Oz The Great and Powerful : ออซ มหัศจรรย์พ่อมดผู้ยิ่งใหญ่
คมนิด จี๊ดเลย : ที่สุดของความยิ่งใหญ่ คือความดีในตัวเรา
Napat's Rating : (B) , 8 /10
Update เรื่องหนัง ทันใจ คลิ๊กLIKE!! : https://www.facebook.com/Napat.Tang.Fans
- คำเตือน : นี่คือเรตติ้งและความคิดเห็นส่วนตัวหลังชมหนังของผมคนเดียวเท่านั้น ย้ำว่าส่วนตัวนะครับ บางคนเห็นตรง บางคนอาจเห็นต่าง ถือว่าเอามาแลกเปลี่ยนทัศนะกันเฉยๆ โปรดอย่าได้ถือสากับคำวิจารณ์ของผมเลยนะครับ เพราะเป็นเพียงอีกหนึ่งเสียงจากการชมหนังในฐานะคนดูหนังธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น -
จากใจ..ถึงหนังเรื่องนี้ : สำหรับออซ ไม่ต้องห่วงเลยว่าเรื่องนี้เราจะได้พบกับความแฟนตาซีจ๋าๆแน่ ตั้งแต่เห็นโลโก้และตัวอย่าง พอเดาออกไม่ยากว่าจะได้เห็นภาพของหนังแฟนตาซีสีลูกกวาดอีกเรื่องที่จะได้ชมอย่างเต็มตาทั้งเรื่อง (ดูเผินๆอาจนึกว่าเป็น Alice in the wonderland 2ก็เป็นได้) แต่ทีเด็ดของหนังเรื่องนี้นอกจากว่ามันได้มาจากวรรณกรรมและเคยเป็นหนังในตำนานเมื่อนานมาแล้ว ผู้ที่เอามาปัดฝุ่นทำใหม่นั้นยังเป็นผู้กำกับหนังชื่อดังอย่าง "แซม ไรมี่" ผู้ที่เคยปลุกปั้นสไปเดอร์แมนไตรภาคแรกเมื่อหลายปีก่อนมาแล้วนั่นเอง
การกลับมาปัดฝุ่นหนังในครั้งนี้ ผู้กำกับไรมี่ ได้นำเทคนิคการเล่นกับภาพมาใช้ได้อย่างคุ้มค่ามากๆ เริ่มตั้งแต่การนำเทคนิคถ่ายภาพแบบภาพสามมิติมาใช้ในหนังสีลูกกวาดเรื่องนี้ และเล่นกับวิชวลต่างๆได้ดี ดังนั้นตีตั๋วมาดูเรื่องนี้สิ่งแรกที่จะได้รับคือภาพสวยๆในวิชวลของคนที่เจ๋ง ทำให้มันออกมาอย่างที่ควรจะเป็น แม้แต่ตอนแรกของหนังที่เปิดมาก็ยังใช้ลูกเล่นภาพขาวดำในสัดส่วนของฟิล์มรุ่นเก่าทำให้ภาพมีขนาดครึ่งเดียวของหน้าจอทั้งหมด ซึ่งภาพสามมิติยังเล่นกับคนดูด้วยการที่มีอะไรทะลุจออกมาจากสัดส่วนภาพที่กำลังฉายอยู่ออกมาโดยที่เราไม่ตั้งตัวหลายทีมาก แม้ว่าภาพเหล่านั้นจะถูกขยายออกเมื่อพระเอกได้เดินทางไปยังอีกโลก แต่เทคนิคสามมิติเรื่องนี้ก็ยังทำให้เราเพลินได้สมราคาตั๋วจริงๆ ขอบอกตั้งแต่ต้นเลยว่าถ้าจะตีตั๋ว ควรจัดแบบสามมิติจะเติมเต็มอรรถรสในการชมมากกว่าปกติเป็นอย่างยิ่ง
นอกจากนี้หนังยังพ่วงคำว่า The Great and Powerful เข้ามาในชื่อเรื่องด้วย ซึ่งทีแรกตอนเห็นรู้ยังรู้สึกแปลกใจ แม้ว่าจะได้ชมตัวอย่างแล้ว แต่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่า อะไรมันจะสำคัญนักหนาเนี่ย จะยอดเยี่ยมยิ่งใหญ่อะไรขนาดนั้นเชียวน่ะออซ แต่สุดท้ายพอได้ชม ก็เข้าใจอย่างลึกซึ้งเลยว่า นี่แหละคือหัวใจของเรื่องที่อยู่ในสายเลือดของออซเขาจริงๆ
[[หลังจากนี้มีสปอยส์เล็กน้อย แต่ก็ยังพออ่านได้แบบไม่เสียอรรถรสในการชมหนังนะครับ]]
หนังได้กล่าวถึงออสการ์ นักมายากลตกอับคนหนึ่งที่อยากมีชีวิตที่ยิ่งใหญ่ (รับบทโดย เจมส์ ฟรังโก้ อดีตคู่หูคู่ปรับของสไปเดอร์แมนเวอร์ชั่นแซม ไรมี่) แต่ทุกอย่างเหมือนจะบันดาลใจให้เขาเมื่อมีเหตุที่ต้องหลุดลอยไปยังโลกดินแดนลี้ลับที่มีชื่อว่าออซเหมือนกับเขา และทุกคนเชื่อว่าเขาคือพ่อมดที่จะเป็นความหวังของอาณาจักรชาวออซเฝ้ารอคอย
ในช่วงแรกเริ่มออซได้พยายามแสวงหาความยิ่งใหญ่ของตนเองด้วยการหลอกใครก็ตามว่าเขาคือพ่อมด เพราะเชื่อว่านั่นคือสิ่งที่จะปูทางให้เขาไปสู่ความเป็น The Great and Powerful ที่เขาต้องการ แม้ว่านั่นจะไม่ใช่ความจริงก็ตาม และด้วยความที่หลวมตัวเองมาแบบนี้เลยได้รับภารกิจที่จะต้องล่าแม่มดตัวร้ายแห่งอาณาจักรมาด้วย เขาจะพิสูจน์ตนเองอย่างไรนั้น อยากให้ไปชมกันในโรงเอาเอง
แต่ด้วยเนื้อเรื่องของหนังถือว่าเป็นหนังที่มีคติสอนใจคนได้ดีอีกเรื่องเลยทีเดียว เพราะออซก็จะได้เรียนรู้ว่าการหลอกลวงที่เขาทำอยู่ จริงๆแล้วมันคือความอุปโลกน์แสวงหาความยิ่งใหญ่ให้ตัวเขาเอง แต่ถ้าสิ่งที่เขาต้องการ มันต้องแลกมาด้วยความหวังและความศรัทธาที่ชาวเมืองแห่งออซได้มอบให้ เขาจะเลือกที่จะกอบโกยผลแห่งอำนาจเหล่านั้นเพื่อตัวเขาเองอย่างเดียวจริงหรือ หรือโชคชะตาบางอย่างจะนำพาให้เขาได้พบกับการแสวงหา "ความยิ่งใหญ่"มาได้อย่างถูกวิธี นั่นคือการมีจิตสำนึกภายใต้ความดี ความรัก และความสามัคคี ที่จะกอบกู้สิ่งที่เรียกว่า "ความหวัง" ที่หายไปของชาวออซกลับคืนมา
แม้ว่าเนื้อเรื่องช่วงแรกผมคิดว่ายังแผ่วๆ ไม่ตื่นเต้นเท่ากับแจ๊ค ผู้สยบยักษ์ที่ฉายไปก่อนหน้า แต่ในช่วงหลังของเรื่องนี้นับว่าผุ้กำกับไรมี่ สามารถคุมจังหวะโทนและอารมณ์ของคนดูอยู่ได้มากกว่าจริง หนังที่ดูเผินๆอาจมาดูเอาภาพและวิชชั่นเพลินๆ ก็ยังมีเนื้อเรื่องและประโยคดีๆที่น่าจดจำ แถมยังมีการคารวะความเป็นภาพยนตร์อย่างเจ้าพ่อโทมัส เอดิสัน ผู้ให้กำเนิดหลอดไฟรวมถึงสิ่งที่เรียกว่าภาพยนตร์คนแรกอีกด้วย ถือว่าทำได้ดีมาก มันทำให้ผมเหวอและสนุกได้อย่างเต็มที่กับฉากนั้น และเชื่อว่าเพื่อนๆต้องชอบเช่นกัน
ครั้งนี้แดนนี่ เอล์ฟแมน ได้มาทำดนตรีให้กับผู้กำกับไรมี่อีกครั้งหลังจากทะเลาะกันไปจนงอนกันไปเกือบสิบปี ก้กลับมาคืนดีกัน ทว่าสกอร์ของเรื่องนี้เอล์ฟแมนทำได้ดีในระดับมาตรฐาน ไม่ถึงกับโดดเด่นจนน่าจดจำ และก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร (แต่ส่วนตัวผมชอบดนตรีของแดนนี่ เอลฟ์แมนในหนังทิม เบอร์ตันทุกเรื่อง เพราะมีธีมที่น่าจดจำและมีจังหวะที่จับใจ และเอล์ฟแมนเป็นคนทำดนตรีอีกคนที่มีงานดนตรีในหนังที่ผมรักที่สุดอีกเรื่องนั่นคือ Real Steel เป็นงานดนตรีที่ผมยกย่องให้เป็นมาสเตอร์พีซของเอล์ฟแมนและเป็นหนึ่งในสกอร์ที่ยอดเยี่ยมลงตัวที่สุดอีกชิ้นในงานภาพยนตร์)
เจมส์ ฟรังโก้กับบทพระเอกที่มามาดเยอะๆ แกก็เหมาะกับบทดี แม้ว่าการแสดงในเรื่องนี้ เจมส์เล่นใหญ่มาก แถมยังได้ตัวร้ายแม่มดมีการแต่งหน้าจัดๆแย่งชิงอำนาจก็เหมือนลิเกละครช่องเจ็ดได้เหมือนกัน แต่รสนิยมเมืองนอกเขาก็ต้องใส่ความไฮโซลงไปหน่อยในความเป็นภาพยนตร์ให้มันดูไม่น่าเกลียด
คิดว่าหนังเรื่องนี้สามารถประสบความสำเร็จได้ไม่ยากเพราะเนื้อหาที่ค่อนข้างตลาดเข้าถึงคนดูตั้งแต่วัยเด็กยันผู้ใหญ่ แถมยังมีข้อคิดดีๆที่ทำให้ได้จรรโลงใจหลังจากดูหนังจบ ถือว่าทำออกมาได้ดีเลยทีเดียวครับ และถ้าดูแบบสามมิติย้ำอีกครั้งว่าจะทำให้ฟินกว่าเดิมแน่ๆ ผมคิดว่าดีครับที่หนังมันต้องให้อะไรคนดูมากกว่าคำว่าสนุกและเพลิดเพลินอย่างเดียว เพราะในฐานะที่หนังเป็นอีกสื่อหนึ่งที่ผู้เสพจะสามารถรับสิ่งที่หนังเสนอไปอย่างเต็มๆ การที่หนังมีสารที่ดีและสร้างจิตสำนึกที่ดีแบบไม่ยัดเยียนสั่งสอนจนเกินไป น่าจะทำให้ยกระดับจิตใจคนดูให้สูงขึ้นไปขณะที่เสพงานศิลปะที่สวยงามอย่างนี้ด้วยครับ และถ้ามีโอกาสเรายังอยากกลับไปเที่ยวในออซอีกนะ ขอบคุณที่มอบความทรงจำที่สวยงามให้แก่กัน
ปล.สุดท้ายขอฝากหนังตัวอย่างทีเซอร์ "หนังซอมบี้" ผลงานเรื่องใหม่ของผมไว้ด้วยนะคร้าบ
VIDEO
อันนี้ตัวอย่างหนัง "ออซ" ครับ
VIDEO
ขอลากันด้วยScoreดนตรีจากหนังเรื่องนี้ครับ ลองกดมาฟังกันได้ครับ
VIDEO
ติดตามผลงานรีวิวอื่นๆและผลงานหนังสั้นต่อได้ที่นี่ครับ
ใครชอบอ่านรีวิวหรืออยากติดตามเรื่องราวข่าวสารดีๆจากผม
ผมจะไป"แชร์"ให้ทุกท่านโดยตรงในเพจด้านล่างนี้นะคร้าบ มาLikeเยอะๆนะคร้าบ คลิกไปแล้วไม่ผิดหวังครับ!!
https://www.facebook.com/Napat.Tang.Fans
https://www.facebook.com/S.L.Studios.Ent
ชวนชม Oz The Great and Powerful [[รีวิว + สปอยส์นิดๆแบบอ่านได้ ไม่เสียอรรถรส]]
Oz The Great and Powerful : ออซ มหัศจรรย์พ่อมดผู้ยิ่งใหญ่
คมนิด จี๊ดเลย : ที่สุดของความยิ่งใหญ่ คือความดีในตัวเรา
Napat's Rating : (B) , 8 /10
Update เรื่องหนัง ทันใจ คลิ๊กLIKE!! : https://www.facebook.com/Napat.Tang.Fans
- คำเตือน : นี่คือเรตติ้งและความคิดเห็นส่วนตัวหลังชมหนังของผมคนเดียวเท่านั้น ย้ำว่าส่วนตัวนะครับ บางคนเห็นตรง บางคนอาจเห็นต่าง ถือว่าเอามาแลกเปลี่ยนทัศนะกันเฉยๆ โปรดอย่าได้ถือสากับคำวิจารณ์ของผมเลยนะครับ เพราะเป็นเพียงอีกหนึ่งเสียงจากการชมหนังในฐานะคนดูหนังธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น -
จากใจ..ถึงหนังเรื่องนี้ : สำหรับออซ ไม่ต้องห่วงเลยว่าเรื่องนี้เราจะได้พบกับความแฟนตาซีจ๋าๆแน่ ตั้งแต่เห็นโลโก้และตัวอย่าง พอเดาออกไม่ยากว่าจะได้เห็นภาพของหนังแฟนตาซีสีลูกกวาดอีกเรื่องที่จะได้ชมอย่างเต็มตาทั้งเรื่อง (ดูเผินๆอาจนึกว่าเป็น Alice in the wonderland 2ก็เป็นได้) แต่ทีเด็ดของหนังเรื่องนี้นอกจากว่ามันได้มาจากวรรณกรรมและเคยเป็นหนังในตำนานเมื่อนานมาแล้ว ผู้ที่เอามาปัดฝุ่นทำใหม่นั้นยังเป็นผู้กำกับหนังชื่อดังอย่าง "แซม ไรมี่" ผู้ที่เคยปลุกปั้นสไปเดอร์แมนไตรภาคแรกเมื่อหลายปีก่อนมาแล้วนั่นเอง
การกลับมาปัดฝุ่นหนังในครั้งนี้ ผู้กำกับไรมี่ ได้นำเทคนิคการเล่นกับภาพมาใช้ได้อย่างคุ้มค่ามากๆ เริ่มตั้งแต่การนำเทคนิคถ่ายภาพแบบภาพสามมิติมาใช้ในหนังสีลูกกวาดเรื่องนี้ และเล่นกับวิชวลต่างๆได้ดี ดังนั้นตีตั๋วมาดูเรื่องนี้สิ่งแรกที่จะได้รับคือภาพสวยๆในวิชวลของคนที่เจ๋ง ทำให้มันออกมาอย่างที่ควรจะเป็น แม้แต่ตอนแรกของหนังที่เปิดมาก็ยังใช้ลูกเล่นภาพขาวดำในสัดส่วนของฟิล์มรุ่นเก่าทำให้ภาพมีขนาดครึ่งเดียวของหน้าจอทั้งหมด ซึ่งภาพสามมิติยังเล่นกับคนดูด้วยการที่มีอะไรทะลุจออกมาจากสัดส่วนภาพที่กำลังฉายอยู่ออกมาโดยที่เราไม่ตั้งตัวหลายทีมาก แม้ว่าภาพเหล่านั้นจะถูกขยายออกเมื่อพระเอกได้เดินทางไปยังอีกโลก แต่เทคนิคสามมิติเรื่องนี้ก็ยังทำให้เราเพลินได้สมราคาตั๋วจริงๆ ขอบอกตั้งแต่ต้นเลยว่าถ้าจะตีตั๋ว ควรจัดแบบสามมิติจะเติมเต็มอรรถรสในการชมมากกว่าปกติเป็นอย่างยิ่ง
นอกจากนี้หนังยังพ่วงคำว่า The Great and Powerful เข้ามาในชื่อเรื่องด้วย ซึ่งทีแรกตอนเห็นรู้ยังรู้สึกแปลกใจ แม้ว่าจะได้ชมตัวอย่างแล้ว แต่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่า อะไรมันจะสำคัญนักหนาเนี่ย จะยอดเยี่ยมยิ่งใหญ่อะไรขนาดนั้นเชียวน่ะออซ แต่สุดท้ายพอได้ชม ก็เข้าใจอย่างลึกซึ้งเลยว่า นี่แหละคือหัวใจของเรื่องที่อยู่ในสายเลือดของออซเขาจริงๆ
[[หลังจากนี้มีสปอยส์เล็กน้อย แต่ก็ยังพออ่านได้แบบไม่เสียอรรถรสในการชมหนังนะครับ]]
หนังได้กล่าวถึงออสการ์ นักมายากลตกอับคนหนึ่งที่อยากมีชีวิตที่ยิ่งใหญ่ (รับบทโดย เจมส์ ฟรังโก้ อดีตคู่หูคู่ปรับของสไปเดอร์แมนเวอร์ชั่นแซม ไรมี่) แต่ทุกอย่างเหมือนจะบันดาลใจให้เขาเมื่อมีเหตุที่ต้องหลุดลอยไปยังโลกดินแดนลี้ลับที่มีชื่อว่าออซเหมือนกับเขา และทุกคนเชื่อว่าเขาคือพ่อมดที่จะเป็นความหวังของอาณาจักรชาวออซเฝ้ารอคอย
ในช่วงแรกเริ่มออซได้พยายามแสวงหาความยิ่งใหญ่ของตนเองด้วยการหลอกใครก็ตามว่าเขาคือพ่อมด เพราะเชื่อว่านั่นคือสิ่งที่จะปูทางให้เขาไปสู่ความเป็น The Great and Powerful ที่เขาต้องการ แม้ว่านั่นจะไม่ใช่ความจริงก็ตาม และด้วยความที่หลวมตัวเองมาแบบนี้เลยได้รับภารกิจที่จะต้องล่าแม่มดตัวร้ายแห่งอาณาจักรมาด้วย เขาจะพิสูจน์ตนเองอย่างไรนั้น อยากให้ไปชมกันในโรงเอาเอง
แต่ด้วยเนื้อเรื่องของหนังถือว่าเป็นหนังที่มีคติสอนใจคนได้ดีอีกเรื่องเลยทีเดียว เพราะออซก็จะได้เรียนรู้ว่าการหลอกลวงที่เขาทำอยู่ จริงๆแล้วมันคือความอุปโลกน์แสวงหาความยิ่งใหญ่ให้ตัวเขาเอง แต่ถ้าสิ่งที่เขาต้องการ มันต้องแลกมาด้วยความหวังและความศรัทธาที่ชาวเมืองแห่งออซได้มอบให้ เขาจะเลือกที่จะกอบโกยผลแห่งอำนาจเหล่านั้นเพื่อตัวเขาเองอย่างเดียวจริงหรือ หรือโชคชะตาบางอย่างจะนำพาให้เขาได้พบกับการแสวงหา "ความยิ่งใหญ่"มาได้อย่างถูกวิธี นั่นคือการมีจิตสำนึกภายใต้ความดี ความรัก และความสามัคคี ที่จะกอบกู้สิ่งที่เรียกว่า "ความหวัง" ที่หายไปของชาวออซกลับคืนมา
แม้ว่าเนื้อเรื่องช่วงแรกผมคิดว่ายังแผ่วๆ ไม่ตื่นเต้นเท่ากับแจ๊ค ผู้สยบยักษ์ที่ฉายไปก่อนหน้า แต่ในช่วงหลังของเรื่องนี้นับว่าผุ้กำกับไรมี่ สามารถคุมจังหวะโทนและอารมณ์ของคนดูอยู่ได้มากกว่าจริง หนังที่ดูเผินๆอาจมาดูเอาภาพและวิชชั่นเพลินๆ ก็ยังมีเนื้อเรื่องและประโยคดีๆที่น่าจดจำ แถมยังมีการคารวะความเป็นภาพยนตร์อย่างเจ้าพ่อโทมัส เอดิสัน ผู้ให้กำเนิดหลอดไฟรวมถึงสิ่งที่เรียกว่าภาพยนตร์คนแรกอีกด้วย ถือว่าทำได้ดีมาก มันทำให้ผมเหวอและสนุกได้อย่างเต็มที่กับฉากนั้น และเชื่อว่าเพื่อนๆต้องชอบเช่นกัน
ครั้งนี้แดนนี่ เอล์ฟแมน ได้มาทำดนตรีให้กับผู้กำกับไรมี่อีกครั้งหลังจากทะเลาะกันไปจนงอนกันไปเกือบสิบปี ก้กลับมาคืนดีกัน ทว่าสกอร์ของเรื่องนี้เอล์ฟแมนทำได้ดีในระดับมาตรฐาน ไม่ถึงกับโดดเด่นจนน่าจดจำ และก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร (แต่ส่วนตัวผมชอบดนตรีของแดนนี่ เอลฟ์แมนในหนังทิม เบอร์ตันทุกเรื่อง เพราะมีธีมที่น่าจดจำและมีจังหวะที่จับใจ และเอล์ฟแมนเป็นคนทำดนตรีอีกคนที่มีงานดนตรีในหนังที่ผมรักที่สุดอีกเรื่องนั่นคือ Real Steel เป็นงานดนตรีที่ผมยกย่องให้เป็นมาสเตอร์พีซของเอล์ฟแมนและเป็นหนึ่งในสกอร์ที่ยอดเยี่ยมลงตัวที่สุดอีกชิ้นในงานภาพยนตร์)
เจมส์ ฟรังโก้กับบทพระเอกที่มามาดเยอะๆ แกก็เหมาะกับบทดี แม้ว่าการแสดงในเรื่องนี้ เจมส์เล่นใหญ่มาก แถมยังได้ตัวร้ายแม่มดมีการแต่งหน้าจัดๆแย่งชิงอำนาจก็เหมือนลิเกละครช่องเจ็ดได้เหมือนกัน แต่รสนิยมเมืองนอกเขาก็ต้องใส่ความไฮโซลงไปหน่อยในความเป็นภาพยนตร์ให้มันดูไม่น่าเกลียด
คิดว่าหนังเรื่องนี้สามารถประสบความสำเร็จได้ไม่ยากเพราะเนื้อหาที่ค่อนข้างตลาดเข้าถึงคนดูตั้งแต่วัยเด็กยันผู้ใหญ่ แถมยังมีข้อคิดดีๆที่ทำให้ได้จรรโลงใจหลังจากดูหนังจบ ถือว่าทำออกมาได้ดีเลยทีเดียวครับ และถ้าดูแบบสามมิติย้ำอีกครั้งว่าจะทำให้ฟินกว่าเดิมแน่ๆ ผมคิดว่าดีครับที่หนังมันต้องให้อะไรคนดูมากกว่าคำว่าสนุกและเพลิดเพลินอย่างเดียว เพราะในฐานะที่หนังเป็นอีกสื่อหนึ่งที่ผู้เสพจะสามารถรับสิ่งที่หนังเสนอไปอย่างเต็มๆ การที่หนังมีสารที่ดีและสร้างจิตสำนึกที่ดีแบบไม่ยัดเยียนสั่งสอนจนเกินไป น่าจะทำให้ยกระดับจิตใจคนดูให้สูงขึ้นไปขณะที่เสพงานศิลปะที่สวยงามอย่างนี้ด้วยครับ และถ้ามีโอกาสเรายังอยากกลับไปเที่ยวในออซอีกนะ ขอบคุณที่มอบความทรงจำที่สวยงามให้แก่กัน
ปล.สุดท้ายขอฝากหนังตัวอย่างทีเซอร์ "หนังซอมบี้" ผลงานเรื่องใหม่ของผมไว้ด้วยนะคร้าบ
อันนี้ตัวอย่างหนัง "ออซ" ครับ
ขอลากันด้วยScoreดนตรีจากหนังเรื่องนี้ครับ ลองกดมาฟังกันได้ครับ
ติดตามผลงานรีวิวอื่นๆและผลงานหนังสั้นต่อได้ที่นี่ครับ
ใครชอบอ่านรีวิวหรืออยากติดตามเรื่องราวข่าวสารดีๆจากผม
ผมจะไป"แชร์"ให้ทุกท่านโดยตรงในเพจด้านล่างนี้นะคร้าบ มาLikeเยอะๆนะคร้าบ คลิกไปแล้วไม่ผิดหวังครับ!!
https://www.facebook.com/Napat.Tang.Fans
https://www.facebook.com/S.L.Studios.Ent