กลับมาเขียนพาร์ท 2 ตามสัญญาครับ ตอนแรกว่าจะเขียนทีเดียวให้จบ แต่เขียนไปเขียนมา แค่เมืองทองทีมเดียวก็ยาวแล้ว ขนาดลบไปหลายพารากราฟ ยังรู้สึกว่ายาว เลยเลือกมาเขียนอีกพาร์ทของ บุรีรัมย์ไปเลยดีกว่า
มาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า อย่างที่เราเห็นกันไปแล้วกับผลงานของ บุรีรัมย์ ตั้งแต่เริ่มเปิดฤดูกาลมา ที่ถึงจะมีพลาดไม่เป็นไปตามเป้าอยู่ 1 นัด คือนัดแรกของทีมใน TPL2013 ที่พบกับ สุพรรณบุรี ซึ่งนี่เป็นเพียงนัดเดียวที่บุรีรัมย์ออกสตาร์ทอยู่ในสถานะของทีมที่เป็นต่อแบบเต็มตัว แต่นั่นกลายเป็นนัดเดียวที่บุรีรัมย์ทำไม่ได้ตามเป้าของทีมเช่นกัน บุรีรัมย์เริ่มฤดูกาลก่อนทีมอื่นๆในไทย ด้วยการเล่นเพลย์ออฟ ACL2013 กับ Brisbane Roar ซึ่ง บุรีรัมย์ เอาชนะไปได้ในช่วงดวลจุดโทษ หลังจากที่ทีมสามารถผ่าน Brisbane เข้าไปเล่นรอบแบ่งกลุ่ม ACL ไปได้เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน บุรีรัมย์ ก็เริ่มปฏิบัติด้วยการเสริม 2 นักเตะต่างชาติ อย่าง Carmelo มิดฟิลด์จาก Sporting Gijon และ Bustos กองหน้าทีมชาติ ชิลี ชุด U20 และส่งลงเล่นในทันทีในเกมส์กับ เมืองทอง ในฟุตบอลถ้วย ก ทั้งๆที่ทั้งคู่เพิ่งมาถึงเมืองไทยได้ไม่กี่วันเท่านั้น แต่กลับกัน นักเตะที่ถูกเซ็นมาร่วมทีมก่อนหน้านี้ทั้ง Santana , Elizondo , Burzanovic ที่ล้วนแล้วแต่ดีกรีไม่ธรรมดา แต่กลับไม่ถูกส่งลงสนามมาให้สัมผัสเกมส์
ถ้าเราจะมองว่า นักเตะพวกนี้ถึงแม้จะเก่งแต่เล่นไม่เข้าระบบ บุรีรัมย์ก็ไม่ส่งลงเล่นก็ไม่เห็นจะแปลก นั่นคือสิ่งที่ถูกต้องแบบปฏิเสธไม่ได้ แต่ในเมื่อคิดแบบนี้ มันจะเป็นไปได้หรือที่บุรีรัมย์กล้าเลือกที่จะส่งนักเตะที่เพิ่งมาถึงเพียงไม่กี่วันลงเล่นเป็นตัวจริงในเกมส์ที่สำคัญเกมส์นี้ทันที นอกเสียจากว่าการเสริมนักเตะ 2 คนนี้เป็นในรูปแบบของการติดตามฟอร์มและเลือกจากสไตล์การเล่นที่เข้ากับระบบของทีม มีการวางแผนและเตรียมการล่วงหน้ามาก่อนแล้วกับการเสริมทัพ ซึ่งต่างจากนักเตะดีกรีดีทั้ง 3 คนที่เซ็นก่อนหน้าที่มาในรูปแบบของการถูกส่งมาคัดฝีเท้า และหลังจากนั้นมา นักเตะทั้ง 2 คนทั้ง Carmelo และ Bustos ก็ผลัดกันโชว์ฟอร์มกันได้เป็นอย่างดีอย่างต่อเนื่อง
มันสะท้อนให้เห็นว่า จริงๆแล้ว บุรีรัมย์ มีการเตรียมความพร้อมสำหรับ ACL2013 มาตั้งแต่เนิ่นๆตั้งนานแล้ว และไม่ใช่การเตรียมทีมในรูปแบบของการทุ่มซื้อตัวผู้เล่นอย่างเดียว แต่มีการวางแผนการเสริมตัวอย่างดี ทั้งสไตล์ของนักเตะที่จะเสริม และที่มีการพูดถึงคือ ภาษาที่ใช้ในการสื่อสารของนักเตะต่างชาติภายในทีม ที่นักเตะต่างชาติ 5 จาก 7 คนของทีม ล้วนแล้วแต่ใช้ภาษาสเปน ยิ่งสะท้อนเป็นอย่างดีว่า บุรีรัมย์วางแพลนทุกอย่างมาอย่างดีจริงๆสำหรับการจะเล่นใน ACL2013 อาจจะเพราะการได้บทเรียนมาจากเมื่อปีก่อนด้วยที่การใช้แทคติกตบตาของโค้ชแต็กแล้วอาศัยความสามาถทั้งทางร่างกายและความสามารถเฉพาะตัวของทั้ง Ohanza , Acheampong , Ekwalla ทำให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ในปีนี้จึงมาใหม่ ด้วยปรัชญาการทำทีมที่ให้นักเตะเข้าใจในเกมส์และมีวินัยมากกว่าเดิม
สำหรับเกมส์แรกใน ACL รอบแบ่งกลุ่ม ของ บุรีรัมย์ ที่บุกไปเสมอ Vegalta Sendai ได้ถึงถิ่น สำหรับรูปเกมส์ ต้องพูดได้เลยว่าเราสู้ได้อย่างไม่เป็นรองเลยแม้แต่น้อยตั้งแต่ต้นจนจบเกมส์ หากไม่นับลูก แฮนด์บอลของ Osmar ต้องบอกเลยว่า การบุกของ Sendai ถูก Osmar จัดการไว้ได้แทบจะทุกกระบวนท่า แบ็กทั้ง 2 ข้างทั้ง ธีราทร และ สุรีย์ สร้างความกดดันให้กับคู่ต่อสู้ได้ทั้งในเกมส์รุกและเกมส์รับ และยังประสานงานกับคู่มิดฟิลด์ตัวรับ สุรัตน์ และ ชารีล ที่นอกจากจะผลัดกันบีบพื้นที่และตัดเกมส์กันอย่างลงตัว ยังมาช่วยรองให้แบ็กมีตัวจ่ายเมื่อแย่งบอลได้อย่างเป็นระบบระเบียบทั้งเกมส์ ยิ่งช่วง 20 นาที สุดท้าย เกมส์ในแดนกลางอยู่ภายใต้การควบคุมของ 2 ผู้เล่นอย่าง ชารีล และ สุรัตน์ โดยสิ้นเชิง โดยมี แอนโธนี่ ที่ถูกเปลี่ยนตัวลงมาส่วยสร้างความกดดันให้กับ Sendai หนักเข้าไปอีก
สิ่งที่น่าชื่นชมมาที่สุดในเกมส์กับ Vegalta Sendai นอกเหนือจากระเบียบวินัยในการเล่นที่สอดประสานกันได้เป็นอย่างดีแล้ว นั่นคือใจที่จะสู้ ซึ่งขนาดว่าตัวผมเองเป็นแค่คนดู แต่หลังจาก Osmar ทำแฮนด์บอล เสียจุดโทษ และทีมโดนนำนั้น ถึงแม้จะเอาใจช่วยให้ทีมไล่ตีเสมอให้ได้ แต่บอกตามตรงวิตกเป็นอย่างมากว่านักเตะเสียขวัญและกำลังใจ ทำให้เกมส์ที่มาดีมาตลอดจะถูกทำให้เสียศูนย แต่มันไม่ใช่เลย นักเตะทุกคนล้วนแล้วแต่ยังมีสมาธิอยู่กับเกมส์ การถูกทีม จาก J-League ขึ้นนำ ไม่ได้ทำให้พวกเค้าเสียขวัญไปเลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะ กัปตัน Osmar ที่ยังคงมีสมาธิอย่างยอดเยี่ยมและเป็นคนทำประตูตีเสมอให้กับทีมได้
เข้าสู่นัดที่ 2 กับ FC Seoul หลังจากที่บุรีรัมย์เรียกความมั่นใจได้ในบอลเอเชียนัดก่อน และยังมาคืนฟอร์มอัด BG ได้ในลีก ความมั่นใจในการเปิดบ้านรับ FC Seoul จึงมีอยู่เต็มถัง ถึงแม้จะเล่นในบ้าน แต่นัดนี้บอกได้เลยว่าหนักกว่านัดที่เจอกับ Sendai มากพอสมควร เพราะเป็นถึงแชมป์ K-League แถมยังเพิ่งอัดรองแชมป์ลีกจีน มาถึง 5-1 ฉะนั้นความมั่นใจของฝั่งทีมเยือนก็คงไม่ต่างกัน สำหรับรูปเกมส์นั้น เป็นอย่างที่คาด FC Seoul เป็นฝ่ายบุกมากกว่า แต่ไม่ใช่หมายความว่าเราสู้ไม่ได้เลย
ในเกมส์นี้ เอาจริงๆแล้ว Osmar ถึงแม้จะยังเล่นได้ดี แต่เป็นนัดที่มีจังหวะหลุดบ่อยที่สุดเช่นกัน ถึงแม้จะกลายเป็นจุดที่จะต้องปรับ แต่ก็กลายเป็นจุดที่แสดงให้เห็นถึงสิ่งที่ต้องชมด้วยเช่นกันคือ ตำแหน่งการยืนของผู้เล่นทุกคนที่มีส่วนกับเกมส์รับ แสดงให้เห็นถึงวินัยจริงๆ มีตัวใกล้ช่วยซ้อนตลอดอย่างมีวินัย แม้ตัวแรกจะพลาด แต่จะไม่มีการเข้าแบบพรวดพราดเกินไป และตัวไกลจะมีคนคอยประกบตลอดให้เล่นได้ยาก หากมีลูกหลุดมาก็จะทำให้ผู้รักษาประตูยังสามารถออกมาตัดได้ ไม่เทจนเสียตำแหน่ง ไม่เปิดพื้นที่ระหว่างแบ็กตัวไกลกับเซนเตอร์ให้คู่ต่อสู้ได้สอดเข้ามาได้ง่ายๆ นี่คือสิ่งที่เป็นจุดอ่อนที่พบได้บ่อยมากๆของทีมชาติไทยที่มักจะไม่สื่อสารกันว่าใครจะปิดตัวไกล และบางทีถูกการวิ่งสวิทช์ จนทำให้เสียตำแหน่ง แต่กับบุรีรัมย์จุดอ่อนตรงนี้ยังไม่เผยออกมาให้เห็นเลย จะมีอยู่แค่ 1 จังหวะ ที่อนาวินเกือบเผลอหลุดตำแหน่ง แต่ก็รีบวิ่งไปปิดตัวไกลในทันที
ชารีล คือนักฟุตบอลที่เล่นตรงกลางสนามควรเอาเป็นแบบอย่างเป็นอย่างยิ่ง มีส่วนร่วมในเกมส์รุกเกมส์รับตลอด แต่การวิ่งของเค้า ไม่ใช่ความขยันแบบมั่วๆซั่วๆ หรือวิ่งสู้ฟัดอย่างเดียว แต่นี่คือการแสดงถึงการวิ่งที่เรียกว่ารักษาไลน์การเล่น นักเตะหลายๆคนเล่นแบบวิ่งสู้ฟัดอาจจะได้ใจหากเจอคู่ต่อสู้ที่ไม่แข็งนัก การวิ่งเข้าไปกดดันอาจจะช่วยให้แย่งได้อยู่บ่อยครั้ง แต่หากเจอกับคู่ต่อสู้ที่เชิงบอลสูงกว่า การเข้าพรวดพราดในแดนกลางจะเกิดพื้นที่ให้โจมตีในทันที แต่หากผู้เล่นไม่ขยับไม่อ่านเกมส์ก็จะเป็นจุดให้โจมตีเช่นกัน ฉะนั้นเท่ากับว่าคนที่เล่นตรงนี้ ควรจะอ่านเกมส์อยู่ตลอดไปพร้อมๆกับดูไลน์ของเพื่อนร่วมทีมด้วยว่าตรงไหนมีใครและตัวเองควรจะวิ่งไปบริเวณไหน ไม่ใช่วิ่งเข้าหาผู้เล่นที่มีบอลเพียงอย่างเดียว
ตอนแรกผมลืมเขียนเรื่องของการตัดฟาวล์ ชารีล ทำได้ดีมากๆในจังหวะตัดฟาวล์ คือเมื่อเห็นคู่ต่อสู้ผ่านไปแล้วมีความสุ่มเสี่ยงที่ทีมจะเสียเปรียบ ชารีลจะตัดฟาวล์ทันทีตั้งแต่กลางสนาม และเป็นการทำแค่ให้รู้ว่าฟาวล์ ไม่มีการรุนแรง จึงเป็นคนที่ทำฟาวล์เยอะมาก แต่เป็นการฟาวล์ที่ช่วยให้ทีมไม่เสียเปรียบเลย คือไม่ฝืนจนให้ทีมตัวเองถูกกดดันจนจวนตัวแล้วค่อยตัดฟาวล์ ซึ่งนั่นจะส่งผลต่อทีม การฟาวล์ที่กลางสนาม มันไม่มีความรุนแรง และยังมีเวลาให้เกมส์รับได้มีเวลาตั้งหลัก แถมยังไม่กดดันตัวเองจนรวนด้วย ผมมองว่านี่เป็นอีกเรื่องนึงที่ชารีลทำได้ดีมากๆ และผมคิดว่าเรื่องนี้น่าจะไม่ใช่แทคติกของโค้ช น่าจะเป็นนิสัยในการเล่นของเจ้าตัวเอง
สำหรับเกมส์รุกทีมยังมีปัญหาพอสมควรที่ยังหาความแน่นอนไม่ได้ แต่บุรีรัมย์ยังเลือกที่จะใช้รูปแบบการเล่นที่จะพยายามสร้างความแข็งกร่งในแดนกลางเป็นหลัก ซึ่งนั่นอาจจะส่งผลดีต่อทีมในระยะยาวก็เป็นได้ จุดอ่อนคือตอนนี้บุรีรัมย์ยังขาดกองหน้าที่จะวิ่งสอดไปรับลูกในเอเรียสุดท้ายในจังหวะทีเด็ดทีขาด จากเกมส์ที่ผ่านมา อดิศักดิ์ ไกรศร ยังทำหน้าที่ตรงนี้ไม่ดีพอ และยังเก็บบอลไม่ได้ แต่จังหวะการออกตัวดูเหมือนจะพอปั้นได้ ตอนนี้สิ่งที่น่าสนใจมากๆคือ 2 นักเตะต่างชาติที่เข้ามาใหม่ของทีมอย่าง Javier Patino และ Juan Quero โดยเฉพาะกองหน้าโควต้าเอเชียอย่าง Javier Patino จะเข้ามาสร้างความแตกต่างในเกมส์รุกและการจบสกอร์ให้กับทีมได้หรือเปล่า แต่สำหรับ ACL การจะได้วัดว่าจะใช้ได้ไหม ก็ต้องรอให้ผ่านรอบแบ่งกลุ่มไปจนสามารถส่งรายชื่อรอบใหม่ซะก่อน ก็ต้องรอดูกันว่า บุรีรัมย์จะยังคงสามารถเล่นได้อย่างดีมีมีวินัยไปจนสามารถส่งให้ทีมเข้ารอบต่อไปได้หรือไม่ และระหว่างนั้น Bustos จะเอาฟอร์มในนัดเจอเมืองทองออกมาใช้ได้หรือเปล่า เพราะถ้ายังทำไม่ได้ การจะเข้ารอบต่อไปก็คงจะยากเช่นกัน เพราะเกมส์รุกที่ยังไม่ดุดันเท่าที่ควรของทีม
ปล.1 เขียนมันไปหน่อยคราวนี้เยอะกว่าเดิมอีก หวังว่าคงไม่ว่ากันนะครับ
ปล.2 ผิดพลาดตรงไหนขออภัยด้วยนะครับ
พูดถึง 2 ทีมจากไทย ใน ACL ซักหน่อย Part.2 (บุรีรัมย์)
มาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า อย่างที่เราเห็นกันไปแล้วกับผลงานของ บุรีรัมย์ ตั้งแต่เริ่มเปิดฤดูกาลมา ที่ถึงจะมีพลาดไม่เป็นไปตามเป้าอยู่ 1 นัด คือนัดแรกของทีมใน TPL2013 ที่พบกับ สุพรรณบุรี ซึ่งนี่เป็นเพียงนัดเดียวที่บุรีรัมย์ออกสตาร์ทอยู่ในสถานะของทีมที่เป็นต่อแบบเต็มตัว แต่นั่นกลายเป็นนัดเดียวที่บุรีรัมย์ทำไม่ได้ตามเป้าของทีมเช่นกัน บุรีรัมย์เริ่มฤดูกาลก่อนทีมอื่นๆในไทย ด้วยการเล่นเพลย์ออฟ ACL2013 กับ Brisbane Roar ซึ่ง บุรีรัมย์ เอาชนะไปได้ในช่วงดวลจุดโทษ หลังจากที่ทีมสามารถผ่าน Brisbane เข้าไปเล่นรอบแบ่งกลุ่ม ACL ไปได้เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน บุรีรัมย์ ก็เริ่มปฏิบัติด้วยการเสริม 2 นักเตะต่างชาติ อย่าง Carmelo มิดฟิลด์จาก Sporting Gijon และ Bustos กองหน้าทีมชาติ ชิลี ชุด U20 และส่งลงเล่นในทันทีในเกมส์กับ เมืองทอง ในฟุตบอลถ้วย ก ทั้งๆที่ทั้งคู่เพิ่งมาถึงเมืองไทยได้ไม่กี่วันเท่านั้น แต่กลับกัน นักเตะที่ถูกเซ็นมาร่วมทีมก่อนหน้านี้ทั้ง Santana , Elizondo , Burzanovic ที่ล้วนแล้วแต่ดีกรีไม่ธรรมดา แต่กลับไม่ถูกส่งลงสนามมาให้สัมผัสเกมส์
ถ้าเราจะมองว่า นักเตะพวกนี้ถึงแม้จะเก่งแต่เล่นไม่เข้าระบบ บุรีรัมย์ก็ไม่ส่งลงเล่นก็ไม่เห็นจะแปลก นั่นคือสิ่งที่ถูกต้องแบบปฏิเสธไม่ได้ แต่ในเมื่อคิดแบบนี้ มันจะเป็นไปได้หรือที่บุรีรัมย์กล้าเลือกที่จะส่งนักเตะที่เพิ่งมาถึงเพียงไม่กี่วันลงเล่นเป็นตัวจริงในเกมส์ที่สำคัญเกมส์นี้ทันที นอกเสียจากว่าการเสริมนักเตะ 2 คนนี้เป็นในรูปแบบของการติดตามฟอร์มและเลือกจากสไตล์การเล่นที่เข้ากับระบบของทีม มีการวางแผนและเตรียมการล่วงหน้ามาก่อนแล้วกับการเสริมทัพ ซึ่งต่างจากนักเตะดีกรีดีทั้ง 3 คนที่เซ็นก่อนหน้าที่มาในรูปแบบของการถูกส่งมาคัดฝีเท้า และหลังจากนั้นมา นักเตะทั้ง 2 คนทั้ง Carmelo และ Bustos ก็ผลัดกันโชว์ฟอร์มกันได้เป็นอย่างดีอย่างต่อเนื่อง
มันสะท้อนให้เห็นว่า จริงๆแล้ว บุรีรัมย์ มีการเตรียมความพร้อมสำหรับ ACL2013 มาตั้งแต่เนิ่นๆตั้งนานแล้ว และไม่ใช่การเตรียมทีมในรูปแบบของการทุ่มซื้อตัวผู้เล่นอย่างเดียว แต่มีการวางแผนการเสริมตัวอย่างดี ทั้งสไตล์ของนักเตะที่จะเสริม และที่มีการพูดถึงคือ ภาษาที่ใช้ในการสื่อสารของนักเตะต่างชาติภายในทีม ที่นักเตะต่างชาติ 5 จาก 7 คนของทีม ล้วนแล้วแต่ใช้ภาษาสเปน ยิ่งสะท้อนเป็นอย่างดีว่า บุรีรัมย์วางแพลนทุกอย่างมาอย่างดีจริงๆสำหรับการจะเล่นใน ACL2013 อาจจะเพราะการได้บทเรียนมาจากเมื่อปีก่อนด้วยที่การใช้แทคติกตบตาของโค้ชแต็กแล้วอาศัยความสามาถทั้งทางร่างกายและความสามารถเฉพาะตัวของทั้ง Ohanza , Acheampong , Ekwalla ทำให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ในปีนี้จึงมาใหม่ ด้วยปรัชญาการทำทีมที่ให้นักเตะเข้าใจในเกมส์และมีวินัยมากกว่าเดิม
สำหรับเกมส์แรกใน ACL รอบแบ่งกลุ่ม ของ บุรีรัมย์ ที่บุกไปเสมอ Vegalta Sendai ได้ถึงถิ่น สำหรับรูปเกมส์ ต้องพูดได้เลยว่าเราสู้ได้อย่างไม่เป็นรองเลยแม้แต่น้อยตั้งแต่ต้นจนจบเกมส์ หากไม่นับลูก แฮนด์บอลของ Osmar ต้องบอกเลยว่า การบุกของ Sendai ถูก Osmar จัดการไว้ได้แทบจะทุกกระบวนท่า แบ็กทั้ง 2 ข้างทั้ง ธีราทร และ สุรีย์ สร้างความกดดันให้กับคู่ต่อสู้ได้ทั้งในเกมส์รุกและเกมส์รับ และยังประสานงานกับคู่มิดฟิลด์ตัวรับ สุรัตน์ และ ชารีล ที่นอกจากจะผลัดกันบีบพื้นที่และตัดเกมส์กันอย่างลงตัว ยังมาช่วยรองให้แบ็กมีตัวจ่ายเมื่อแย่งบอลได้อย่างเป็นระบบระเบียบทั้งเกมส์ ยิ่งช่วง 20 นาที สุดท้าย เกมส์ในแดนกลางอยู่ภายใต้การควบคุมของ 2 ผู้เล่นอย่าง ชารีล และ สุรัตน์ โดยสิ้นเชิง โดยมี แอนโธนี่ ที่ถูกเปลี่ยนตัวลงมาส่วยสร้างความกดดันให้กับ Sendai หนักเข้าไปอีก
สิ่งที่น่าชื่นชมมาที่สุดในเกมส์กับ Vegalta Sendai นอกเหนือจากระเบียบวินัยในการเล่นที่สอดประสานกันได้เป็นอย่างดีแล้ว นั่นคือใจที่จะสู้ ซึ่งขนาดว่าตัวผมเองเป็นแค่คนดู แต่หลังจาก Osmar ทำแฮนด์บอล เสียจุดโทษ และทีมโดนนำนั้น ถึงแม้จะเอาใจช่วยให้ทีมไล่ตีเสมอให้ได้ แต่บอกตามตรงวิตกเป็นอย่างมากว่านักเตะเสียขวัญและกำลังใจ ทำให้เกมส์ที่มาดีมาตลอดจะถูกทำให้เสียศูนย แต่มันไม่ใช่เลย นักเตะทุกคนล้วนแล้วแต่ยังมีสมาธิอยู่กับเกมส์ การถูกทีม จาก J-League ขึ้นนำ ไม่ได้ทำให้พวกเค้าเสียขวัญไปเลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะ กัปตัน Osmar ที่ยังคงมีสมาธิอย่างยอดเยี่ยมและเป็นคนทำประตูตีเสมอให้กับทีมได้
เข้าสู่นัดที่ 2 กับ FC Seoul หลังจากที่บุรีรัมย์เรียกความมั่นใจได้ในบอลเอเชียนัดก่อน และยังมาคืนฟอร์มอัด BG ได้ในลีก ความมั่นใจในการเปิดบ้านรับ FC Seoul จึงมีอยู่เต็มถัง ถึงแม้จะเล่นในบ้าน แต่นัดนี้บอกได้เลยว่าหนักกว่านัดที่เจอกับ Sendai มากพอสมควร เพราะเป็นถึงแชมป์ K-League แถมยังเพิ่งอัดรองแชมป์ลีกจีน มาถึง 5-1 ฉะนั้นความมั่นใจของฝั่งทีมเยือนก็คงไม่ต่างกัน สำหรับรูปเกมส์นั้น เป็นอย่างที่คาด FC Seoul เป็นฝ่ายบุกมากกว่า แต่ไม่ใช่หมายความว่าเราสู้ไม่ได้เลย
ในเกมส์นี้ เอาจริงๆแล้ว Osmar ถึงแม้จะยังเล่นได้ดี แต่เป็นนัดที่มีจังหวะหลุดบ่อยที่สุดเช่นกัน ถึงแม้จะกลายเป็นจุดที่จะต้องปรับ แต่ก็กลายเป็นจุดที่แสดงให้เห็นถึงสิ่งที่ต้องชมด้วยเช่นกันคือ ตำแหน่งการยืนของผู้เล่นทุกคนที่มีส่วนกับเกมส์รับ แสดงให้เห็นถึงวินัยจริงๆ มีตัวใกล้ช่วยซ้อนตลอดอย่างมีวินัย แม้ตัวแรกจะพลาด แต่จะไม่มีการเข้าแบบพรวดพราดเกินไป และตัวไกลจะมีคนคอยประกบตลอดให้เล่นได้ยาก หากมีลูกหลุดมาก็จะทำให้ผู้รักษาประตูยังสามารถออกมาตัดได้ ไม่เทจนเสียตำแหน่ง ไม่เปิดพื้นที่ระหว่างแบ็กตัวไกลกับเซนเตอร์ให้คู่ต่อสู้ได้สอดเข้ามาได้ง่ายๆ นี่คือสิ่งที่เป็นจุดอ่อนที่พบได้บ่อยมากๆของทีมชาติไทยที่มักจะไม่สื่อสารกันว่าใครจะปิดตัวไกล และบางทีถูกการวิ่งสวิทช์ จนทำให้เสียตำแหน่ง แต่กับบุรีรัมย์จุดอ่อนตรงนี้ยังไม่เผยออกมาให้เห็นเลย จะมีอยู่แค่ 1 จังหวะ ที่อนาวินเกือบเผลอหลุดตำแหน่ง แต่ก็รีบวิ่งไปปิดตัวไกลในทันที
ชารีล คือนักฟุตบอลที่เล่นตรงกลางสนามควรเอาเป็นแบบอย่างเป็นอย่างยิ่ง มีส่วนร่วมในเกมส์รุกเกมส์รับตลอด แต่การวิ่งของเค้า ไม่ใช่ความขยันแบบมั่วๆซั่วๆ หรือวิ่งสู้ฟัดอย่างเดียว แต่นี่คือการแสดงถึงการวิ่งที่เรียกว่ารักษาไลน์การเล่น นักเตะหลายๆคนเล่นแบบวิ่งสู้ฟัดอาจจะได้ใจหากเจอคู่ต่อสู้ที่ไม่แข็งนัก การวิ่งเข้าไปกดดันอาจจะช่วยให้แย่งได้อยู่บ่อยครั้ง แต่หากเจอกับคู่ต่อสู้ที่เชิงบอลสูงกว่า การเข้าพรวดพราดในแดนกลางจะเกิดพื้นที่ให้โจมตีในทันที แต่หากผู้เล่นไม่ขยับไม่อ่านเกมส์ก็จะเป็นจุดให้โจมตีเช่นกัน ฉะนั้นเท่ากับว่าคนที่เล่นตรงนี้ ควรจะอ่านเกมส์อยู่ตลอดไปพร้อมๆกับดูไลน์ของเพื่อนร่วมทีมด้วยว่าตรงไหนมีใครและตัวเองควรจะวิ่งไปบริเวณไหน ไม่ใช่วิ่งเข้าหาผู้เล่นที่มีบอลเพียงอย่างเดียว
ตอนแรกผมลืมเขียนเรื่องของการตัดฟาวล์ ชารีล ทำได้ดีมากๆในจังหวะตัดฟาวล์ คือเมื่อเห็นคู่ต่อสู้ผ่านไปแล้วมีความสุ่มเสี่ยงที่ทีมจะเสียเปรียบ ชารีลจะตัดฟาวล์ทันทีตั้งแต่กลางสนาม และเป็นการทำแค่ให้รู้ว่าฟาวล์ ไม่มีการรุนแรง จึงเป็นคนที่ทำฟาวล์เยอะมาก แต่เป็นการฟาวล์ที่ช่วยให้ทีมไม่เสียเปรียบเลย คือไม่ฝืนจนให้ทีมตัวเองถูกกดดันจนจวนตัวแล้วค่อยตัดฟาวล์ ซึ่งนั่นจะส่งผลต่อทีม การฟาวล์ที่กลางสนาม มันไม่มีความรุนแรง และยังมีเวลาให้เกมส์รับได้มีเวลาตั้งหลัก แถมยังไม่กดดันตัวเองจนรวนด้วย ผมมองว่านี่เป็นอีกเรื่องนึงที่ชารีลทำได้ดีมากๆ และผมคิดว่าเรื่องนี้น่าจะไม่ใช่แทคติกของโค้ช น่าจะเป็นนิสัยในการเล่นของเจ้าตัวเอง
สำหรับเกมส์รุกทีมยังมีปัญหาพอสมควรที่ยังหาความแน่นอนไม่ได้ แต่บุรีรัมย์ยังเลือกที่จะใช้รูปแบบการเล่นที่จะพยายามสร้างความแข็งกร่งในแดนกลางเป็นหลัก ซึ่งนั่นอาจจะส่งผลดีต่อทีมในระยะยาวก็เป็นได้ จุดอ่อนคือตอนนี้บุรีรัมย์ยังขาดกองหน้าที่จะวิ่งสอดไปรับลูกในเอเรียสุดท้ายในจังหวะทีเด็ดทีขาด จากเกมส์ที่ผ่านมา อดิศักดิ์ ไกรศร ยังทำหน้าที่ตรงนี้ไม่ดีพอ และยังเก็บบอลไม่ได้ แต่จังหวะการออกตัวดูเหมือนจะพอปั้นได้ ตอนนี้สิ่งที่น่าสนใจมากๆคือ 2 นักเตะต่างชาติที่เข้ามาใหม่ของทีมอย่าง Javier Patino และ Juan Quero โดยเฉพาะกองหน้าโควต้าเอเชียอย่าง Javier Patino จะเข้ามาสร้างความแตกต่างในเกมส์รุกและการจบสกอร์ให้กับทีมได้หรือเปล่า แต่สำหรับ ACL การจะได้วัดว่าจะใช้ได้ไหม ก็ต้องรอให้ผ่านรอบแบ่งกลุ่มไปจนสามารถส่งรายชื่อรอบใหม่ซะก่อน ก็ต้องรอดูกันว่า บุรีรัมย์จะยังคงสามารถเล่นได้อย่างดีมีมีวินัยไปจนสามารถส่งให้ทีมเข้ารอบต่อไปได้หรือไม่ และระหว่างนั้น Bustos จะเอาฟอร์มในนัดเจอเมืองทองออกมาใช้ได้หรือเปล่า เพราะถ้ายังทำไม่ได้ การจะเข้ารอบต่อไปก็คงจะยากเช่นกัน เพราะเกมส์รุกที่ยังไม่ดุดันเท่าที่ควรของทีม
ปล.1 เขียนมันไปหน่อยคราวนี้เยอะกว่าเดิมอีก หวังว่าคงไม่ว่ากันนะครับ
ปล.2 ผิดพลาดตรงไหนขออภัยด้วยนะครับ