......................นอกจากผักและผลไม้สดที่ไทยถือเป็นผู้ส่งออกอันดับต้น ๆ ของโลกแล้ว ประเทศไทยยังเป็นหนึ่งในผู้ผลิตไม้ดอกติดอันดับด้วยเช่นกัน โดยนอกจากกล้วยไม้แล้ว ดอกหน้าวัวก็เป็นอีกหนึ่งสินค้าส่งออกสำคัญที่ใครคาดไม่ถึงเพราะผลผลิตที่ดีจะต้องมาจากจุดกำเนิดที่ดีก่อนเป็นอันดับแรก ทว่าเรากลับยังไม่สามารถเพาะและพัฒนาสายพันธุ์ดอกหน้าวัวแบบที่ตลาดโลกต้องการได้ และแอนธูร่า คือบริษัทผู้เชี่ยวชาญด้านการผสมพันธุ์และขยายพันธุ์ดอกหน้าวัวอันดับหนึ่งของโลกสัญชาติเนเธอร์แลนด์
มร.คาสเปอร์ เรียทเวลท์ ผู้จัดการภูมิภาคแอนธูร่า บอกว่า บริษัทบุกตลาดในเขตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มานานแล้ว โดยมีเครือข่ายทั้งในอินโดนีเซีย ลาว พม่า จีน โดยมีเวียดนาม ไทย และมาเลเซียเป็นตลาดหลัก ทางแอนธูร่าจะจัดส่งต้นอ่อนเพื่อให้เกษตรกรไปเลี้ยงดูต่อ
“ประเทศไทยโดยเฉพาะในภาคใต้มีสภาพภูมิอากาศแบบร้อนชื้น ซึ่งเหมาะสมสำหรับการปลูกดอกหน้าวัวมากที่สุด ประกอบกับเกษตรกรไทยมีเทคนิคในการดูแลมีการนำกะลาปาล์มมาช่วยเก็บความชื้นจึงทำให้ได้ผลผลิตที่ดี นอกจากนี้ในภาคเหนืออย่างเชียงใหม่ก็มีลูกค้านำไปปลูกเพื่อตัดดอกส่งออกด้วยเช่นกัน”
ขณะที่ในเวียดนามซึ่งเป็นอีกหนึ่งตลาดใหญ่ในอาเซียนนั้น ปัจจุบันมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีเพื่อช่วยเพิ่มผลผลิตให้มีปริมาณมากขึ้นและมีคุณภาพดีขึ้นด้วย
ความจริงแล้วดอกหน้าวัวนั้นเป็นพืชในเขตร้อน แต่ในประเทศต้นกำเนิดกลับไม่มีการพัฒนาสายพันธุ์ให้ตรงกับความต้องการของตลาด มักจะปลูกพันธุ์พื้นเมืองเป็นหลัก ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญอย่างแอนธูร่าไม่เพียงมีการผสมข้ามสายพันธุ์เพื่อให้ได้หน้าวัวสีสันที่แปลกออกไป แต่ยังมีการพัฒนาทางด้านคุณภาพของไม้ตัดดอกชนิดนี้ไปพร้อม ๆ กันด้วย
เหตุผลที่ต้องใช้การขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเนื้อเยื่อและส่งออกเป็นต้นอ่อนนั้น ก็เพื่อความแน่นอนในเรื่องของสายพันธุ์ที่จะไม่มีการกลายพันธุ์หรือผิดเพี้ยน โดยตลาดหลักอย่างสหรัฐอเมริกา นิยมใช้หน้าวัวพันธุ์สีแดงและสีแดงอ่อนมาก โดยคิดเป็นร้อยละ 80 ส่วนที่เหลืออีกร้อยละ 20 นั้นเป็นดอกสีชมพู และสีขาว ส่วนฝรั่งเศสและสวิตเซอร์แลนด์กลับนิยมหน้าวัวสีแดงและสีส้ม
นอกจากหน้าวัวแล้วแอนธูร่ายังมีการพัฒนาสายพันธุ์ต้นอ่อนของไม้ดอกอื่น ๆ มากมาย อาทิ ดอกเบญจมาศซึ่งมีแหล่งปลูกใหญ่อยู่ที่เมืองคาเมรอนในมาเลเซีย ขณะที่ดอกลิลลี่มีแหล่งปลูกอยู่ที่ดาลัดของเวียดนาม ขณะที่ไทยกล้วยไม้สายพันธุ์ฟาแลนและหวายเป็นตลาดหลัก ซึ่งทั้งหมดนั้นแอนธูร่าจะพัฒนาสายพันธุ์และส่งออกเป็นต้นอ่อนเช่นกัน
ขณะที่บริษัทริจค์ซวาน อีกหนึ่งบริษัทชั้นนำด้านการขยายพันธุ์พืชและจำหน่ายเมล็ดพันธุ์คุณภาพระดับสากลนั้น ก็ให้ความสำคัญในเรื่องของการศึกษา วิจัย และการพัฒนาคุณภาพของพืชผลทางการเกษตรไม่แพ้กัน โดยเมล็ดพันธุ์ทุกชนิดที่ได้รับการพัฒนานั้นมีอัตราส่วนการงอกถึงร้อยละ 90 โดยคำนึงถึงความปลอดภัยต่อผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อมในทุกขั้นตอน
ทั้งสองบริษัทจะร่วมเป็นส่วนหนึ่งของงาน “ฮอร์ติ เอเชีย 2013” ที่จะจัดขึ้นที่ประเทศไทย ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค โดยบริษัท วีเอ็นยู เอ็กซิบิชั่นส์ เอเชีย แปซิฟิค จำกัด ผู้สนใจสามารถเข้าชมได้ฟรีระหว่าง 9-11 พ.ค. 2556.
ที่มา
http://www.dailynews.co.th/businesss/193091
อาเซียน..แหล่งผลิตไม้ตัดดอก
มร.คาสเปอร์ เรียทเวลท์ ผู้จัดการภูมิภาคแอนธูร่า บอกว่า บริษัทบุกตลาดในเขตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มานานแล้ว โดยมีเครือข่ายทั้งในอินโดนีเซีย ลาว พม่า จีน โดยมีเวียดนาม ไทย และมาเลเซียเป็นตลาดหลัก ทางแอนธูร่าจะจัดส่งต้นอ่อนเพื่อให้เกษตรกรไปเลี้ยงดูต่อ
“ประเทศไทยโดยเฉพาะในภาคใต้มีสภาพภูมิอากาศแบบร้อนชื้น ซึ่งเหมาะสมสำหรับการปลูกดอกหน้าวัวมากที่สุด ประกอบกับเกษตรกรไทยมีเทคนิคในการดูแลมีการนำกะลาปาล์มมาช่วยเก็บความชื้นจึงทำให้ได้ผลผลิตที่ดี นอกจากนี้ในภาคเหนืออย่างเชียงใหม่ก็มีลูกค้านำไปปลูกเพื่อตัดดอกส่งออกด้วยเช่นกัน”
ขณะที่ในเวียดนามซึ่งเป็นอีกหนึ่งตลาดใหญ่ในอาเซียนนั้น ปัจจุบันมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีเพื่อช่วยเพิ่มผลผลิตให้มีปริมาณมากขึ้นและมีคุณภาพดีขึ้นด้วย
ความจริงแล้วดอกหน้าวัวนั้นเป็นพืชในเขตร้อน แต่ในประเทศต้นกำเนิดกลับไม่มีการพัฒนาสายพันธุ์ให้ตรงกับความต้องการของตลาด มักจะปลูกพันธุ์พื้นเมืองเป็นหลัก ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญอย่างแอนธูร่าไม่เพียงมีการผสมข้ามสายพันธุ์เพื่อให้ได้หน้าวัวสีสันที่แปลกออกไป แต่ยังมีการพัฒนาทางด้านคุณภาพของไม้ตัดดอกชนิดนี้ไปพร้อม ๆ กันด้วย
เหตุผลที่ต้องใช้การขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเนื้อเยื่อและส่งออกเป็นต้นอ่อนนั้น ก็เพื่อความแน่นอนในเรื่องของสายพันธุ์ที่จะไม่มีการกลายพันธุ์หรือผิดเพี้ยน โดยตลาดหลักอย่างสหรัฐอเมริกา นิยมใช้หน้าวัวพันธุ์สีแดงและสีแดงอ่อนมาก โดยคิดเป็นร้อยละ 80 ส่วนที่เหลืออีกร้อยละ 20 นั้นเป็นดอกสีชมพู และสีขาว ส่วนฝรั่งเศสและสวิตเซอร์แลนด์กลับนิยมหน้าวัวสีแดงและสีส้ม
นอกจากหน้าวัวแล้วแอนธูร่ายังมีการพัฒนาสายพันธุ์ต้นอ่อนของไม้ดอกอื่น ๆ มากมาย อาทิ ดอกเบญจมาศซึ่งมีแหล่งปลูกใหญ่อยู่ที่เมืองคาเมรอนในมาเลเซีย ขณะที่ดอกลิลลี่มีแหล่งปลูกอยู่ที่ดาลัดของเวียดนาม ขณะที่ไทยกล้วยไม้สายพันธุ์ฟาแลนและหวายเป็นตลาดหลัก ซึ่งทั้งหมดนั้นแอนธูร่าจะพัฒนาสายพันธุ์และส่งออกเป็นต้นอ่อนเช่นกัน
ขณะที่บริษัทริจค์ซวาน อีกหนึ่งบริษัทชั้นนำด้านการขยายพันธุ์พืชและจำหน่ายเมล็ดพันธุ์คุณภาพระดับสากลนั้น ก็ให้ความสำคัญในเรื่องของการศึกษา วิจัย และการพัฒนาคุณภาพของพืชผลทางการเกษตรไม่แพ้กัน โดยเมล็ดพันธุ์ทุกชนิดที่ได้รับการพัฒนานั้นมีอัตราส่วนการงอกถึงร้อยละ 90 โดยคำนึงถึงความปลอดภัยต่อผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อมในทุกขั้นตอน
ทั้งสองบริษัทจะร่วมเป็นส่วนหนึ่งของงาน “ฮอร์ติ เอเชีย 2013” ที่จะจัดขึ้นที่ประเทศไทย ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค โดยบริษัท วีเอ็นยู เอ็กซิบิชั่นส์ เอเชีย แปซิฟิค จำกัด ผู้สนใจสามารถเข้าชมได้ฟรีระหว่าง 9-11 พ.ค. 2556.
ที่มา http://www.dailynews.co.th/businesss/193091