สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 4
เรื่องที่ จขกท พูดน่ะ มันจริงซะยิ่งกว่าจริงอีก!
โฆษณาโปรโมชั่นบริษัทเปนอิ๊ง ที่คุณพูดถึงน่ะ มันงานระดับ copywriter เก่งๆนะ งานระดับนี้มือโปรรับจ้างเขียนกันหน้าหนึ่ง 1,500 - 3,000 บาทขึ้นไป
สมัยเราทำงานเป็นล่าม/นักแปลในบริษัทแปลเอกสาร เจ้าของบริษัทเคยให้เรารับสมัครล่าม/นักแปล เวลาเราดู profiles ผู้สมัครงานที่หรูหรานะ ยิ่งเขียนชูโรงแสดงคะแนนที่ได้สูงๆจากการสอบข้อสอบพวก toeic, ielts หรือ toefl อะไรพวกนี้ เราไม่จ้างตามคะแนนพวกนี้หรอก แต่เรานัดสัมภาษณ์แล้วเรียกให้มาทำบททดสอบทักษะการฟัง พูด อ่าน เขียนและแปล โดยให้ทำสดๆต่อหน้าเราเดี๋ยวนั้นเลย เราค้นพบว่าผู้สมัครงานหลายคนที่โม้ว่าคะแนนสูงๆนะ แท้จริงแล้วทำข้อสอบเก่ง แต่ไม่เก่งอังกฤษมากนักหรอก ถ้าไปเจอคนสัมภาษณ์งานเล่นสัมภาษณ์โหดแบบนี้นะ ส่วนใหญ่ก็หงายหลังกันระนาว!
เราเคยไปสมัครงานเป็นครูสอนภาษาอังกฤษที่โรงเรียนสอนภาษาแห่งหนึ่งแถวๆสยาม เจอฝรั่งผู้บริหารสัมภาษณ์โหดเหมือนกัน เขาเอา essay นักเรียนที่เป็นนักศึกษาปริญญาเอกวิศวะไฟฟ้าจุฬา มาให้เราแก้ (บอกว่านักศึกษาเรียนไม่จบปริญญาเอกเพราะเขียนภาษาอังกฤษไม่เก่งพอ) แล้วให้เราเขียนภาษาอังกฤษอธิบายว่าจะต้องสอนนักเรียนคนนี้ด้วยวิธีไหน ใช้สื่อการสอนอะไร วัดผลยังไง ฯลฯ ถ้าเราไม่เคยค้นคว้าอ่าน textbooks กับ survey สื่อการสอนภาษาอังกฤษดีๆจากต่างประเทศ เราคงไม่มีทางทำบททดสอบอันนี้ผ่าน
เพื่อนเราไปสมัครงานล่าม/นักแปลบริษัทข้ามชาติ เจอสัมภาษณ์โหดเหมือนกัน ฝรั่งผู้บริหารเอาหนังสือราชการไทยให้เพื่อนเราแปลเป็นอังกฤษสดๆเดี๋ยวนั้นเลยหละ ฝรั่งยืนชะโงกดูอยู่โดยถือคำแปลภาษาอังกฤษที่แปลเสร็จแล้วและตรวจแก้เสร็จแล้ว คอยเทียบกันอยู่ แล้วถ้าแปลผ่านก็ให้เงินเดือนตามความสามารถที่แปลได้
เวลาเราเรียนภาษาอังกฤษเราไม่เคยฝึกทำข้อสอบเลย เพราะเราเรียนเพื่อนำไปใช้งาน ไม่ได้เรียนเพื่อไปสอบ (ถึงไปสอบเราก็สอบได้ เพราะการสอบได้เป็นแค่ผลพลอยได้ ไม่ใช้เป้าหมายหลักของเรา) หลักการของเราในการเรียนภาษาอังกฤษก็คือ
"เรียนให้ครบ topics ทั้งหมด และ skills ทั้งหมดที่จำเป็น"
^
โดยเราใช้ google ค้นเอาว่านักศึกษาเอกอังกฤษต้องเรียนรู้ topics กับ skills อะไรบ้าง ค้นไปค้นมา เจออะไรดีๆเยอะเลยหละ บางทีเราไปล้วงเอา videos บันทึกการสอนภาษาอังกฤษจากมหาลัยต่างประเทศมาเรียนได้...!!??? เมื่อ 50 ปีที่แล้วสมัยยังไม่มีการสื่อสารไร้พรมแดนน่ะใครเรียนเอกอังกฤษในมหาลัยจะได้เปรียบด้านภาษาเหนือชั้นกว่าคนเรียนสาขาอื่น แต่ในยุคการสื่อสารไร้พรมแดน ใครเก่ง IT เก่ง google มากๆ คนๆนั้นก็พิชิตภาษาอังกฤษได้ แล้วเก่งทาบรัศมีหรือเก่งกว่าคนเรียนเอกอังกฤษได้
เวลาเราสอนภาษาอังกฤษให้นักเรียนที่กำลังเตรียมตัวจะสอบข้อสอบภาษาอังกฤษเราไม่กางข้อสอบเก่าๆสอนนักเรียนฝึกทำข้อสอบเป็นหลักหรอก แต่เราสอน topics กับ skills ที่เรารู้ว่าจำเป็นในการนำไปใช้งานได้จริงๆก่อน จากนั้นจึงสอน topics กับ skills ที่รู้ว่า "มันออกสอบแน่ๆ" ถ้าเผอิญเรื่องที่สอนไปแล้วไม่ cover เรื่องพวกนี้นะ ซึ่งจริงๆแล้วส่วนใหญ่ก็ cover ไปหมดแล้วเวลาสอนเรื่องที่นำไปใช้งานจริงได้ (โดยเราค้นข้อมูลว่าข้อสอบจะออกอะไรบ้างโดยการศึกษา syllabus ของข้อสอบก่อนไปสอน) สอนของจริง 90% เหลือ 10% เองที่เราสอนทำข้อสอบ
จะบอกให้ว่าข้อสอบภาษาอังกฤษที่ใช้ทดสอบคนที่ไม่ใช่ native speaker ที่น่าเชื่อถือที่สุด น่าเชื่อถือระดับที่ถ้าใครสอบได้ Grade A รับรองว่าเซียนเหยียบเมฆแน่ๆ ระดับที่ว่าเจ้าของบริษัทที่ไหนเห็นใครสอบข้อสอบอันนี้ผ่านคะแนนสูงระดับนี้น่ะ รับคนๆนั้นเข้าทำงานได้เลย
"รับรองว่าไม่ผิดหวัง!"
^
ข้อสอบที่ว่านี้ ก็คือ cpe (Certificate of Proficiency in English) ของ University of Cambridge
^
คนที่โม้ว่าได้คะแนน toeic, ielts หรือ toefl สูงๆน่ะ ส่วนใหญ่พอไปสอบ cpe เข้าถึงกับกุมขมับเครียดไปเลย เพราะคนออกข้อสอบเป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน teaching English to speakers of other languages คำถามแต่ละอย่างที่เขาตั้งน่ะ เขาจี้จุดอ่อนให้ non-native speakers พลาดท่าพูดเขียนอังกฤษออกมาแบบมี non-native speaker's errors แล้วเสียคะแนนตั้งมากมาย
ดังนั้นนะ จขกท คิดถูกแล้วหละ! นั่นก็คือว่าถ้าคุณต้องการไปสมัครงานที่ไหนแล้วหน่วยงานไหนเรียกร้องคะแนนข้อสอบอะไรสูงๆ คุณก็คงต้องเรียนทำข้อสอบอันนั้นเพื่อให้ได้งานทำ แต่ถ้าคุณต้องการเรียนภาษาอังกฤษให้เก่งมากๆเพื่อเอาไปใช้งานจริงๆนะ ไม่ต้องเรียนทำข้อสอบเลยก็ยังได้ แล้วถ้าคุณโชคดีไปสมัครงานกับ prospective employer ที่ฉลาดๆ เก่งๆ นะ เขามีวิธีทดสอบคุณโดยไม่ต้องดูคะแนนข้อสอบพวกนี้เลยหละ!
เราว่าคนเก่งภาษาอังกฤษสูสีกันนะ เผลอๆสอบ toeic, ielts หรือ toefl มีสิทธิ์ทำคะแนนทิ้งกันไกลหลายสิบคะแนนหรือเป็นร้อยคะแนนได้ง่ายๆ คือถ้าไม่เก่งระดับ native speaker หรือเก่งแบบเทพๆมากๆ แล้วละก็ มันจะต้องมีข้อสอบที่ทำไม่ได้อยู่บ้าง ซึ่งก็จะต้องมีการเดากัน ใครโชคดีเดาถูกมากกว่าก็ได้คะแนนมากกว่าแหงๆอยู่แล้วหละ แต่ข้อสอบปราบเซียนอย่าง cpe ของ University of Cambridge คนเก่งอังกฤษสูสีกันโอกาสเดาให้คะแนนทิ้งกันไกลหลายสิบหรือเป็นร้อยคะแนนเป็นไปได้ยากมากๆถึงยากที่สุด เพราะมันมีเขียน essays ยาวๆ 2 เรื่องกับสอบ conversation โดยให้คุยเป็นภาษาอังกฤษกับเจ้าของภาษาตัวเป็นๆตั้งนาน ในส่วนของ listening comprehension โหดน่าดูเพราะจด notes ไม่ได้เนื่องจากกติกาสอบคือตอนฟังห้ามจับเครื่องเขียน ห้ามดูคำถาม (ข้อสอบคว่ำหน้าไว้) คือต้องฟังละครยาวๆเรื่องหนึ่งให้จบก่อน แล้วถึงจับเครื่องเขียนแล้วเปิดดูคำถามได้ คือเวลาเขาให้ฟังก็ต้องฟังอย่างเดียวให้เข้าใจจริงๆ แล้วต้องจำเนื้อเรื่องให้ได้ เพื่อที่จะใช้เหตุผล (แนว inference กับ deduction) คิดคำตอบให้ถูกต้องให้ได้ ซึ่งมันเดาไม่ได้อ่ะ! และข้อสอบข้อเขียนอีกชุดก็มีข้อสอบแนวที่ให้เขียนประโยคภาษาอังกฤษพลิกแพลงกลับไปกลับมาใน sentence structure types ต่างๆ ซึ่งไม่ใช่ปรนัย (มีข้อสอบที่ไม่ใช่ปรนัยเยอะมากๆ) ซึ่งข้อสอบส่วนใหญ่มันเดากันไม่ได้...ใครเขียนผิดก็ได้ "ศูนย์" ไปทันที...555+++....
^
ใครออกข้อสอบแบบนี้ได้นะสมองพวกเขาทำด้วยอะไรหว่า โคตรเก่งเลยอ่ะ...เราถึงยอมซูฮกไงล่ะว่าผลสอบ cpe ใช้วัดทักษะภาษาอังกฤษระดับนำไปใช้งานจริงๆได้แม่นยำมากๆ ข้าน้อยขอดื่มสุราคารวะให้คนออกข้อสอบ cpe เป็นไหๆเลยหละ...555+++...
ในประเทศอังกฤษกับประเทศอื่นๆในยุโรปอีกหลายๆประเทศเขาใช้คะแนน cpe ของ University of Cambridge วัดกันว่าคนซึ่งไม่ใช่ native speaker ที่มาสมัครงานจะรู้ภาษาอังกฤษพอทำงานที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษได้หรือไม่ (cpe มีข้อสอบแปลภาษาต่างๆของยุโรปกับภาษาอังกฤษกลับไปกลับมาด้วย มันเป็น options ของข้อสอบ ที่บางคนซึ่งต้องการทำงานล่าม/นักแปลในยุโรปเลือกสอบเพิ่มกัน) แต่เดี๋ยวนี้กลายเป็นมี toeic เริ่มเข้ามาแทนที่เพราะเจ้าของ toeic โปรโมทข้อสอบตัวเองเก่ง แล้วอีกอย่างหนึ่งผู้คนที่ไม่ใช่ native speakers หลายๆคนก็เข็ดเขี้ยวกับการทำข้อสอบ cpe ไม่ค่อยจะผ่านกันด้วย แม้กระทั่ง University of Cambridge ก็รู้ตัวว่าหาเงินจากคนสมัครสอบ cpe ไม่ค่อยจะได้เพราะมันยากเกินไป ก็เลยทำข้อสอบใหม่ออกมาให้คนสอบเล่นๆคือ Cambridge English: Advanced (CAE) ซึ่งง่ายกว่า cpe ลงมานิดหนึ่ง
เมื่อก่อนเห็นมีใครปั่นกระทู้สอนวิธีทำข้อสอบ toefl ให้ได้คะแนนมากๆ มีคนตั้งหลายร้อยแห่กันมาจนมืดฟ้ามัวดิน เข้ามาอ่านแล้วให้ gifts ด้วยความปลื้มปิติสุดๆ ราวกับว่า "ได้เห็นทางสว่าง" เพราะผู้คนส่วนใหญ่บ้าเรียนภาษาอังกฤษให้สอบได้ ไม่ได้บ้าเรียนเพื่อนำไปใช้งานจริงๆ เราเห็นกระทู้นี้แล้วนึกขำๆอยู่ในใจ แต่ขี้เกียจเข้าไปชี้ทางสว่างให้ใครเพราะเดี๋ยวจะโดนรุมด่าเอาหาว่าเข้ามาป่วน...555+++...
^
จะบอกให้ว่าคนที่เรียนภาษาอังกฤษจน cover บรรดา topics กับ skills ที่จำเป็น ครบหมด ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ ทำข้อสอบอะไรก็ฟันข้อสอบกระจุยหมด!
โฆษณาโปรโมชั่นบริษัทเปนอิ๊ง ที่คุณพูดถึงน่ะ มันงานระดับ copywriter เก่งๆนะ งานระดับนี้มือโปรรับจ้างเขียนกันหน้าหนึ่ง 1,500 - 3,000 บาทขึ้นไป
สมัยเราทำงานเป็นล่าม/นักแปลในบริษัทแปลเอกสาร เจ้าของบริษัทเคยให้เรารับสมัครล่าม/นักแปล เวลาเราดู profiles ผู้สมัครงานที่หรูหรานะ ยิ่งเขียนชูโรงแสดงคะแนนที่ได้สูงๆจากการสอบข้อสอบพวก toeic, ielts หรือ toefl อะไรพวกนี้ เราไม่จ้างตามคะแนนพวกนี้หรอก แต่เรานัดสัมภาษณ์แล้วเรียกให้มาทำบททดสอบทักษะการฟัง พูด อ่าน เขียนและแปล โดยให้ทำสดๆต่อหน้าเราเดี๋ยวนั้นเลย เราค้นพบว่าผู้สมัครงานหลายคนที่โม้ว่าคะแนนสูงๆนะ แท้จริงแล้วทำข้อสอบเก่ง แต่ไม่เก่งอังกฤษมากนักหรอก ถ้าไปเจอคนสัมภาษณ์งานเล่นสัมภาษณ์โหดแบบนี้นะ ส่วนใหญ่ก็หงายหลังกันระนาว!
เราเคยไปสมัครงานเป็นครูสอนภาษาอังกฤษที่โรงเรียนสอนภาษาแห่งหนึ่งแถวๆสยาม เจอฝรั่งผู้บริหารสัมภาษณ์โหดเหมือนกัน เขาเอา essay นักเรียนที่เป็นนักศึกษาปริญญาเอกวิศวะไฟฟ้าจุฬา มาให้เราแก้ (บอกว่านักศึกษาเรียนไม่จบปริญญาเอกเพราะเขียนภาษาอังกฤษไม่เก่งพอ) แล้วให้เราเขียนภาษาอังกฤษอธิบายว่าจะต้องสอนนักเรียนคนนี้ด้วยวิธีไหน ใช้สื่อการสอนอะไร วัดผลยังไง ฯลฯ ถ้าเราไม่เคยค้นคว้าอ่าน textbooks กับ survey สื่อการสอนภาษาอังกฤษดีๆจากต่างประเทศ เราคงไม่มีทางทำบททดสอบอันนี้ผ่าน
เพื่อนเราไปสมัครงานล่าม/นักแปลบริษัทข้ามชาติ เจอสัมภาษณ์โหดเหมือนกัน ฝรั่งผู้บริหารเอาหนังสือราชการไทยให้เพื่อนเราแปลเป็นอังกฤษสดๆเดี๋ยวนั้นเลยหละ ฝรั่งยืนชะโงกดูอยู่โดยถือคำแปลภาษาอังกฤษที่แปลเสร็จแล้วและตรวจแก้เสร็จแล้ว คอยเทียบกันอยู่ แล้วถ้าแปลผ่านก็ให้เงินเดือนตามความสามารถที่แปลได้
เวลาเราเรียนภาษาอังกฤษเราไม่เคยฝึกทำข้อสอบเลย เพราะเราเรียนเพื่อนำไปใช้งาน ไม่ได้เรียนเพื่อไปสอบ (ถึงไปสอบเราก็สอบได้ เพราะการสอบได้เป็นแค่ผลพลอยได้ ไม่ใช้เป้าหมายหลักของเรา) หลักการของเราในการเรียนภาษาอังกฤษก็คือ
"เรียนให้ครบ topics ทั้งหมด และ skills ทั้งหมดที่จำเป็น"
^
โดยเราใช้ google ค้นเอาว่านักศึกษาเอกอังกฤษต้องเรียนรู้ topics กับ skills อะไรบ้าง ค้นไปค้นมา เจออะไรดีๆเยอะเลยหละ บางทีเราไปล้วงเอา videos บันทึกการสอนภาษาอังกฤษจากมหาลัยต่างประเทศมาเรียนได้...!!??? เมื่อ 50 ปีที่แล้วสมัยยังไม่มีการสื่อสารไร้พรมแดนน่ะใครเรียนเอกอังกฤษในมหาลัยจะได้เปรียบด้านภาษาเหนือชั้นกว่าคนเรียนสาขาอื่น แต่ในยุคการสื่อสารไร้พรมแดน ใครเก่ง IT เก่ง google มากๆ คนๆนั้นก็พิชิตภาษาอังกฤษได้ แล้วเก่งทาบรัศมีหรือเก่งกว่าคนเรียนเอกอังกฤษได้
เวลาเราสอนภาษาอังกฤษให้นักเรียนที่กำลังเตรียมตัวจะสอบข้อสอบภาษาอังกฤษเราไม่กางข้อสอบเก่าๆสอนนักเรียนฝึกทำข้อสอบเป็นหลักหรอก แต่เราสอน topics กับ skills ที่เรารู้ว่าจำเป็นในการนำไปใช้งานได้จริงๆก่อน จากนั้นจึงสอน topics กับ skills ที่รู้ว่า "มันออกสอบแน่ๆ" ถ้าเผอิญเรื่องที่สอนไปแล้วไม่ cover เรื่องพวกนี้นะ ซึ่งจริงๆแล้วส่วนใหญ่ก็ cover ไปหมดแล้วเวลาสอนเรื่องที่นำไปใช้งานจริงได้ (โดยเราค้นข้อมูลว่าข้อสอบจะออกอะไรบ้างโดยการศึกษา syllabus ของข้อสอบก่อนไปสอน) สอนของจริง 90% เหลือ 10% เองที่เราสอนทำข้อสอบ
จะบอกให้ว่าข้อสอบภาษาอังกฤษที่ใช้ทดสอบคนที่ไม่ใช่ native speaker ที่น่าเชื่อถือที่สุด น่าเชื่อถือระดับที่ถ้าใครสอบได้ Grade A รับรองว่าเซียนเหยียบเมฆแน่ๆ ระดับที่ว่าเจ้าของบริษัทที่ไหนเห็นใครสอบข้อสอบอันนี้ผ่านคะแนนสูงระดับนี้น่ะ รับคนๆนั้นเข้าทำงานได้เลย
"รับรองว่าไม่ผิดหวัง!"
^
ข้อสอบที่ว่านี้ ก็คือ cpe (Certificate of Proficiency in English) ของ University of Cambridge
^
คนที่โม้ว่าได้คะแนน toeic, ielts หรือ toefl สูงๆน่ะ ส่วนใหญ่พอไปสอบ cpe เข้าถึงกับกุมขมับเครียดไปเลย เพราะคนออกข้อสอบเป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน teaching English to speakers of other languages คำถามแต่ละอย่างที่เขาตั้งน่ะ เขาจี้จุดอ่อนให้ non-native speakers พลาดท่าพูดเขียนอังกฤษออกมาแบบมี non-native speaker's errors แล้วเสียคะแนนตั้งมากมาย
ดังนั้นนะ จขกท คิดถูกแล้วหละ! นั่นก็คือว่าถ้าคุณต้องการไปสมัครงานที่ไหนแล้วหน่วยงานไหนเรียกร้องคะแนนข้อสอบอะไรสูงๆ คุณก็คงต้องเรียนทำข้อสอบอันนั้นเพื่อให้ได้งานทำ แต่ถ้าคุณต้องการเรียนภาษาอังกฤษให้เก่งมากๆเพื่อเอาไปใช้งานจริงๆนะ ไม่ต้องเรียนทำข้อสอบเลยก็ยังได้ แล้วถ้าคุณโชคดีไปสมัครงานกับ prospective employer ที่ฉลาดๆ เก่งๆ นะ เขามีวิธีทดสอบคุณโดยไม่ต้องดูคะแนนข้อสอบพวกนี้เลยหละ!
เราว่าคนเก่งภาษาอังกฤษสูสีกันนะ เผลอๆสอบ toeic, ielts หรือ toefl มีสิทธิ์ทำคะแนนทิ้งกันไกลหลายสิบคะแนนหรือเป็นร้อยคะแนนได้ง่ายๆ คือถ้าไม่เก่งระดับ native speaker หรือเก่งแบบเทพๆมากๆ แล้วละก็ มันจะต้องมีข้อสอบที่ทำไม่ได้อยู่บ้าง ซึ่งก็จะต้องมีการเดากัน ใครโชคดีเดาถูกมากกว่าก็ได้คะแนนมากกว่าแหงๆอยู่แล้วหละ แต่ข้อสอบปราบเซียนอย่าง cpe ของ University of Cambridge คนเก่งอังกฤษสูสีกันโอกาสเดาให้คะแนนทิ้งกันไกลหลายสิบหรือเป็นร้อยคะแนนเป็นไปได้ยากมากๆถึงยากที่สุด เพราะมันมีเขียน essays ยาวๆ 2 เรื่องกับสอบ conversation โดยให้คุยเป็นภาษาอังกฤษกับเจ้าของภาษาตัวเป็นๆตั้งนาน ในส่วนของ listening comprehension โหดน่าดูเพราะจด notes ไม่ได้เนื่องจากกติกาสอบคือตอนฟังห้ามจับเครื่องเขียน ห้ามดูคำถาม (ข้อสอบคว่ำหน้าไว้) คือต้องฟังละครยาวๆเรื่องหนึ่งให้จบก่อน แล้วถึงจับเครื่องเขียนแล้วเปิดดูคำถามได้ คือเวลาเขาให้ฟังก็ต้องฟังอย่างเดียวให้เข้าใจจริงๆ แล้วต้องจำเนื้อเรื่องให้ได้ เพื่อที่จะใช้เหตุผล (แนว inference กับ deduction) คิดคำตอบให้ถูกต้องให้ได้ ซึ่งมันเดาไม่ได้อ่ะ! และข้อสอบข้อเขียนอีกชุดก็มีข้อสอบแนวที่ให้เขียนประโยคภาษาอังกฤษพลิกแพลงกลับไปกลับมาใน sentence structure types ต่างๆ ซึ่งไม่ใช่ปรนัย (มีข้อสอบที่ไม่ใช่ปรนัยเยอะมากๆ) ซึ่งข้อสอบส่วนใหญ่มันเดากันไม่ได้...ใครเขียนผิดก็ได้ "ศูนย์" ไปทันที...555+++....
^
ใครออกข้อสอบแบบนี้ได้นะสมองพวกเขาทำด้วยอะไรหว่า โคตรเก่งเลยอ่ะ...เราถึงยอมซูฮกไงล่ะว่าผลสอบ cpe ใช้วัดทักษะภาษาอังกฤษระดับนำไปใช้งานจริงๆได้แม่นยำมากๆ ข้าน้อยขอดื่มสุราคารวะให้คนออกข้อสอบ cpe เป็นไหๆเลยหละ...555+++...
ในประเทศอังกฤษกับประเทศอื่นๆในยุโรปอีกหลายๆประเทศเขาใช้คะแนน cpe ของ University of Cambridge วัดกันว่าคนซึ่งไม่ใช่ native speaker ที่มาสมัครงานจะรู้ภาษาอังกฤษพอทำงานที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษได้หรือไม่ (cpe มีข้อสอบแปลภาษาต่างๆของยุโรปกับภาษาอังกฤษกลับไปกลับมาด้วย มันเป็น options ของข้อสอบ ที่บางคนซึ่งต้องการทำงานล่าม/นักแปลในยุโรปเลือกสอบเพิ่มกัน) แต่เดี๋ยวนี้กลายเป็นมี toeic เริ่มเข้ามาแทนที่เพราะเจ้าของ toeic โปรโมทข้อสอบตัวเองเก่ง แล้วอีกอย่างหนึ่งผู้คนที่ไม่ใช่ native speakers หลายๆคนก็เข็ดเขี้ยวกับการทำข้อสอบ cpe ไม่ค่อยจะผ่านกันด้วย แม้กระทั่ง University of Cambridge ก็รู้ตัวว่าหาเงินจากคนสมัครสอบ cpe ไม่ค่อยจะได้เพราะมันยากเกินไป ก็เลยทำข้อสอบใหม่ออกมาให้คนสอบเล่นๆคือ Cambridge English: Advanced (CAE) ซึ่งง่ายกว่า cpe ลงมานิดหนึ่ง
เมื่อก่อนเห็นมีใครปั่นกระทู้สอนวิธีทำข้อสอบ toefl ให้ได้คะแนนมากๆ มีคนตั้งหลายร้อยแห่กันมาจนมืดฟ้ามัวดิน เข้ามาอ่านแล้วให้ gifts ด้วยความปลื้มปิติสุดๆ ราวกับว่า "ได้เห็นทางสว่าง" เพราะผู้คนส่วนใหญ่บ้าเรียนภาษาอังกฤษให้สอบได้ ไม่ได้บ้าเรียนเพื่อนำไปใช้งานจริงๆ เราเห็นกระทู้นี้แล้วนึกขำๆอยู่ในใจ แต่ขี้เกียจเข้าไปชี้ทางสว่างให้ใครเพราะเดี๋ยวจะโดนรุมด่าเอาหาว่าเข้ามาป่วน...555+++...
^
จะบอกให้ว่าคนที่เรียนภาษาอังกฤษจน cover บรรดา topics กับ skills ที่จำเป็น ครบหมด ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ ทำข้อสอบอะไรก็ฟันข้อสอบกระจุยหมด!
แสดงความคิดเห็น
จริงๆได้คะแนนtoeic800-900มันก็วัดว่าเก่งไม่ค่อยได้รึปล่าว หลายคนได้เท่านี้ยังเขียนแปลไม่ได้เลยได้แค่ติดต่อทั่วๆไป
แต่พอทำงานพี่เค้าบอกให้เราเขียนโฆษณาโปรโมชั่นบริษัทเปนอิ๊งได้ไหมจะเอาลงเว็บ เราจ๊ากเลยเขียนไม่ได้หรอก
เอางานมาให้แปล เราก็แปลผิดๆถูกๆ- -"
อยากรู่ว่าใครเป็นเหมือนกันบ้าง
เพื่อนเราทำนองนี้ก็หลายคนได้โทอิคกัน800-900 แต่ไปสอบieltsดันได้แค่6เอง
แบบมันเหมือนพอสื่อสารได้ แต่ให้มาทำskillอะไรเยอะๆนี่ไม่สามารถจริงๆนะ = =