วันที่ 27 มีนาคม 2556 10:00
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
มอร์แกน สแตนเลย์- เจพีมอร์แกน มองตลาดหุ้นไทยน่าลงทุน บอกดัชนีร่วงแรง!เป็นโอกาสเข้าซื้อ คาดปี"56 บจ.กำไรโตเกือบ 20%
เจพี มอร์แกน และ มอร์แกน สแตนเลย์ สองธนาคารพาณิชย์รายใหญ่สุดของสหรัฐ ได้เผยแพร่บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) รวมไทย โดยทั้งสองค่ายเห็นสอดคล้องตรงกันว่า การปรับลดลงอย่างมากของตลาดหุ้นไทยเป็นสัปดาห์แล้ว ไม่ส่งผลกระทบต่อคาดการณ์ผลประกอบการสดใสของตลาดในปีนี้ สะท้อนจากผลงานของตลาดช่วงปีนี้และช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ยังคงโดดเด่น ติดกลุ่มทำกำไรให้ผลประกอบการดีที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) และในเอเชีย ซึ่งจังหวะที่ตลาดหุ้นปรับตัวลงมากตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ถือเป็นโอกาสดีให้นักลงทุนเข้าตลาด
มอร์แกน สแตนเลย์ ยอมรับว่าเมื่อเร็วๆ นี้ เพิ่งปรับลดตลาดไทยลงจากกลุ่มตลาดชื่นชอบมากที่สุดใน 3 ตลาดอาเซียน และหันมาชื่นชอบตลาดหุ้นอินโดนีเซียมากที่สุด ทีมงานของธนาคารยังมองตลาดหุ้นไทยแง่ดี และเชื่อว่าการปรับตัวของตลาดเร็วๆนี้เกิดขึ้นมากเกินไป และตอนนี้เป็นโอกาสดีให้เข้าไปเล่น พร้อมให้เป้าหมายดัชนีเอ็มเอสซีไอตลาดไทยในรูปดอลลาร์สหรัฐ จะปรับขึ้น 12% ช่วงปีนี้
สำหรับประเด็นใหม่ที่ มอร์แกน สแตนเลย์ มองขณะนี้ เป็นกรณีที่ดัชนีเอ็มเอสซีไอสกุลเงินบาทปรับตัวลง 7% ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ทีมงานมอร์แกน สแตนเลย์ เชื่อว่าการปรับตัวของตลาดหุ้นไทยดังกล่าวได้แรงผลักดันส่วนใหญ่จากการตื่นเทขายหุ้น เนื่องจากการลดเทรดเก็งกำไรของรายย่อย หลังจากโบรกเกอร์ในไทยตกลงปฏิบัติตามกฎระเบียบเมื่อเร็วๆ นี้ ให้นักลงทุนลดใช้มาร์จินหันมาใช้เงินสดเพิ่มในการเทรดหุ้น จากกรณีนี้จึงเชื่อได้ว่านักลงทุนรายย่อยถูกกดดันให้ขายหลักทรัพย์ ขณะที่แรงเทขายสร้างแรงกดดันทำให้บรรยากาศตลาดหุ้นไทยเป็นลบ และแม้ว่ายากที่จะประเมินได้ว่าแรงกดดันให้เกิดการเทขายจะยุติลงเมื่อใด แต่ทีมงานมอร์แกนเชื่อว่าการปรับตัวของตลาดไทย เปิดโอกาสดีให้นักลงทุนเข้ามาเล่นได้
ด้าน เจพี มอร์แกน มองตลาดหุ้นไทยสัปดาห์ที่ผ่านมาลดลงอย่างมาก ปรับลง 7.5% เนื่องจากปัจจัยต่างๆ เช่น บาทแข็งค่าเร็ว และความกังวล ธปท.อาจใช้มาตรการควบคุมเงินทุน หรือ แคปปิตอล คอนโทรล บวกข่าวเชิงลบทางการเมืองรวมถึงข่าวเชิงลบจากยูโรโซน และแม้ตลาดหุ้นไทยปรับลดลง แต่จนถึงขณะนี้ดัชนีหุ้นไทยยังสามารถปรับขึ้น 6.3% ในปีนี้ และปรับขึ้น 24.2% ตลอด 12 เดือนที่ผ่านมา และได้รับการพิจารณายกให้เป็นตลาดมีผลประกอบการดีเยี่ยมที่สุดแห่งหนึ่งเวลานี้ โดยผลประกอบการได้แรงหนุนจากนักลงทุนในประเทศ ทั้งรายย่อยและนักลงทุนสถาบัน ขณะที่อัตราการมีส่วนร่วมของนักลงทุนต่างชาติลดลงจาก 23% ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา เหลือเพียง 19% ขณะนี้ และลงมาเป็น 17% เฉพาะสัปดาห์ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ เจพี มอร์แกน อาศัยการประเมินราคาเทียบกำไร (พีอี) ของตลาดไทยโดยรวม พบว่าปัจจุบันอยู่ที่ 11.7 เท่า ซึ่งสูงกว่าค่าพีอีเฉลี่ยในระยะยาวที่ 10.6 เท่า ซึ่งทีมงานของ เจพี มอร์แกน คิดว่าตลาดไทยควรเทรดกันที่ค่าพีอีเฉลี่ยสูงกว่านี้ ผลจากปัจจัยต่างๆ ทั้งเงินบาทแข็งค่า แนวโน้มและภาวะแวดล้อมเศรษฐกิจที่ดี กำไรของบริษัทและพลวัตเกิดจากการปรับมุมมองเป็นบวก พร้อมยืนยันว่านักวิเคราะห์หลายคนต่างเชื่อมั่นในคาดการณ์ต่างๆ กับแนวโน้มเป็นบวกของตลาดไทย
"เราคาดว่า การเติบโตของกำไรต่อหุ้นที่ระดับ 15% ปีนี้ เพิ่มขึ้นมากจากระดับ 10% ในปีที่แล้ว และนอกเหนือจากหุ้นกลุ่มปิโตรเคมีและสื่อสาร เรามองว่าหุ้นทุกกลุ่มทำกำไรต่อหุ้น (ค่าพีอี) ขยายตัวได้เกือบ 20% หรือมากกว่า เป็นผลจากคาดการณ์ระดับการเติบโตบวกกับผลตอบแทนจากหุ้นทุนหรืออาร์โออียังขยายตัว จึงคิดว่าตลาดหุ้นควรให้ผลประกอบการโดดเด่นอย่างต่อเนื่อง" ทีมงาน เจพี มอร์แกน ระบุ
ด้านทีมงาน มอร์แกน สแตนเลย์ เชื่อว่าบริษัทไทยหลายแห่งมีผลตอบแทนจากหุ้นทุน (อาร์โออี) เกิน 30% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา และในดัชนีเอ็มเอสซีไอระบุบริษัทไทยทำอาร์โออีเฉลี่ย 26.5% จากภาพรวมคาดการณ์การเติบโตของกำไรในตลาดไทย ถือว่าเป็นอัตราเติบโตดีที่สุดในภูมิภาคเอเชียปีนี้ ส่วนใหญ่คาดกันว่ากำไรต่อหุ้นในตลาดไทยจะขยายตัว 19.7% ในปีนี้ เทียบกับ 17% ในดัชนีเอ็มเอสซีไอเอเชีย ยกเว้น ญี่ปุ่น เชื่อว่านโยบายเชิงสนับสนุนของรัฐบาลมีแนวโน้มจะเกิดขึ้นต่อเนื่อง เป็นแรงขับเคลื่อนให้กำไรเติบโตอย่างเห็นได้ชัดปีนี้
ทีมงานย้อนวิเคราะห์ผลประกอบการโดดเด่นของตลาดหุ้นไทยช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่ได้แรงขับเคลื่อนจากการเติบโตของกำไรแข็งแกร่งเทียบตลาดเอเชียโดยรวม ยกเว้น ญี่ปุ่น และ ช่วงสองปีที่ผ่านมา ตลาดไทยมีผลประกอบการเด่นเหนือกว่าผลประกอบการตลาดเอเชียอื่น ยกเว้น ญี่ปุ่น อยู่ที่ 2.96% ส่วนการเติบโตของกำไร ก็เหนือกว่าตลาดเอเชียอื่น ยกเว้น ญี่ปุ่น อยู่ที่ 2.82% ทำให้ทีมงาน มอร์แกน สแตนเลย์เชื่อว่าการเติบโตแข็งแกร่งของกำไร จะยังเป็นแรงผลักดันผลประกอบการตลาดหุ้นไทยให้ดีต่อเนื่อง
2แบงก์สหรัฐชี้หุ้นไทยร่วงโอกาสซื้อ
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
มอร์แกน สแตนเลย์- เจพีมอร์แกน มองตลาดหุ้นไทยน่าลงทุน บอกดัชนีร่วงแรง!เป็นโอกาสเข้าซื้อ คาดปี"56 บจ.กำไรโตเกือบ 20%
เจพี มอร์แกน และ มอร์แกน สแตนเลย์ สองธนาคารพาณิชย์รายใหญ่สุดของสหรัฐ ได้เผยแพร่บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) รวมไทย โดยทั้งสองค่ายเห็นสอดคล้องตรงกันว่า การปรับลดลงอย่างมากของตลาดหุ้นไทยเป็นสัปดาห์แล้ว ไม่ส่งผลกระทบต่อคาดการณ์ผลประกอบการสดใสของตลาดในปีนี้ สะท้อนจากผลงานของตลาดช่วงปีนี้และช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ยังคงโดดเด่น ติดกลุ่มทำกำไรให้ผลประกอบการดีที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) และในเอเชีย ซึ่งจังหวะที่ตลาดหุ้นปรับตัวลงมากตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ถือเป็นโอกาสดีให้นักลงทุนเข้าตลาด
มอร์แกน สแตนเลย์ ยอมรับว่าเมื่อเร็วๆ นี้ เพิ่งปรับลดตลาดไทยลงจากกลุ่มตลาดชื่นชอบมากที่สุดใน 3 ตลาดอาเซียน และหันมาชื่นชอบตลาดหุ้นอินโดนีเซียมากที่สุด ทีมงานของธนาคารยังมองตลาดหุ้นไทยแง่ดี และเชื่อว่าการปรับตัวของตลาดเร็วๆนี้เกิดขึ้นมากเกินไป และตอนนี้เป็นโอกาสดีให้เข้าไปเล่น พร้อมให้เป้าหมายดัชนีเอ็มเอสซีไอตลาดไทยในรูปดอลลาร์สหรัฐ จะปรับขึ้น 12% ช่วงปีนี้
สำหรับประเด็นใหม่ที่ มอร์แกน สแตนเลย์ มองขณะนี้ เป็นกรณีที่ดัชนีเอ็มเอสซีไอสกุลเงินบาทปรับตัวลง 7% ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ทีมงานมอร์แกน สแตนเลย์ เชื่อว่าการปรับตัวของตลาดหุ้นไทยดังกล่าวได้แรงผลักดันส่วนใหญ่จากการตื่นเทขายหุ้น เนื่องจากการลดเทรดเก็งกำไรของรายย่อย หลังจากโบรกเกอร์ในไทยตกลงปฏิบัติตามกฎระเบียบเมื่อเร็วๆ นี้ ให้นักลงทุนลดใช้มาร์จินหันมาใช้เงินสดเพิ่มในการเทรดหุ้น จากกรณีนี้จึงเชื่อได้ว่านักลงทุนรายย่อยถูกกดดันให้ขายหลักทรัพย์ ขณะที่แรงเทขายสร้างแรงกดดันทำให้บรรยากาศตลาดหุ้นไทยเป็นลบ และแม้ว่ายากที่จะประเมินได้ว่าแรงกดดันให้เกิดการเทขายจะยุติลงเมื่อใด แต่ทีมงานมอร์แกนเชื่อว่าการปรับตัวของตลาดไทย เปิดโอกาสดีให้นักลงทุนเข้ามาเล่นได้
ด้าน เจพี มอร์แกน มองตลาดหุ้นไทยสัปดาห์ที่ผ่านมาลดลงอย่างมาก ปรับลง 7.5% เนื่องจากปัจจัยต่างๆ เช่น บาทแข็งค่าเร็ว และความกังวล ธปท.อาจใช้มาตรการควบคุมเงินทุน หรือ แคปปิตอล คอนโทรล บวกข่าวเชิงลบทางการเมืองรวมถึงข่าวเชิงลบจากยูโรโซน และแม้ตลาดหุ้นไทยปรับลดลง แต่จนถึงขณะนี้ดัชนีหุ้นไทยยังสามารถปรับขึ้น 6.3% ในปีนี้ และปรับขึ้น 24.2% ตลอด 12 เดือนที่ผ่านมา และได้รับการพิจารณายกให้เป็นตลาดมีผลประกอบการดีเยี่ยมที่สุดแห่งหนึ่งเวลานี้ โดยผลประกอบการได้แรงหนุนจากนักลงทุนในประเทศ ทั้งรายย่อยและนักลงทุนสถาบัน ขณะที่อัตราการมีส่วนร่วมของนักลงทุนต่างชาติลดลงจาก 23% ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา เหลือเพียง 19% ขณะนี้ และลงมาเป็น 17% เฉพาะสัปดาห์ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ เจพี มอร์แกน อาศัยการประเมินราคาเทียบกำไร (พีอี) ของตลาดไทยโดยรวม พบว่าปัจจุบันอยู่ที่ 11.7 เท่า ซึ่งสูงกว่าค่าพีอีเฉลี่ยในระยะยาวที่ 10.6 เท่า ซึ่งทีมงานของ เจพี มอร์แกน คิดว่าตลาดไทยควรเทรดกันที่ค่าพีอีเฉลี่ยสูงกว่านี้ ผลจากปัจจัยต่างๆ ทั้งเงินบาทแข็งค่า แนวโน้มและภาวะแวดล้อมเศรษฐกิจที่ดี กำไรของบริษัทและพลวัตเกิดจากการปรับมุมมองเป็นบวก พร้อมยืนยันว่านักวิเคราะห์หลายคนต่างเชื่อมั่นในคาดการณ์ต่างๆ กับแนวโน้มเป็นบวกของตลาดไทย
"เราคาดว่า การเติบโตของกำไรต่อหุ้นที่ระดับ 15% ปีนี้ เพิ่มขึ้นมากจากระดับ 10% ในปีที่แล้ว และนอกเหนือจากหุ้นกลุ่มปิโตรเคมีและสื่อสาร เรามองว่าหุ้นทุกกลุ่มทำกำไรต่อหุ้น (ค่าพีอี) ขยายตัวได้เกือบ 20% หรือมากกว่า เป็นผลจากคาดการณ์ระดับการเติบโตบวกกับผลตอบแทนจากหุ้นทุนหรืออาร์โออียังขยายตัว จึงคิดว่าตลาดหุ้นควรให้ผลประกอบการโดดเด่นอย่างต่อเนื่อง" ทีมงาน เจพี มอร์แกน ระบุ
ด้านทีมงาน มอร์แกน สแตนเลย์ เชื่อว่าบริษัทไทยหลายแห่งมีผลตอบแทนจากหุ้นทุน (อาร์โออี) เกิน 30% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา และในดัชนีเอ็มเอสซีไอระบุบริษัทไทยทำอาร์โออีเฉลี่ย 26.5% จากภาพรวมคาดการณ์การเติบโตของกำไรในตลาดไทย ถือว่าเป็นอัตราเติบโตดีที่สุดในภูมิภาคเอเชียปีนี้ ส่วนใหญ่คาดกันว่ากำไรต่อหุ้นในตลาดไทยจะขยายตัว 19.7% ในปีนี้ เทียบกับ 17% ในดัชนีเอ็มเอสซีไอเอเชีย ยกเว้น ญี่ปุ่น เชื่อว่านโยบายเชิงสนับสนุนของรัฐบาลมีแนวโน้มจะเกิดขึ้นต่อเนื่อง เป็นแรงขับเคลื่อนให้กำไรเติบโตอย่างเห็นได้ชัดปีนี้
ทีมงานย้อนวิเคราะห์ผลประกอบการโดดเด่นของตลาดหุ้นไทยช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่ได้แรงขับเคลื่อนจากการเติบโตของกำไรแข็งแกร่งเทียบตลาดเอเชียโดยรวม ยกเว้น ญี่ปุ่น และ ช่วงสองปีที่ผ่านมา ตลาดไทยมีผลประกอบการเด่นเหนือกว่าผลประกอบการตลาดเอเชียอื่น ยกเว้น ญี่ปุ่น อยู่ที่ 2.96% ส่วนการเติบโตของกำไร ก็เหนือกว่าตลาดเอเชียอื่น ยกเว้น ญี่ปุ่น อยู่ที่ 2.82% ทำให้ทีมงาน มอร์แกน สแตนเลย์เชื่อว่าการเติบโตแข็งแกร่งของกำไร จะยังเป็นแรงผลักดันผลประกอบการตลาดหุ้นไทยให้ดีต่อเนื่อง