จะขายหุ้นเมื่อไร ?

กระทู้สนทนา


ในช่วงเวลาที่ตลาดหลักทรัพย์บูมมาก ๆ อย่างที่เป็นอยู่ในขณะนี้  ผมมักได้ยินหรือได้รับรู้ถึงความกระตือรือร้น-และความกังวลของคนสองกลุ่มที่อยู่ในตลาดหุ้น-หรือกำลังจะเข้ามาในตลาดหุ้น เกี่ยวกับว่า  เขาควรจะซื้อหรือเข้ามาซื้อหุ้นได้หรือยัง?  นี่เป็นคำถามข้อแรกโดยเฉพาะสำหรับนักลงทุนมือใหม่หรือนักลงทุนที่ไม่ได้ทุ่มเทนักกับการลงทุนแต่รู้สึกว่าการลงทุนในหุ้นในช่วงนี้น่าจะมีโอกาสทำกำไรหรือสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าการฝากเงิน   และอีกคำถามหนึ่งก็คือ  เขาควรจะขายหุ้นได้แล้วหรือยัง?  นี่ก็มักเป็นคำถามโดยเฉพาะสำหรับนักลงทุนมือเก่าหรือคนที่ทุ่มเทกับการลงทุนที่อาจจะมองว่าราคาหุ้นในตลาดได้ปรับตัวขึ้นมาสูงและเร็วมาก  พวกเขากลัวว่าราคาหุ้นจะสูงเกินพื้นฐาน  ดังนั้น  เขาควรจะขายหุ้นไปก่อนหรือไม่ก่อนที่มันจะตกลงมาและทำให้ผลกำไรหรือความมั่งคั่งของเขาลดลงไปมาก   ในการตอบคำถามของคนสองกลุ่มในสถานการณ์หรือภาวะตลาดเดียวกัน  แต่คำถามกลับเป็นตรงกันข้าม  ผมอยากจะบอกดังนี้
   ข้อแรก  เราควรจะซื้อหุ้นไหม?  คำตอบของผมก็คือ  ในการซื้อหุ้นนั้น  หลักการแบบ VI ก็คือ  เราต้องพอจะมีไอเดียหรือประเมินได้ว่า  “มูลค่าพื้นฐาน”  ของบริษัทหรือหุ้นตัวนั้นควรจะเป็นเท่าไร  เมื่อได้แล้ว  เราก็มาดูว่า  “ราคา” ของหุ้นตัวนั้นเป็นเท่าไร  จุดที่เราจะซื้อก็คือ  ราคาหุ้นจะต้องต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐาน  และในกรณีที่เราไม่ใคร่มั่นใจว่าเราคำนวณหรือประมาณมูลค่าพื้นฐานได้ถูกต้อง  เนื่องจากว่าเรายังไม่มีความสามารถมากนักหรือกิจการของบริษัทไม่ใคร่สม่ำเสมอ  เราก็จะต้องซื้อหุ้นในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าของบริษัทมากขึ้น  โดยส่วนต่างที่ว่านี้ก็คือ  “Margin of Safety”  ซึ่งต้องมีเพื่อความปลอดภัยในกรณีที่มีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น
   การหา “มูลค่าพื้นฐาน” นั้น เป็นเรื่องที่ยากมาก  ในทางปฏิบัตินักวิเคราะห์จึงหาตัวเลขที่ง่าย ๆ  มาใช้  ตัวเลขยอดนิยมตัวหนึ่งก็คือค่า  PE หรือราคาหุ้นเมื่อเทียบกับกำไรต่อหุ้นต่อปีของบริษัท  วิธีก็คือ  ดูว่ากำไรต่อหุ้นในปีที่ผ่านมาหรือใน 4 ไตรมาศที่ผ่านมาเป็นเท่าไร  เสร็จแล้วก็คูณด้วยตัวเลขตัวหนึ่ง  เช่น  15 เท่า  ก็จะได้  “ราคาพื้นฐาน”  ต่อหุ้น  ตัวเลข 15 นั้นอาจจะมาจากค่า PE เฉลี่ยของหุ้นตัวนั้นในอดีต  หรืออาจจะมาจากค่า PE ของอุตสาหกรรมของหุ้นตัวนั้น  หรืออาจจะอ้างอิงจากค่า PE ของตลาดหลักทรัพย์ที่อยู่ที่ประมาณ 18 เท่าในช่วงนี้   และนี่ก็จะจบประเด็นว่าเราควรจะซื้อหุ้นหรือไม่
   ข้อที่สองที่ผมอยากจะพูดถึงมากกว่าก็คือ  กฎเกณฑ์ในการขายหุ้น  ซึ่งสำหรับ VI หลายคนนั้นอาจจะมองว่ามันควรจะเป็นเกณฑ์เดียวกับการซื้อหุ้น  นั่นก็คือ  ถ้าราคาหุ้นเกินหรือสูงกว่ามูลค่าหรือราคาพื้นฐาน  เราก็ควรจะขายหุ้นทิ้ง  คือถ้าคุณไม่ซื้อซึ่งจะทำให้คุณต้องถือมัน  มันก็จะต้องถูกขายออกไป  แต่นี่ไม่ใช่วิธีการของ “VI ในตำนาน” หลาย ๆ  คน  ที่ดูเหมือนว่าการขายหุ้นอาจจะมีกฎเกณฑ์อีกแบบหนึ่ง  และต่อไปนี้ก็คือสิ่งที่ผมรวบรวมมาเพื่อให้พิจารณา
   ข้อแรกก็คือ  เราควรขายหุ้นถ้าเรา  “คิดผิด”  ซึ่งนี่อาจจะไม่เกี่ยวกับราคาหรือมูลค่าพื้นฐานของหุ้นเลยก็ได้  ตัวอย่างเช่น  เราคิดว่าบริษัทนั้นเป็นกิจการที่ “โตเร็ว” ต่อมาเราพบว่ายอดขายหรือกำไรที่เห็นนั้นไม่ได้มาจากธุรกิจปกติแต่เป็นยอดขายที่เกิดขึ้นครั้งเดียว  แบบนี้  เราอาจจะขายหุ้นทิ้งเลย  หรืออาจจะต้องวิเคราะห์ใหม่ซึ่งอาจจะทำให้เราพบว่ามันไม่คุ้มค่าที่จะถือไว้
   ข้อสอง  พื้นฐานของบริษัทเปลี่ยนแปลงไปหลังจากที่เราถือหุ้นมาระยะหนึ่ง  นี่ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องของราคาหุ้นที่จะขึ้นหรือลง  แต่เป็นเรื่องที่ว่าพื้นฐานหรือการดำเนินงานหรือความเข้มแข็งของบริษัทเปลี่ยนแปลงไปในทางที่แย่ลง   อาจจะเพราะเกิดการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมหรือเกิดจากคู่แข่งที่เข้มแข็งกว่าเข้ามาแย่งชิงลูกค้าและเริ่มได้เปรียบในการแข่งขัน  ถ้าเป็นแบบนี้  การขายหุ้นก็มักเป็นทางเลือกที่ดีแม้ว่าอาจจะต้องขายในราคาที่ลดลงไปมากหรือแม้แต่ขายขาดทุน
   ข้อสาม  มีหุ้นหรือทางเลือกอื่นที่คุ้มค่ากว่าหุ้นที่เราถือไว้อย่างชัดเจนและเราไม่มีเงินสดในการลงทุน  ในกรณีนี้เราอาจจะตัดสินใจขายหุ้นที่ถืออยู่เพื่อไปซื้อหุ้นตัวใหม่  อย่างไรก็ตาม  ในกรณีนี้เราจะต้องมั่นใจมากว่าหุ้นตัวใหม่นั้นดีกว่าหุ้นบางตัวที่เราถือไว้จริง ๆ  เนื่องจากโดยปกติแล้ว  ความเข้าใจของเราในหุ้นตัวใหม่มักจะน้อยกว่าหุ้นที่เราถืออยู่   การขายหุ้นในกรณีนี้เองมักจะไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องของมูลค่าพื้นฐานหรือราคาหุ้น  นั่นคือ  มันอาจจะยังเป็นหุ้น  Value อยู่   เพียงแต่ว่าเราไปเจอหุ้นที่ดีมี Value มากกว่ามากเท่านั้น
   ข้อสี่  หุ้นที่เราถืออยู่นั้น  มีราคาสูงกว่ามูลค่าพื้นฐานไปมากอย่างเห็นได้ชัด  นี่อาจจะเกิดขึ้นได้โดยเฉพาะในยามที่ตลาดหุ้นเป็น  “กระทิงดุ”  อย่างในช่วงนี้   หรืออาจจะเกิดขึ้นได้กับหุ้นขนาดเล็กที่มีแรงเก็งกำไรเข้ามาสูงหรือมีการ  “ปั่นหุ้น”  ตัวนั้นทำให้ราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปเกินพื้นฐานมากอย่างไม่ต้องสงสัย  ในกรณีแบบนี้  เราก็ควรจะขายทิ้ง  และก็หวังว่าจะกลับเข้าไปซื้อใหม่ได้ในราคาที่ต่ำลงเมื่อตลาดตกลงมาหรือเมื่อการเก็งกำไรหรือการปั่นหุ้นนั้นหมดไป   เกณฑ์ข้อนี้น่าจะเป็นข้อเดียวที่การตัดสินใจขายหุ้นนั้น  อิงอยู่กับราคาหุ้นตัวนั้นในตลาด  หัวใจสำคัญก็คือ  เราต้องเห็นว่ามันมีสถานการณ์สองอย่างนั่นก็คือ  ตลาดหลักทรัพย์ใกล้เป็นฟองสบู่  หรือไม่ก็ปริมาณการซื้อขายหุ้นตัวนั้นสูงลิ่วมีการซื้อขายเกินวันละ 4-5% ของ Market Cap. ติดต่อกันนาน บางวันอาจจะหลายสิบเปอร์เซ็นต์
   ข้อสุดท้ายก็คือ  ในบางครั้งหุ้นตัวที่เราถืออยู่อาจจะมีราคาเพิ่มขึ้นมากจนมันมีมูลค่าสูงเกินไปในพอร์ตโฟลิโอของเรา  ในกรณีนี้  เราอาจจะรู้สึกว่ามันเสี่ยงเกินไปถ้าเกิดอะไรขึ้น  ยกตัวอย่างเช่นเราไม่อยากให้หุ้นตัวไหนใหญ่เกิน 30% ของพอร์ต  และเกิดมีหุ้นตัวหนึ่งซึ่งเราอาจจะซื้อมาครั้งแรกเท่ากับ 10% ของพอร์ต  แต่ราคามันเพิ่มขึ้นเร็วและมากกว่าหุ้นตัวอื่นจนทำให้มันเป็น 35% แบบนี้เราก็อาจจะขายไป 5% ให้เหลือเพียง 30%  เป็นต้น
   กล่าวโดยสรุปก็คือ  การขายหุ้นนั้นอาจจะมีเกณฑ์ที่แตกต่างจากการซื้อหุ้น  เหตุผลใหญ่น่าจะเกิดจากการที่เราไม่สามารถที่จะประเมินมูลค่าที่แท้จริงของหุ้นได้อย่างแม่นยำทำให้เราไม่รู้ว่าหุ้นนั้นมีราคาสูงกว่าพื้นฐานที่แท้จริงหรือไม่-ยกเว้นในบางกรณีที่ตัวเลขและสัญญาณทุกอย่างชัดเจน  ในกรณีของวอเร็น บัฟเฟตต์เองนั้น  จะเห็นว่าเขาขายหุ้นน้อยมาก  เคยมีครั้งหนึ่งที่เขาซื้อหุ้นน้ำมันแห่งชาติของจีนและขายไปเนื่องจากราคาหุ้นขึ้นไปสูงมากจนเขาต้องขายไปนั่นคือการขายในกรณีข้อสี่  เขาขายหุ้นของบริษัทการบินแห่งหนึ่งไปเพราะเขา  “คิดผิด”  ตามข้อหนึ่ง  ตั้งแต่นั้นเขาไม่เคยสนใจหุ้นการบินอีกเลยเพราะเขาคิดว่ามันเป็นธุรกิจที่ “ลำบากมาก” รวมถึงกิจการสิ่งทอของเบิร์กไชร์ที่เขาบอกว่าคิดผิดที่ไปซื้อ    หุ้นที่พื้นฐานเปลี่ยนไปตามข้อสองของบัฟเฟตต์น่าจะมีเหมือนกันถ้าผมเข้าใจไม่ผิดอาจจะรวมถึงกิจการรองเท้าที่บัฟเฟตต์เคยซื้อ  ในข้อสามนั้น  ดูเหมือนว่าบัฟเฟตต์จะมีเงินสดใหม่ ๆ  เข้ามาลงทุนตลอดเวลา  ดังนั้น  เขาแทบไม่ต้องขายหุ้นเพื่อหาเงินสดมาลงทุนในหุ้นตัวใหม่เลย  และในข้อสุดท้ายเรื่องของขนาดของหุ้นนั้น  บัฟเฟตต์เองเคยซื้อหุ้นอเมริกันเอ็กซ์เพรสเกือบ 50% ของพอร์ต  แต่ผมก็จำไม่ได้ว่าเขาต้องขายออกไปเพื่อลดขนาดของมันลงหรือไม่เมื่อหุ้นปรับตัวขึ้นไปอีก  อย่างไรก็ตาม  หลังจากนั้น  เขาก็ไม่เคยมีปัญหาว่าหุ้นตัวไหนจะใหญ่เกินไปเนื่องจากพอร์ตของเขาใหญ่โตมหาศาล  ส่วนตัวผมเองนั้น  เท่าที่จำได้ก็ดูเหมือนว่าจะยึดเกณฑ์การขายหุ้น 5 ข้อดังกล่าวพอสมควรโดยเฉพาะในช่วงหลัง ๆ  ที่เน้นลงทุนหุ้นแนว  “ซุปเปอร์สต็อก”


คลิกไปแหล่งที่มา THaiVI
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่