พิธีสวดมนต์ขมากรรมเจ้ากรรมนายเวร เล่งเน่ยยี่



งานประจำปีอันศักดิ์สิทธิ์ ของวัดเล่งเน่ยยี่ คือ พิธีสวดมนต์ขมากรรมเจ้ากรรมนายเวร เหลียงอ๊วงป๋อฉ่ำ
จะมีเป็นประจำทุกๆปี ในเดือน 2 ขึ้น 12 ค่ำ – ขึ้น 16 ค่ำ ตามจันทรคติจีน
พิธีสวดมนต์ขมากรรมเจ้ากรรมนายเวรนี้ เป็นคติความเชื่อในพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน ซึ่งมีการพรรณนาอรรถรส แห่งพระสูตรนี้ว่า
เกี่ยวกับเรื่องวิบากกรรมที่สรรพสัตว์ทั้งหลายไม่สามารถหลีกพ้นได้ เว้นแต่ผู้ดำรงตนอยู่ในโพธิสัตวมรรค อันเป็นหนทางสู่อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ


ตำนานเรื่องการกำเนิดพระสูตรนี้ เริ่มต้นในสมัยราชวงศ์พระเจ้าเหลียงบู๊ตี้ กล่าวว่าในสมัยนั้นแผ่นดินจีนได้รับร่มเงาแห่ง ศาสนาพุทธ เป็นที่พึ่ง
พระเจ้าเหลียงบู๊ตี้ทรงมีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ทรงอุปถัมภ์ศาสนาพุทธเป็นอย่างดียิ่ง ทรงมีพระราชศรัทธาสร้างวัดวาอาราม
โรงเจ ทั่วทั้งแผ่นดินเหลี่ยง และยังทรงดำรงตนเป็นพุทธมามกะที่ดี ทรงสนพระทัยในการศึกษาพระสัจธรรมคำสอนอีกด้วย

เหตุเพราะการกุศลนี้ ทำให้การกลับกลายเป็นอกุศล ต้นเหตุเกิดจากพระนางฮีลีฮองเฮา พระมเหสีของพระองค์เอง ทรงมีความอิจฉาริษยา และเกลียดชังพระพุทธศาสนา
เพราะพระนางคิดว่าพระสวามีสนใจแต่การพระศาสนา มากกว่าพระองค์ จนเป็นเหตุให้พระนางคิดกระทำการ อันเป็นบาป เป็นเวรต่อพระศาสนา
พระนางทรงติเตียนพระพุทธศาสนาทุกๆเรื่อง อีกทั้งยังกล่าวอาบัติหยาบชั่วแก่พระอริยสงฆ์ ทรงทำลายศาสนสถาน และพระคัมภีร์เป็นอันมาก

วันหนึ่งพระเจ้าเหลียงบู๊ตี้ทรงมีพระราชศรัทธานิมนต์พระอริยสงฆ์ มาฉันภัตตาหารในพระราชวัง พระนางจึงออกอุบายให้ ห้องเครื่องทำ ภัตตาหารเจือปนเนื้อสัตว์ ซึ่งพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานจะฉันเฉพาะอาหารมังสวิรัติ โดยคิดว่าพระสวามีของตนจะต้องเสียพระราชศรัทธาต่อพระสงฆ์ ผู้มีจิตเสพเนื้อสัตว์อันเป็นการละเมิดพระโพธิสัตว์ศีลอย่างแน่ ( พระโพธิสัตว์ศีล เป็นศีลข้อปฏิบัติของพระสงฆ์ในฝ่ายมหายาน มีหลักสำคัญว่าด้วยเรื่องการงดเว้นเนื้อสัตว์ เพื่ออนุเคราะห์สรรพสัตว์โลก ) แต่เมื่อถึงเวลาฉันภัตตาหาร พระอริยสงฆ์ทุกๆองค์ต่างนั่งนิ่งเฉย ไม่ฉันของถวายทานทั้งปวงนั้น

พระเจ้าเหลียงบู๊ตี้เห็นดังนั้น “ เหตุใดพระคุณท่านจึงมิฉัน ” ทรงถามพระอริยสงฆ์ “ มหาบพิตร ภัตตาหารเหล่านี้ล้วนเกิดจากการทำปาณาติบาตเบียดเบียนชีวิตผู้อื่น พวกอาตมาภาพจึงมิฉัน ” พระอริยสงฆ์ตอบพระเจ้าเหลียงบู๊ตี้

เมื่อทรงทราบความจริง พระเจ้าเหลียงบู๊ทรงสั่งให้นำภัตตาหารเหล่านั้นไปทิ้งข้างกำแพงเมือง กลับปรากฏว่าภตตาหารเหล่านั้นงอกเป็น ผักที่มีกลิ่นฉุน 5 ชนิด คือ ต้นหอม กุยช่าย  หลักเกี้ยว กระเทียม ใบยาสูบ พุทธศาสนิกชนต่อๆมาจึงพากันเชื่อว่าผักเหล่านี้มีต้นกำเนิดจากเนื้อสัตว์ ผู้ถือศีลกินเจจึงห้ามบริโภคผักทั้ง 5 ชนิด

เวลาผ่านมาไม่นาน พระนางฮีลีฮองเฮาทรงประชวรและสิ้นพระชมน์ ด้วยแรงแห่งบาปเวรที่ทรงกระทำไว้ ทำให้เกิดมลทินต่อพระศาสนา
ดวงพระวิญญาณของพระนางจึงไปจุติ เป็นงูในอเวจีมหานรก ทรงได้รับทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัส วันหนึ่งไปเข้าพระสุบินพระเจ้าเหลียงบู๊ตี้ขอให้ทรงช่วยเหลือ
พระเจ้าเหลียงบู๊ตี้จึงนิมนต์ พระอริยสงฆ์ทั้งหลายมารจนาพระคัมภีร์ และสวดมนต์ เพื่อส่งผลบุญให้พระนางฮีลีฮองเฮาไม่ช้าดวงพระวิญญาณของพระนางก็ได้รอดพ้นจากเปลวไฟมหาอเวจีนนรก เสด็จสู่สรวงสวรรค์ นี้คือเหตุแห่งความเชื่อเรื่องนี้จึง มีพิธีการสวดพระสูตรนี้ สืบทอดกันมาตราบทุกวันนี้
อย่างไรก็ตามพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย พึงรำลึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นมา เพราะเหตุจากการกระทำหนหลัง ไม่มีพระผู้เป็นเจ้า จะสามารถมาลิขิตชีวิตเราได้
เหตุที่เราเป็นไปก็เพราะผลแห่งวิบากกรรม ประดุจดัง เรากำถ่านไฟ เราก็ย่อมรู้สึกร้อนและทรมานเอง หากเรากำน้ำแข็ง เราย่อมรู้สึกเย็นยะเยือกด้วยตนเอง
ดังนั้นทุกสิ่งทุกอย่างย่อมเกิดจากการกระทำของเราเอง หากเราทำดีจักได้ดี หากทำชั่วก็ย่อมมีผลชั่วตอบแทน จงนำพระพุทธองค์สถิตไว้ในใจของท่าน พระองค์จักทรงเป็นกำลังใจนำเราสู่หนทางแห่งความดี อันเป็นทางเจริญแห่งชีวิต ทุกๆท่านก็จะได้พบกับความสงบสุขที่ถาวร ไม่ใช่สุขแบบปลอมๆอีกต่อไป
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่