนมากกว่าทำรีสอร์ท อีกอย่างขายให้เราได้กำไรมากกว่า เพราะเป็นคนคุ้นเคยกัน หากขายก็ใช้หนี้ เหลือเงินไม่น้อยเลยนะ” พ่อเลี้ยงสิงห์สิงห์ครุ่นคิด คิ้วขมวดครู่หนึ่ง
         “เฮ้อ..!” พ่อเลี้ยงถอนหายใจ  และตัดสินใจแน่วแน่
            “สงสัยพ่อว่าเราต้องไปคุยกับพ่อเลี้ยงราเชนทร์เรื่องที่ดินแล้วล่ะ พ่อไม่อยากมีปัญหา”
         “ผมไปด้วยนะครับ” เสืออาสา เพราะนึกเป็นห่วงบิดา พ่อเลี้ยงสิงห์พยักหน้า
           “ได้.. เรียกไอ้ชุนกับไอ้นุให้ด้วย บอกให้ไปด้วยกัน”พ่อเลี้ยงสิงห์เอ่ยถึงลูกน้องคนสนิท..
         “ได้ครับ จะไปเมื่อไหร่ครับ”
         “ไปกันตอนนี้เลย!”

             ณ ไร่ภูคำนึง เสือและพ่อเลี้ยงสิงห์พร้อมลูกน้องอีกสองคนได้ขับรถโฟร์วีลสีน้ำเงินเข้มเข้ามายังไร่แห่งนี้ โดยเสือและพ่อเลี้ยงสิงห์นั่งด้านหลัง ลูกน้องทั้งสองคนนั่งข้างหน้า โดยคนชื่อชุนเป็บคนขับรถ
             เมื่อถึงปากทางเข้าไร่ภูคำนึง ก็จะพบป้ายขนาดสองฟุต โดยป้ายจะมีพื้นสีขาวตัวอักษรสีเหลืองทองจารึกคำว่า “ไร่ภูตะวัน” จากนั้นจึงเคลื่อนรถต่อเข้าไปยังถนนเส้นนั้น  
            ไร่ภูคำนึงมีชื่อเสียงด้านรีสอร์ทและส่งออกไม้ประดับ ทิวทัศน์ทั้งสองข้างทางจึงเต็มไปด้วยต้นนางพญาเสือโคร่งที่ออกสีชมพูงดงาม ดูแล้วเหมือนดอกซากุระอยู่ข้างทางตลอดเส้นทาง เมื่อมองไปไกลๆก็จะเห็นไม้ประดับสีสันสดใสเป็นแนวยาวตัดกัน โดยเฉพาะดอกทิวลิปสีเหลืองสดใสตัดกับสีแดงอมม่วง และดอกลิลลี่สีขาวอมชมพู โดยมีกังหันลมขนาดใหญ่พัดอยู่ เพื่อใช้เป็นพลังงานทดแทน เกือบสุดไร่จะเห็นรีสอร์ท และโฮมสเตย์หลังเล็กๆ หลายหลังเรียงอยู่ ดูสวยงามยิ่งนัก
รถโฟร์วีลเคลื่อนตัวมาจอดหน้าบ้านไม้สักหลังใหญ่ โดยมีหลังคาแบบจั่วดูสวยงามและน่าเกรงขาม
            “มาหาใครเจ้า” มีผู้หญิงชาวเหนือมีอายุ เกล้ามวย ดูลักษณะเหมือนเป็นแม่บ้าน เดินเข้ามาถาม
           “บอกว่าฉัน..พ่อเลี้ยงสิงห์ มาพบพ่อเลี้ยงราเชนทร์” พ่อเลี้ยงสิงห์แจ้งจุดประสงค์
           “เชิญที่เรือนรับรองก่อนเน้อเจ้า” หญิงชาวเหนือบอกแล้วเดินนำทั้ง 4 คนเข้าไปยังห้องรับแขก
           “รอสักกำเน้อเจ้า” เมื่อมายังห้องรับแขก หญิงชาวเหนือจึงเคลื่อนตัวออกไป พ่อเลี้ยงสิงห์กับเสือจึงนั่งลงข้างกัน โดยมีลูกน้องยืนอยู่ข้างหลัง
สักพักพ่อเลี้ยงราเชนทร์ก็เดินออกมาพร้อมเด็กสาววัยรุ่นสองคน และลูกน้องคนสนิทอีกสองคน
            “อ้าว! พ่อเลี้ยงสิงห์นึกยังไง ถึงมาที่นี่ได้.” พ่อเลี้ยงราเชนทร์เอ่ยทัก เมื่อเห็นพ่อเลี้ยงสิงห์กับเสือ เสือจึงยกมือขึ้นไหว้ “สวัสดีครับ”
           “สวัสดีๆ นี่! ลุกชายใช่ไหม?”
           “นี่ไอ้เสือ ลูกชายผมเอง” พ่อเลี้ยงสิงห์บอก พ่อเลี้ยงราเชนทร์พยักหน้าเล้กน้อย
           “โตเป็นหนุ่มแล้วนะ ไม่ค่อยเห็นหน้าเลย”
          “เสือไปเรียนมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพ เกี่ยวกับเกษตร อีกสองปีก็จบแล้ว ช่วงนี้ปิดเทอม เลยกลับมาช่วยงานที่ไร่น่ะ”
        “อ้อ..มิน่าถึงไม่ค่อยเห็นหน้าเลย” พ่อเลี้ยงราเชนทร์รำพึง “อ้อนี่! ลูกสาวผม วันวิสาข์กับวารินทร์ ไหว้พ่อเลี้ยงสิงห์กับพี่เสือสิ” เด็กผู้หญิงสองคนจึงยกมือไหว้ทั้งพ่อเลี้ยงสิงห์กับเสือ โดยทั้งสองยกมือรับไหว้
          “ลูกสาข์เพิ่งเข้ามหาวิทยาลัยปีหนึ่งที่เชียงใหม่นี่เอง น่าจะห่างกับเสือแค่ปีเดียว ส่วนนี่ลูกรินทร์ ปีหน้าก็จะเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว” พ่อเลี้ยงราเชนทร์เอ่ย “มีอะไรก็คุยกันได้นะ ถือว่าเป็นพี่ๆน้อง” พ่อเลี้ยงราเชนทร์เอ่ยแบบใจดี แต่พ่อเลี้ยงสิงห์รู้ดีว่าเป็นการกล่าวแบบมารยาทเท่านั้นเอง
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่