เอเด็น อาซาร์ กับเพลงแข้งอันสุดยอดที่แฟนบอลจะต้องจดจำ !!!!

..........ผมว่าผมคิดผิดเอามากๆ ที่ตั้งความหวังกับ เอเด็น อาซาร์ ไว้เพียงแค่มาตรฐานเดียวกับผลงานปีแรกของ ฆวน มาต้า ในถิ่น เดอะ บริดจ์ ที่เป็นตัวหลักของทีมได้แล้วแต่ก็ยังต้องใช้เวลาปรับตัวอีกอย่างน้อยๆ 1 ฤดูกาลเพื่อจับจังหวะของเกมพรีเมียร์ลีกให้ลงตัว

อันนี้ต้องยอมรับว่าปีก่อน ฆวน มาต้า มีส่วนสำคัญในการพาทีมประสบความสำเร็จและคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของสโมสร แต่ถ้าหากใครเคยดูฝีเท้าของเพลย์เมกเกอร์กระทิงดุรายนี้มาก่อนจะทราบดีกว่าฟอร์มของ มาต้า ในยูนิฟอร์มน้ำเงินครามปีแรกยังเทียบไม่ได้กับผลงานที่ฝากไว้ในถิ่น เมสตาย่า จนแฟน "ค้างคาว" ต้องตราตรึง

อย่างไรก็ตาม ผลงานปีนี้ของ มาต้า ยกระดับขึ้นมาได้ดีเยี่ยม เป็นนักเตะคนสำคัญและเป็นที่พึ่งของทีมได้อย่างเต็มภาคภูมิ นี่คือสิ่งที่ผมพอใจกับการพัฒนาของนักเตะรายนี้และก็คาดหวังไว้ว่าในฤดูกาลหน้า เอเด็น อาซาร์ จะยกระดับตัวเองได้ดีแบบปีต่อปีเหมือนที่ ฆวน มาต้า ได้พิสูจน์ตัวเองไปเป็นที่เรียบร้อย หลายคนอาจสงสัยว่าเหตุใดผมถึงหวังไว้ปีหน้าแทนที่จะเป็นปีนี้ ? โดยส่วนตัวผมคิดว่าช่วงครึ่งฤดูกาลแรก อาซาร์ อาจมีการโชว์ลีลาที่หวือหวาได้งดงาม แต่ในช่วงที่ทีมกำลังคับขันเจ้าตัวยังแบกรับภาระตรงนั้นไว้ได้ไม่ดีพอ จะเรียกว่าเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน อาซาร์ ยังไม่ใช่จุดเปลี่ยนของทีมก็คงไม่ผิดนัก..

การเปิดตัวได้สวยหรูตั้งแต่เกมแรกของฤดูกาลด้วย 2 แอสซิสที่ ดีดับเบิ้ลยู สเตเดี้ยม จนถึงนัดที่เปิดบ้านไล่ต้อน เรดดิ้ง กับ นิวคาสเซิ่ล ถือว่าเป็นการตั้งความหวังครั้งใหม่ของทีมไว้ได้ดีทีเดียว ต้องบอกว่าตอนนั้นหลายๆ คนไม่คิดว่า อาซาร์ จะเริ่มต้นได้ร้อนแรงขนาดนั้น และแน่นอนว่าถ้าเปิดฉากได้สวยผู้คนก็ต้องคาดหวังไว้สูงตามกับผลงานต่อมา

ทว่าฟอร์มถัดมาหลังจากนั้นมีช่วงหนึ่งแฟนๆ เชลซี ได้ตั้งข้อสงสัยว่าทำไม อาซาร์ ถึงไม่เลี้ยงลุยเหมือนกับ 3 เกมแรกของฤดูกาลที่โชว์ฟอร์มได้ดีมาก จับบอลได้ไม่คิดอะไรอย่างอื่นนอกจากส่งอย่างเดียว.. แรกๆ คิดว่าเน้นทำเพื่อทีม แต่พอเวลาผ่านไปเครื่องหมายคำถามได้ลอยเข้ามาว่า อาซาร์ ควรจะเป็นนักเตะที่ต้องลุยฝ่าแนวรับคู่แข่งไม่ใช่หรือ ? เพราะว่าหน้าที่การกำหนดทิศทางขึ้นเกมรุกก็มี ฆวน มาต้า เป็นจอมทัพคุมเกมอยู่แล้ว...

ที่สำคัญคือช่วงนั้นอยู่โหมดทีมฟอร์มตกรวมถึงรอยต่อจาก โรแบร์โต้ ดิ มัตเทโอ้ สู่กุนซือชาวสแปนิชเจ้าของวลี "Rafa Out" ที่เราคุ้นเคยกัน.. ทีมฟอร์มไม่ดีคนที่คอยช่วยเหลือและแบกรับภาระทีมตลอดเวลาในตอนนั้นคือ มาต้า ที่เป็นทุกอย่างของทีมจริงๆ ส่วนตัว อาซาร์ จากที่สตาร์ทได้น่าประทับใจกลับกลายเป็นนักเตะที่ดีคนหนึ่งแต่ไม่สามารถใช้ฝีเท้าของตนเองสร้างความแตกต่างได้

นี่คือสาเหตุที่ทำให้กว่า 60-70% ของฤดูกาลที่ผ่านมาผมพอใจกับ อาซาร์ ในจุดเดียวกับที่ มาต้า ทำเอาไว้ในปีแรก ไม่หวังไว้มากกว่านั้นในระยะสั้นๆ ที่เหลือของฤดูกาลนี้.. ซึ่งผมก็ได้จั่วหัวไว้แล้วว่าผมคิดผิดแบบเต็มๆ กับฟอร์มช่วงหลังๆ ที่รักษาความต่อเนื่องได้ดีและประสานงานกับ มาต้า ได้ลงตัวจนบางทีแอบตกใจเพราะไม่คิดว่า อาซาร์ แกจะใช้เวลาเพียงไม่นานยกระดับของตนเองได้มากมายขนาดนี้

จุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมเริ่มเอะใจว่า อาซาร์ แกไปกินอะไรมาอยู่ดีๆ ก็องค์ลงสุดๆ คือในเกมที่เป็นซูเปอร์ซับลงมาล็อคหลบกองหลัง สปาร์ต้า ปราก ถึง 2 คนก่อนจะอัดเต็มข้อด้วยซ้ายบอลพุ่งเป็นจรวดเสียบสามเหลี่ยมพาทีมเข้ารอบไปแบบกระชากอารมณ์แฟนบอลได้อย่างสุดยอด!

เท่านั้นไม่พอเพราะยังอุตส่าห์ไปซัดประตูสุดงามใส่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในเกม เอฟเอ คัพ ชนิดที่ต้องสะกดคำว่า "ตะลึง" อีกครั้งใส่นักเตะรายนี้.. นี่คือสิ่งที่ทุกคนต้องการมากที่สุดสำหรับการเป็นจุดชี้ขาดของทีม สามารถสร้างความแตกต่างได้ จนรวมไปถึงเกมกับ สเตอัว บูคาเรสต์ และ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ที่ผมใส่ดาวประดับให้เป็นเกรด "เวิร์ลคลาส" ถึง 4 นัดเต็มใน 1 เดือนเศษๆ ที่ผ่านมา..

แฟนบอลทีมอื่นๆ อาจมองว่ายังห่างไกลจากคำว่า "เวิร์ลคลาส" เพราะทีมยังไม่มีโทรฟี่ใหญ่ๆ มาครองในปีนี้.. แต่ผมไม่คิดแบบนั้น ผมคิดแค่ว่านักเตะที่จะก้าวสู่จุดนั้นได้ต้องมีลักษณะพิเศษที่ไม่เหมือนใครคือมีต้องมี "บุคลิก" ของการเป็นเป็นนักเตะที่ดี ซึ่งอันนี้มันคงอธิบายเป็นคำพูดไม่ถูก แต่พวกนักเตะระดับโลกทุกคนจะมีสิ่งนี้อยู่ด้วยกันทั้งหมด รวมถึงการเป็นตัวแปรสำคัญของผลการแข่งขันซึ่งต้องบอกว่า ณ ปัจจุบัน อาซาร์ สามารถตีโจทย์เหล่านั้นได้เป็นที่เรียบร้อย

เสียดายที่ตกรอบ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ไวเกินไป.. เสียดายที่เวทีพรีเมียร์ลีกสะดุดยาวไปหน่อยจนหมดสิทธิ์ลุ้นแชมป์.. ไม่งั้นตัว อาซาร์ เองน่าจะมีโอกาสในการแสดงฝีเท้าให้คนทั่วโลกได้เห็นมากกว่าเดิม เพราะเท่าที่เป็นอยู่คงมีแต่แฟนๆ เชลซี ที่ติดตามมาโดยตลอดเท่านั้นที่จะทราบจากความรู้สึกของตนเองได้เป็นอย่างดีว่าความสามารถของ อาซาร์ ตอนนี้อยู่ในระดับไหน

เมื่อผลงานดีแบบนี้ คำถามต่อมาคือในฤดูกาลหน้าบทบาทของตัว อาซาร์ จะเป็นแบบใด ? สำหรับผมทั้ง อาซาร์ และ มาต้า ดีพอที่จะเป็นตัวหลักของทีมได้แบบไม่มีข้อต้องแย้งใดๆ แต่ประเด็นมันจะไปอยู่ที่ "3 ประสาน" อีก 1 คนอย่าง ออสการ์ จะยังได้เป็นตัวหลักต่อหรือไม่ ? เพราะที่เป็นอยู่แม้จะทำผลงานได้ดีแต่ในยุคของ ราฟาเอล เบนิเตซ ตัวของ ออสการ์ ก็ยังไม่ใช่ตัวจริงแบบถาวร อันนี้อยู่ที่โค๊ชคนต่อไปจริงๆ ครับว่าจะใช้ปรัชญาการทำทีมแบบไหน.. ถ้าเป็นสไตล์เน้นความสวยงามของรูปแบบการเข้าทำเราอาจได้เห็น "3 ทหารสิงห์" เวอร์ชั่นอัพเกรตยิ่งกว่าเดิมในปีหน้า แต่ถ้าเกิดเป็นพวกกุนซือชื่นชอบการใช้ปีกโจมตีแบบ โชเซ่ มูรินโญ่ คาดว่าทีมน่าจะหาตัวริมเส้นฝั่งขวามาใหม่อีกคนเพราะ ออสการ์ เหมาะที่จะอยู่ตรงกลางมากกว่าฝืนเล่นอยู่ด้านข้างสนาม

โดยส่วนตัวผมชอบแบบใช้ปีกมากกว่าเพราะฟุตบอลแบบอังกฤษไปฝืนเล่นสั้นๆ กับเท้าสวยงามมันคงเป็นไปไม่ได้ด้วยปัจจัยหลายๆ อย่าง เพราะฉะนั้นการสร้างทีมโดยมีนักเตะริมเส้นเป็นฝ่ายทะลุทะลวงน่าจะเป็นคำตอบที่ลงตัวที่สุดของเวทีพรีเมียร์ลีก ซึ่งระบบ 4-4-2 ของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูซัน ก็ได้ให้คำตอบไว้หมดแล้วกับผลงานทั้งหมดในตลอดชีวิตการคุมทีม

แน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่ของ เชลซี ในฤดูกาลหน้าตัวผู้จัดการทีมคนใหม่น่าจะเป็นผู้ให้คำตอบได้ทั้งหมด แต่ที่แน่ๆ คือไม่ว่าจะเป็นระบบไหนผมมองว่าตัว อาซาร์ ค่อนข้างที่จะปรับตัวได้ง่ายเพราะเล่นริมเส้นก็ทำได้ดี หรือจะขยับเข้าไปเป็นตัวฟรีตรงกลางก็ทำได้แบบไม่ขาดตกบกพร่อง แต่ถ้าตำแหน่งที่ดูแล้วน่าจะถนัดที่สุดคงเป็น "ปีกซ้าย" ในสไตล์ลากบอลตัดเข้าในมายิงมันส์เต็มสตรีมสะใจแฟนบอล

ยิ่งฟอร์มดียิ่งประทับใจ และต้องบอกว่าถ้าพูดกันถึง ณ จุดนี้ผมประทับใจผลงานของ อาซาร์ ยิ่งกว่าตอนที่ อาร์เยน ร็อบเบน ย้ายมาปีแรกพอสมควร เลี้ยงเก่งเหมือนกัน หวือหวาเหมือนกัน แต่ทริคความสวยงามเอนเตอร์เทนแฟนบอลทำได้ดีกว่าและที่ขาดไม่ได้ก็คือสภาพร่างกายของ อาซาร์ ที่ดูทรงแล้วคงไม่ใช่นักเตะกระดูกยุงที่เล่นดี 5 นัดแต่เจ็บครึ่งฤดูกาล

ผมว่าเรื่องของสภาพร่างกายคือเหตุผลต้นๆ ที่ทำให้ มูรินโญ่ ตัดสินใจขาย ร็อบเบน ออกไปมากกว่าเม็ดเงิน 30 ล้านยูโรสถิติสโมสรเสียอีก.. ทั้งตัว อาซาร์ และ ร็อบเบน ย้ายเข้ามาตอนอายุ 21 ปีเหมือนกัน เริ่มต้นได้สวยเหมือนกัน แต่ต้องบอกว่าทิศทางของ อาซาร์ ดูจะสวยหรูกว่าในชีวิตของการค้าแข้งถ้าไม่ติดงอแงอยากย้ายไปเตะที่ ลาลีก้า สเปน เสียก่อน..

พอฟอร์มดีสิ่งที่ตามมาคือคนเริ่มพูดถึงรางวัล "บัลลง ดอร์" ในอนาคตจะมีโอกาสคว้ามาครองได้หรือไม่ ? จนถึงตอนนี้ผมว่าพูดเรื่องนั้นยังเร็วไปแม้ว่า เอ็นโซ่ ไซโฟร์ ตำนานเพลย์เมกเกอร์ชาวเบลเยี่ยมจะออกมาพูดว่า "ในอีก 2 - 3 ปีข้างหน้าผมไม่คิดว่าจะมีใครมาขวางเขาไม่ให้ได้ บัลลง ดอร์" ก็ตาม..

ถ้าหากหวังถึงตำแหน่งนั้นนอกจากฝีเท้าของตนเองที่ต้องพัฒนายังต้องลุ้นให้ความร้อนแรงของ ลิโอเนล เมสซี่ และ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ลดลงในเร็ววัน ไม่เช่นนั้นความยากมันก็ทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะ เมสซี่ ที่เรายังไม่เห็นวี่แววเลยว่าแกจะฟอร์มตกเมื่อไหร่ ? ยิ่งเล่นยิ่งดี จากแค่เลี้ยงบอลเก่งตอนเป็นดาวรุ่งจนถึงตอนนี้ฟูลออปชั่นทำประตูพ่วงเซตพีท นี่คือต้นแบบที่ อาซาร์ ต้องดูเป็นแบบอย่างถ้าหากหวังไกลเกินกว่าคำว่า "เวิร์ลคลาส" ในอนาคต

นี่คือบทพิสูจน์ครั้งใหญ่ของ อาซาร์ กับการทลายกำแพงสู่ระดับเดียวกับยอดนักเตะรุ่นพี่..

ถ้าถามว่าจะไปไกลจนถึงขั้นนั้นได้ไหมผมคงให้คำตอบไม่ได้.. แต่ถ้าจะเอ่ยถึงนักเตะสักคนที่สร้างความ "มหัศจรรย์" ในถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ ได้อย่างยอดเยี่ยมเหมือนที่ จานฟรังโก้ โซล่า เคยทำไว้ในอดีต..

ผมไม่คิดว่า เอเด็น อาซาร์ คือ 1 ในนักเตะที่ผมนึกถึง.. แต่นี่คือนักเตะ "คนแรก" ที่ทำให้ผมรู้สึกแบบเดียวกับ โซล่า ในตอนนั้น..

นี่คือความภาคภูมิใจของแฟนบอลที่มีโอกาสได้เห็น เอเด็น อาซาร์ สวมยูนิฟอร์มสีน้ำเงินครามและเขย่ามนต์ขลังให้ผู้คนทั่วโลกต้องจดจำว่านี่คือนักเตะของ เชลซี...


http://www.soccersuck.com/soccer/viewtopic.php?t=792196&sid=1480735a9c5db4f5f01e29d74fc08b42
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่