ตอนที่ 1
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://ppantip.com/topic/30108764
ตอนที่ 2
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://ppantip.com/topic/30131376
ตอนที่ 3.1
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://ppantip.com/topic/30154887
ตอนที่ 3.2
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://ppantip.com/topic/30181624
ตอนที่ 4.1
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://ppantip.com/topic/30207705
เมื่อเช้าวานทนายความกลุ่มใหญ่พากันมาหาเธอหนึ่งในนั้นเป็นทนายของชาร์ลผู้ชายที่เธอจะต้องแต่งงานด้วยในวันนี้ และอีกสี่คนเป็นทนายของสี่หนุ่มเธอเองก็ไม่แน่ใจบ้างว่ามีของใครแต่ที่แน่ๆสัญญาที่ร่างมาเธอรับได้และคิดว่าไม่น่าจะเสียเปรียบเท่าไหร่
สัญญานั้นว่าด้วยเงินเดือน และสัญญาว่าจะมอบที่ดินส่วนที่ควรจะเป็นของเธอคืนโดยที่เธอต้องทำหน้าที่เป็นภรรยาที่ดีให้คนอื่นเห็น รวมทั้งเป็นแม่บ้านมีหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยและทำตามที่เขาสั่ง และข้อสำคัญที่คุณทนายทั้งสี่ไม่ลืมเขียนให้เธอคือถ้าหากเขาล่วงเกินเธอโดยที่เธอไม่สมัครใจ การแต่งงานถือเป็นโมฆะทันที สมบัติของพ่อเขาจะตกเป็นของเธอ เมื่อเธอจรดปากกาทุกอย่างที่แสนปั่นป่วนก็เริ่มขึ้น พนักงานหญิงจำนวนมากลากถูเธอขึ้นบนรถ มาถึงสนามบิน ขึ้นเครื่องตรงดิ่งมายังประเทศอังกฤษทันที โดยที่เธอไม่ต้องจัดการเรื่องใดทั้งสิ้นหญิงสาวเหล่านั้นบอกว่าเจ้านายของเธอจัดการให้หมดแล้วขอให้เธอทำหน้าที่เป็นเจ้าสาวที่สวยที่สุดก็พอเธอไม่ต้องแม้แต่จะบอกลาชายหนุ่มพนักงานทั้งสอง คนถูกปฏิบัติอย่างดีมาตลอดทางได้แต่หน้าซีดเซียวไม่รู้เรื่องใดๆทั้งสิ้น เอวาถูกปฏิบัติราวกับเจ้าหญิง พนักงานหญิงพวกนั้นขัดถูเธอราวกับเป็นหม้ออ่างกระถางโบราณที่เพิ่งจะขุดพบจากใต้ดินลึกราวสามสิบเมตร
ชาร์ลเนรมิตทุกอย่างราวกับว่าเขาเป็นพ่อมด เครื่องบินล่อนลงจอดในเช้าวันแต่งงานพอดี รถลีมูซีนสีดำสนิท คันยาวที่สุดเท่าที่เคยเห็นจอดรับเธอทันทีที่ประตูเครื่องบินเปิดออกเขาทำเช่นเธอเป็นเจ้าหญิงมาจากต่างแดน ชาร์ลอยู่ในชุดสูทสีดำสนิทรอเธออยู่ในรถแล้ว เธอทำหน้าทีเพียงสวมชุดเท่านั้น
เขาพูดเพียงว่าให้เธอยิ้มไว้เท่านั้นพิธีแรกจะเป็นพิธีสาบานตนจัดขึ้นในโบสถ์เก่าแก่ ตอนเย็นจะมีงานเลี้ยงที่จัดขึ้นที่โรงแรมของเขาเอง แล้วสิ่งที่เธอต้องทำคือพูดให้น้อยที่สุด ก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เธอไม่มีเวลามาตื่นเต้นดีใจเหมือนเจ้าสาวคนใดทั้งสิ้นเธอทำได้เพียงยิ้มและพูดให้น้อยที่สุดเท่านั้นซึ่งผิดวิสัยของเธอมาก
อาจจะเป็นเพราะแขกเหรื่อที่มาในงานมากหน้าหลายตาและหลายชาติเกินจนความสามารถทางภาษาอังกฤษที่เคยเก่งพอตัวลดน้อยลงเป็นฟังอะไรแทบไม่รู้เรื่องจนทำให้พูดน้อยหรือเรียกได้ว่าไม่ได้พูดกับใครเลยจะถูกต้องกว่ามีเพียงชาร์ลเท่านั้นที่คอยดุเวลาเธอทำอะไรเป็นธรรมชาติมากเกินไป เนื่องจากคนรวยมักจะไม่ทำในสิ่งที่คนทั่วไปเขาทำกัน เธอหัวเราะในลำคอจากเดิมที่คิดว่าตัวเองจะไม่ต้องเสียอะไรเลย เพราะถ้าหากไม่ครบปีเธอก็ได้สมบัติของพ่อเขาถึงแม้จะไม่อยากได้ หรือหากครบปีเธอก็ได้บ้านเธอคืนทีนี้ไม่ต้องเป็นชื่อคนอื่นอีกต่อไปทั้งบ้านทั้งร้านอาหาร แต่ที่ไหนได้โลกส่วนตัวและชีวิตธรรมดาของเธอกลับมลายหายไปหมดแค่จะเดินเขาก็สั่งให้เธอเดินอย่างมีท่วงท่านั่งสง่างามก็ให้นั่งอย่างมีชั้นเชิง นั่ง... อย่างมีชั้นเชิง นั่งมันต้องมีชั้นเชิงด้วยเหรอว่ะ เธอคิดในใจพยายามเข้าใจคำว่าชั้นเชิงของเขา
“อยากจะบ้าตาย แกนะแก อย่าๆอย่าให้ถึงตาฉันบาง อย่าหวังๆ อย่างหวังว่าจะรอดอย่างเลย อย่า”เธอสบถออกมาเป็นภาษาไทยยาวยืด โยนหางกระโปรงทิ้งอย่างอ่อนใจ ถ้าหากเธอไม่ได้ทำผมอยู่เธอคงจะทึ้งหัวตัวเองด้วยความหงุดหงิดเมื่อคิดถึงความลำบากในภายหน้า ปีหนึ่ง ปีเดียว ปีเดียวเท่านั้น คิดเสียว่าเธอมาเรียนภาษาและหาประสบการณ์ต่างประเทศก็พอ
ร่างระหงส์คว้าชายกระโปรงสีขาวขึ้นมาอีกครั้ง ก้าวฉับๆตามชายที่เพิ่งเปิดแนบออกจากลิฟต์ไป เธอไม่เคยมาที่นี่ซักครั้งแต่เขากลับไปเธอเดินไปเองก็ดี เคาะให้มันหมดทุกห้องเลย คิดได้สาวเจ้าก็เดินกระแทกเท้าปังหวังระบายความโกรธทั้งหมดลงบนพื้นระเบียงที่ปูด้วยพรมสีแดงเป็นทางยาว แทนการทำร้ายทรงผมของตัวเอง
โครม!!
“คุณเป็นอะไรรึเปล่าครับ”เสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นอย่างนุ่มนวล หญิงสาวผู้กำลังหงุดหงิดลงไปก้นจ้ำเบ้ากับพื้นเป็นที่เรียบร้อย
“ไม่เป็นอะไรเลยมั๊งคะเนี่ย”เธอฉุนกึกตอบกลับด้วยภาษาอังกฤษเร็วรี่ เงยหน้าขึ้นมองแสงไฟสีส้มที่สะท้อนเข้าตาทำให้เธอเห็นหน้าเขาคนนั้นไม่ชัด แต่น้ำเสียงนุ่มลึกออกจะคุ้นหูเธออยู่บ้าง ร่างสูงค่อยๆทิ้งตัวนั่งอยู่ด้านข้าง
“คะ คะ คุณคือ...”แต่เมื่อเห็นใบหน้าคมที่ค่อยๆชัดขึ้นเผยให้เห็นใบหน้าคนที่เธอเคยเห็นในโรงหนัง คุณพระคุณเจ้าช่วยคนที่ทำให้เธอพูดภาษาอังกฤษได้ โอลิเวอร์ คลาวตัวเป็นๆเหรอเนี่ย จริงๆภาษาที่เธอเป็นอยู่ตอนนั้นก็มากพอที่จะทำให้เธอใช้หาเงินและเที่ยวไปทั่วโลกได้ แต่เพราะเขาๆ โอลิเวอร์ คลาว เพราะหนังของเขาทำให้เธอต้องไปเรียนภาษาอังกฤษเพิ่มเพราะอยากจะเข้าใจว่าเจ้าของน้ำเสียงนุ่มนวลนั้นพูดอะไร พระเอกที่ทำให้เธอมีแรงบันดาลใจในการเรียนภาษาอังกฤษ
“ลุกไหวรึเปล่าครับเนี่ย รองเท้าสูงขนาดนี้ท่าทางจะเจ็บมากอยู่ ผมขอโทษจริงๆครับที่ไม่ได้มอง”เขาค่อยๆพยุงร่างบางลุกขึ้น หญิงสาวอยากจะกรีดร้องออกมาให้จนได้แต่ก็จำต้องเก็บอาการไว้ ลืมความเจ็บปวดทั้งหมดเป็นปลิดทิ้งจนในที่สุด “เดินได้รึเปล่าครับเนี่ย”เธอจับจ้องที่ใบหน้าคมได้รูปจมูกโด่งเป็นสันรับกันอย่างไม่น่าเชื่อนั้นด้วยแววตาวิบวับ ส่งยิ้มหวานเคลิบเคลิ้มอย่างลืมตัว
“คุณครับเดินไหวรึเปล่าครับ”ใบหน้าสลักอมยิ้มทำท่าจะขำออกมาเมื่อเห็นดวงตาของเธอจับจ้องแต่หน้าเขา เอวาเหมือนกับได้สติขึ้นมาทันที พยายามจะทำท่าเดินแต่เพราะข้อเท้าที่ทำท่าจะไม่ไหวเพราะตกรองเท้าส้นสูงมากทำให้เธอหน้าแทบคะมำทันทีที่ที่เขาปล่อยมือจากแขน อาการเจ็บข้อเท้าแล่นปรืดเข้ากระดูกจนเธอต้องร้องออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ดีที่วงแขนแข็งแรงคว้าเอวบางไว้ได้ทัน ใบหน้ายิ้มแย้มของชายคนนั้นส่งยิ้มอีกครั้ง
“ผมอุ้มไปดีกว่าครับ รอให้คุณเดินไป เดี๋ยวสามีคุณจะว่าผมเอาว่าทำร้ายภรรยาเขาแล้วหนีไป”เขาหัวเราะเบาๆ โลกสดใสสีชมพูอ่อนของเธอพังครืดลงมาทันที สามีเหรอ... อ๋อใช่สิเธออยู่ในชุดแต่งงาน หน้าขาวเนียนรีบหุบยิ้มทันที คนตัวใหญ่กว่าคว้าร่างเล็กลอยขึ้นจากพื้นได้อย่างง่ายดาย เหมือนกับว่าเธอเป็นสสารบางอย่างที่ไร้น้ำหนัก
“เดี๋ยวผมพาไป”เขาฉีกยิ้มที่ทำให้โลกสดใส หน้าสวยงอง้ำไปโดยปริยาย หากเธอเจอเขาในสภาพอื่นที่ไม่ใช่เจ้าสาวคงจะดีกว่านี้ หญิงสาวอยากจะกรีดร้องออกมาให้จนได้
“เจ้าบ่าวของคุณโชคดีจังเลยนะครับเนี่ยได้เจ้าสาวน่ารักแบบนี้เป็นภรรยา”เขาชวนคุย
ราวกับเข็มเล่มที่สามหมื่นแปดปังลงกลางหัวใจเขาช่างเลือกเรื่องคุยได้ถูกต้องเป็นที่สุด เจ้าบ่าวโชคดีจริงนั่นแหละ เธอไม่เห็นได้อะไรเลยซักนิดเดียว เธอเองก็สงสัยไม่น้อยว่าจะคุ้มรึเปล่า
“ขอบคุณคะ”เอวาไม่ได้ขอบคุณที่เขาชม แต่ขอบคุณที่เขาพาเธอมาส่งถึงหน้าประตูบานใหญ่ที่แปลกกว่าบานอื่นๆที่ผ่านมา ซึ่งห้องใครก็ไม่รู้ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่ยอมปล่อยเธอลง มือใหญ่เอื้อมไปเอือมมือกดกริ่ง ดวงตากลมโตเบิกตากว้างขึ้นมาทันที เขารู้เหรอเจ้าบ่าวเธอเป็นใครไปกดกริ่งมั่วแบบนั้นถ้าคนที่ออกมาไม่ใช่ชาร์ลเธอไม่ขายหน้าแย่เหรอ
“คุณคะ คือ...”พูดไม่ทันจบ
“คุณเดินไม่ไหวหรอกครับเดี๋ยวผมอุ้มเข้าไป”โอโห อัธยาศัยดีเป็นเลิศ
“ไม่เป็นไรหรอกคะ คุณปล่อยฉันลงเถอะคะ”ยังไม่ทันจะได้วางเธอลง ประตูบานหรูก็เปิดขึ้นดีที่ไม่ใช่คู่ปรับของเธอแต่เป็นชายในชุดสูทสีดำที่เคยเห็นในหนังเขาแต่งตัวภูมิฐานไม่ได้ต่างจากคุณทนายของอิริแกนเท่าไหร่นั้น แต่สิ่งที่แปลกออกไปที่เสื้อคลุมสีดำสนิทที่ควรจะตัดตรงมีหางแยกออกมาสองหางถ้าเป็นในการ์ตูนเธอคงคิดว่าเขาเป็นพ่อบ้านไปแล้ว
“คือสาวมีฉันไม่ใช่คนนั้นนะคะคุณ”เธอรีบบอกก่อนที่เขาจะพาเธอเดินตรงดิ่งเข้าไปในห้องไม่ได้ฟังเสียทัดทานอะไรคนเปิดประตูยิ้มบางๆให้เธอ
สิ่งที่อยู่ตรงหน้าทำให้เธอถึงกับตะลึงค้างไปสามวินาที ห้อง... อพาเม้น... คอนโด... บ้าน... เอวากลั้นหายใจไปชั่วครู่เธอไม่รู้ว่าจะใช้คำว่าอะไรกับห้องที่ถูกพาเข้ามา จริงที่ประตูบานใหญ่ข้างหลังน่าจะซ่อนอะไรที่ใหญ่กว่า แต่ก็ไม่ควรจะใหญ่ หรูหราและอลังการขนาดนี้ ดวงตากลมโตกวาดมองทุกสิ่งอย่างในห้องอย่างพินัจเฟอร์นิเจอส่วนใหญ่เน้นไปในโทนสีเบจ ฝาผนังที่ควรจะเป็นปูนถูกเปลี่ยนเป็นกระจกบานใหญ่เธอจำได้นี่เป็นชั้น 56 เธอสามารถมองไกลออกไปเห็นลอนดอนอายได้อย่างชัดเจน ตรงหน้าเธอเป็นห้องนั่งเล่นที่ประกอบไปด้วยโซฟาสีขาวชุดใหญ่ และจอภาพขนาดใหญ่ติดอยู่ข้างกำแพงปูนสีขาวสะอาดตาที่ โคมไฟระย้าที่เธอเคยเห็นในหนังปรากฏอยู่ตรงหน้าสร้างความตื่นตาให้เธออยู่มาก มุมห้องมีแกรนด์เปียโนสีขาวตั้งอยู่บนพรมสีแดงสวยสด ถัดออกไปอีกมุมเป็นเค้าเตอร์สีขาวห้อยลงมาจากเพดานที่กั้นระว่างห้องทานข้าวและห้องรับแขก
เอวาพ่นลมหายใจระบายความตื่นเต้นออกมาอย่างแรง แพขนตาหนากระพริบถี่เพื่อไล่ความตกตะลึงออก ห้องใครว่ะเนี่ย
“คุณคะฉันแต่งงานกับชาร์ล อิริแกนไม่ใช่...”
“ใจร้ายจริงๆที่ปล่อยให้ภรรยาแสนสวยอย่างนี้ต้องล้มแมบอยู่ข้างนอก”เสียงโอลิเวอร์ดังตัดบท หญิงสาวหน้าซีดหนักไม่รู้ควรจะตะลึงต่อหรือว่าแกล้งเป็นลมไปเลยดี เขาอุ้มร่างบางเข้าในนั่งอยู่บนเก้าอี้สีขาว
เมื่อเหลือบไปด้านข้างเห็นชายคุ้นตา เอวาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก อย่างน้อยเธอก็ไม่ได้ถูกพามาห้องผิด หรือถูกเข้าใจผิดว่าแต่งงานกับชายที่เปิดประตูให้แล้ว ชาร์ลที่ตอนนี้ถอดเสื้อคลุมออกเหลือแต่เสื้อเชิ้ตสีครีมนอนอ่านหนังสืออยู่บนเตียงด้วยท่าทางสบายๆเงยหน้าขึ้นมามองเล็กน้อย คนถูกมองยิ้มเหยเกไม่ใช่ว่าอยากทำเขาขายหน้าแต่มันเป็นเพราะอุบัติเหตุจริงๆเธอพยายามสบตาเขา
“ใครใช้ให้ไปนั่งกับพื้น”ดวงตากลมเบิกกว้างหนักเมื่อได้ฟังคำพูดที่หลุดออกมาจากปากคนที่ตอนอยู่บนโซฟา ถึงคำพูดจะไม่ได้ดีไปว่าที่เธอคิด แต่น้ำเสียงมันก็มากพอที่จะทำร้ายเธอเป็นไหนๆ ใคร ใคร ใครเขาอยากนั่งกันคะคุณ เธอเบ้ปาก
“พูดเกินไปใครจะอยากนั่ง”นั่น ใจดีจริงๆ เธอหันกลับไปยิ้มหวานให้โอลิเวอร์
“เอ่อพวกคุณรู้จักกันเหรอคะ”
Oh my destiny เมื่อรักแผลงฤทธิ์ 4.2
ตอนที่ 2 [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ตอนที่ 3.1 [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ตอนที่ 3.2 [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ตอนที่ 4.1 [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เมื่อเช้าวานทนายความกลุ่มใหญ่พากันมาหาเธอหนึ่งในนั้นเป็นทนายของชาร์ลผู้ชายที่เธอจะต้องแต่งงานด้วยในวันนี้ และอีกสี่คนเป็นทนายของสี่หนุ่มเธอเองก็ไม่แน่ใจบ้างว่ามีของใครแต่ที่แน่ๆสัญญาที่ร่างมาเธอรับได้และคิดว่าไม่น่าจะเสียเปรียบเท่าไหร่
สัญญานั้นว่าด้วยเงินเดือน และสัญญาว่าจะมอบที่ดินส่วนที่ควรจะเป็นของเธอคืนโดยที่เธอต้องทำหน้าที่เป็นภรรยาที่ดีให้คนอื่นเห็น รวมทั้งเป็นแม่บ้านมีหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยและทำตามที่เขาสั่ง และข้อสำคัญที่คุณทนายทั้งสี่ไม่ลืมเขียนให้เธอคือถ้าหากเขาล่วงเกินเธอโดยที่เธอไม่สมัครใจ การแต่งงานถือเป็นโมฆะทันที สมบัติของพ่อเขาจะตกเป็นของเธอ เมื่อเธอจรดปากกาทุกอย่างที่แสนปั่นป่วนก็เริ่มขึ้น พนักงานหญิงจำนวนมากลากถูเธอขึ้นบนรถ มาถึงสนามบิน ขึ้นเครื่องตรงดิ่งมายังประเทศอังกฤษทันที โดยที่เธอไม่ต้องจัดการเรื่องใดทั้งสิ้นหญิงสาวเหล่านั้นบอกว่าเจ้านายของเธอจัดการให้หมดแล้วขอให้เธอทำหน้าที่เป็นเจ้าสาวที่สวยที่สุดก็พอเธอไม่ต้องแม้แต่จะบอกลาชายหนุ่มพนักงานทั้งสอง คนถูกปฏิบัติอย่างดีมาตลอดทางได้แต่หน้าซีดเซียวไม่รู้เรื่องใดๆทั้งสิ้น เอวาถูกปฏิบัติราวกับเจ้าหญิง พนักงานหญิงพวกนั้นขัดถูเธอราวกับเป็นหม้ออ่างกระถางโบราณที่เพิ่งจะขุดพบจากใต้ดินลึกราวสามสิบเมตร
ชาร์ลเนรมิตทุกอย่างราวกับว่าเขาเป็นพ่อมด เครื่องบินล่อนลงจอดในเช้าวันแต่งงานพอดี รถลีมูซีนสีดำสนิท คันยาวที่สุดเท่าที่เคยเห็นจอดรับเธอทันทีที่ประตูเครื่องบินเปิดออกเขาทำเช่นเธอเป็นเจ้าหญิงมาจากต่างแดน ชาร์ลอยู่ในชุดสูทสีดำสนิทรอเธออยู่ในรถแล้ว เธอทำหน้าทีเพียงสวมชุดเท่านั้น
เขาพูดเพียงว่าให้เธอยิ้มไว้เท่านั้นพิธีแรกจะเป็นพิธีสาบานตนจัดขึ้นในโบสถ์เก่าแก่ ตอนเย็นจะมีงานเลี้ยงที่จัดขึ้นที่โรงแรมของเขาเอง แล้วสิ่งที่เธอต้องทำคือพูดให้น้อยที่สุด ก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เธอไม่มีเวลามาตื่นเต้นดีใจเหมือนเจ้าสาวคนใดทั้งสิ้นเธอทำได้เพียงยิ้มและพูดให้น้อยที่สุดเท่านั้นซึ่งผิดวิสัยของเธอมาก
อาจจะเป็นเพราะแขกเหรื่อที่มาในงานมากหน้าหลายตาและหลายชาติเกินจนความสามารถทางภาษาอังกฤษที่เคยเก่งพอตัวลดน้อยลงเป็นฟังอะไรแทบไม่รู้เรื่องจนทำให้พูดน้อยหรือเรียกได้ว่าไม่ได้พูดกับใครเลยจะถูกต้องกว่ามีเพียงชาร์ลเท่านั้นที่คอยดุเวลาเธอทำอะไรเป็นธรรมชาติมากเกินไป เนื่องจากคนรวยมักจะไม่ทำในสิ่งที่คนทั่วไปเขาทำกัน เธอหัวเราะในลำคอจากเดิมที่คิดว่าตัวเองจะไม่ต้องเสียอะไรเลย เพราะถ้าหากไม่ครบปีเธอก็ได้สมบัติของพ่อเขาถึงแม้จะไม่อยากได้ หรือหากครบปีเธอก็ได้บ้านเธอคืนทีนี้ไม่ต้องเป็นชื่อคนอื่นอีกต่อไปทั้งบ้านทั้งร้านอาหาร แต่ที่ไหนได้โลกส่วนตัวและชีวิตธรรมดาของเธอกลับมลายหายไปหมดแค่จะเดินเขาก็สั่งให้เธอเดินอย่างมีท่วงท่านั่งสง่างามก็ให้นั่งอย่างมีชั้นเชิง นั่ง... อย่างมีชั้นเชิง นั่งมันต้องมีชั้นเชิงด้วยเหรอว่ะ เธอคิดในใจพยายามเข้าใจคำว่าชั้นเชิงของเขา
“อยากจะบ้าตาย แกนะแก อย่าๆอย่าให้ถึงตาฉันบาง อย่าหวังๆ อย่างหวังว่าจะรอดอย่างเลย อย่า”เธอสบถออกมาเป็นภาษาไทยยาวยืด โยนหางกระโปรงทิ้งอย่างอ่อนใจ ถ้าหากเธอไม่ได้ทำผมอยู่เธอคงจะทึ้งหัวตัวเองด้วยความหงุดหงิดเมื่อคิดถึงความลำบากในภายหน้า ปีหนึ่ง ปีเดียว ปีเดียวเท่านั้น คิดเสียว่าเธอมาเรียนภาษาและหาประสบการณ์ต่างประเทศก็พอ
ร่างระหงส์คว้าชายกระโปรงสีขาวขึ้นมาอีกครั้ง ก้าวฉับๆตามชายที่เพิ่งเปิดแนบออกจากลิฟต์ไป เธอไม่เคยมาที่นี่ซักครั้งแต่เขากลับไปเธอเดินไปเองก็ดี เคาะให้มันหมดทุกห้องเลย คิดได้สาวเจ้าก็เดินกระแทกเท้าปังหวังระบายความโกรธทั้งหมดลงบนพื้นระเบียงที่ปูด้วยพรมสีแดงเป็นทางยาว แทนการทำร้ายทรงผมของตัวเอง
โครม!!
“คุณเป็นอะไรรึเปล่าครับ”เสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นอย่างนุ่มนวล หญิงสาวผู้กำลังหงุดหงิดลงไปก้นจ้ำเบ้ากับพื้นเป็นที่เรียบร้อย
“ไม่เป็นอะไรเลยมั๊งคะเนี่ย”เธอฉุนกึกตอบกลับด้วยภาษาอังกฤษเร็วรี่ เงยหน้าขึ้นมองแสงไฟสีส้มที่สะท้อนเข้าตาทำให้เธอเห็นหน้าเขาคนนั้นไม่ชัด แต่น้ำเสียงนุ่มลึกออกจะคุ้นหูเธออยู่บ้าง ร่างสูงค่อยๆทิ้งตัวนั่งอยู่ด้านข้าง
“คะ คะ คุณคือ...”แต่เมื่อเห็นใบหน้าคมที่ค่อยๆชัดขึ้นเผยให้เห็นใบหน้าคนที่เธอเคยเห็นในโรงหนัง คุณพระคุณเจ้าช่วยคนที่ทำให้เธอพูดภาษาอังกฤษได้ โอลิเวอร์ คลาวตัวเป็นๆเหรอเนี่ย จริงๆภาษาที่เธอเป็นอยู่ตอนนั้นก็มากพอที่จะทำให้เธอใช้หาเงินและเที่ยวไปทั่วโลกได้ แต่เพราะเขาๆ โอลิเวอร์ คลาว เพราะหนังของเขาทำให้เธอต้องไปเรียนภาษาอังกฤษเพิ่มเพราะอยากจะเข้าใจว่าเจ้าของน้ำเสียงนุ่มนวลนั้นพูดอะไร พระเอกที่ทำให้เธอมีแรงบันดาลใจในการเรียนภาษาอังกฤษ
“ลุกไหวรึเปล่าครับเนี่ย รองเท้าสูงขนาดนี้ท่าทางจะเจ็บมากอยู่ ผมขอโทษจริงๆครับที่ไม่ได้มอง”เขาค่อยๆพยุงร่างบางลุกขึ้น หญิงสาวอยากจะกรีดร้องออกมาให้จนได้แต่ก็จำต้องเก็บอาการไว้ ลืมความเจ็บปวดทั้งหมดเป็นปลิดทิ้งจนในที่สุด “เดินได้รึเปล่าครับเนี่ย”เธอจับจ้องที่ใบหน้าคมได้รูปจมูกโด่งเป็นสันรับกันอย่างไม่น่าเชื่อนั้นด้วยแววตาวิบวับ ส่งยิ้มหวานเคลิบเคลิ้มอย่างลืมตัว
“คุณครับเดินไหวรึเปล่าครับ”ใบหน้าสลักอมยิ้มทำท่าจะขำออกมาเมื่อเห็นดวงตาของเธอจับจ้องแต่หน้าเขา เอวาเหมือนกับได้สติขึ้นมาทันที พยายามจะทำท่าเดินแต่เพราะข้อเท้าที่ทำท่าจะไม่ไหวเพราะตกรองเท้าส้นสูงมากทำให้เธอหน้าแทบคะมำทันทีที่ที่เขาปล่อยมือจากแขน อาการเจ็บข้อเท้าแล่นปรืดเข้ากระดูกจนเธอต้องร้องออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ดีที่วงแขนแข็งแรงคว้าเอวบางไว้ได้ทัน ใบหน้ายิ้มแย้มของชายคนนั้นส่งยิ้มอีกครั้ง
“ผมอุ้มไปดีกว่าครับ รอให้คุณเดินไป เดี๋ยวสามีคุณจะว่าผมเอาว่าทำร้ายภรรยาเขาแล้วหนีไป”เขาหัวเราะเบาๆ โลกสดใสสีชมพูอ่อนของเธอพังครืดลงมาทันที สามีเหรอ... อ๋อใช่สิเธออยู่ในชุดแต่งงาน หน้าขาวเนียนรีบหุบยิ้มทันที คนตัวใหญ่กว่าคว้าร่างเล็กลอยขึ้นจากพื้นได้อย่างง่ายดาย เหมือนกับว่าเธอเป็นสสารบางอย่างที่ไร้น้ำหนัก
“เดี๋ยวผมพาไป”เขาฉีกยิ้มที่ทำให้โลกสดใส หน้าสวยงอง้ำไปโดยปริยาย หากเธอเจอเขาในสภาพอื่นที่ไม่ใช่เจ้าสาวคงจะดีกว่านี้ หญิงสาวอยากจะกรีดร้องออกมาให้จนได้
“เจ้าบ่าวของคุณโชคดีจังเลยนะครับเนี่ยได้เจ้าสาวน่ารักแบบนี้เป็นภรรยา”เขาชวนคุย
ราวกับเข็มเล่มที่สามหมื่นแปดปังลงกลางหัวใจเขาช่างเลือกเรื่องคุยได้ถูกต้องเป็นที่สุด เจ้าบ่าวโชคดีจริงนั่นแหละ เธอไม่เห็นได้อะไรเลยซักนิดเดียว เธอเองก็สงสัยไม่น้อยว่าจะคุ้มรึเปล่า
“ขอบคุณคะ”เอวาไม่ได้ขอบคุณที่เขาชม แต่ขอบคุณที่เขาพาเธอมาส่งถึงหน้าประตูบานใหญ่ที่แปลกกว่าบานอื่นๆที่ผ่านมา ซึ่งห้องใครก็ไม่รู้ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่ยอมปล่อยเธอลง มือใหญ่เอื้อมไปเอือมมือกดกริ่ง ดวงตากลมโตเบิกตากว้างขึ้นมาทันที เขารู้เหรอเจ้าบ่าวเธอเป็นใครไปกดกริ่งมั่วแบบนั้นถ้าคนที่ออกมาไม่ใช่ชาร์ลเธอไม่ขายหน้าแย่เหรอ
“คุณคะ คือ...”พูดไม่ทันจบ
“คุณเดินไม่ไหวหรอกครับเดี๋ยวผมอุ้มเข้าไป”โอโห อัธยาศัยดีเป็นเลิศ
“ไม่เป็นไรหรอกคะ คุณปล่อยฉันลงเถอะคะ”ยังไม่ทันจะได้วางเธอลง ประตูบานหรูก็เปิดขึ้นดีที่ไม่ใช่คู่ปรับของเธอแต่เป็นชายในชุดสูทสีดำที่เคยเห็นในหนังเขาแต่งตัวภูมิฐานไม่ได้ต่างจากคุณทนายของอิริแกนเท่าไหร่นั้น แต่สิ่งที่แปลกออกไปที่เสื้อคลุมสีดำสนิทที่ควรจะตัดตรงมีหางแยกออกมาสองหางถ้าเป็นในการ์ตูนเธอคงคิดว่าเขาเป็นพ่อบ้านไปแล้ว
“คือสาวมีฉันไม่ใช่คนนั้นนะคะคุณ”เธอรีบบอกก่อนที่เขาจะพาเธอเดินตรงดิ่งเข้าไปในห้องไม่ได้ฟังเสียทัดทานอะไรคนเปิดประตูยิ้มบางๆให้เธอ
สิ่งที่อยู่ตรงหน้าทำให้เธอถึงกับตะลึงค้างไปสามวินาที ห้อง... อพาเม้น... คอนโด... บ้าน... เอวากลั้นหายใจไปชั่วครู่เธอไม่รู้ว่าจะใช้คำว่าอะไรกับห้องที่ถูกพาเข้ามา จริงที่ประตูบานใหญ่ข้างหลังน่าจะซ่อนอะไรที่ใหญ่กว่า แต่ก็ไม่ควรจะใหญ่ หรูหราและอลังการขนาดนี้ ดวงตากลมโตกวาดมองทุกสิ่งอย่างในห้องอย่างพินัจเฟอร์นิเจอส่วนใหญ่เน้นไปในโทนสีเบจ ฝาผนังที่ควรจะเป็นปูนถูกเปลี่ยนเป็นกระจกบานใหญ่เธอจำได้นี่เป็นชั้น 56 เธอสามารถมองไกลออกไปเห็นลอนดอนอายได้อย่างชัดเจน ตรงหน้าเธอเป็นห้องนั่งเล่นที่ประกอบไปด้วยโซฟาสีขาวชุดใหญ่ และจอภาพขนาดใหญ่ติดอยู่ข้างกำแพงปูนสีขาวสะอาดตาที่ โคมไฟระย้าที่เธอเคยเห็นในหนังปรากฏอยู่ตรงหน้าสร้างความตื่นตาให้เธออยู่มาก มุมห้องมีแกรนด์เปียโนสีขาวตั้งอยู่บนพรมสีแดงสวยสด ถัดออกไปอีกมุมเป็นเค้าเตอร์สีขาวห้อยลงมาจากเพดานที่กั้นระว่างห้องทานข้าวและห้องรับแขก
เอวาพ่นลมหายใจระบายความตื่นเต้นออกมาอย่างแรง แพขนตาหนากระพริบถี่เพื่อไล่ความตกตะลึงออก ห้องใครว่ะเนี่ย
“คุณคะฉันแต่งงานกับชาร์ล อิริแกนไม่ใช่...”
“ใจร้ายจริงๆที่ปล่อยให้ภรรยาแสนสวยอย่างนี้ต้องล้มแมบอยู่ข้างนอก”เสียงโอลิเวอร์ดังตัดบท หญิงสาวหน้าซีดหนักไม่รู้ควรจะตะลึงต่อหรือว่าแกล้งเป็นลมไปเลยดี เขาอุ้มร่างบางเข้าในนั่งอยู่บนเก้าอี้สีขาว
เมื่อเหลือบไปด้านข้างเห็นชายคุ้นตา เอวาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก อย่างน้อยเธอก็ไม่ได้ถูกพามาห้องผิด หรือถูกเข้าใจผิดว่าแต่งงานกับชายที่เปิดประตูให้แล้ว ชาร์ลที่ตอนนี้ถอดเสื้อคลุมออกเหลือแต่เสื้อเชิ้ตสีครีมนอนอ่านหนังสืออยู่บนเตียงด้วยท่าทางสบายๆเงยหน้าขึ้นมามองเล็กน้อย คนถูกมองยิ้มเหยเกไม่ใช่ว่าอยากทำเขาขายหน้าแต่มันเป็นเพราะอุบัติเหตุจริงๆเธอพยายามสบตาเขา
“ใครใช้ให้ไปนั่งกับพื้น”ดวงตากลมเบิกกว้างหนักเมื่อได้ฟังคำพูดที่หลุดออกมาจากปากคนที่ตอนอยู่บนโซฟา ถึงคำพูดจะไม่ได้ดีไปว่าที่เธอคิด แต่น้ำเสียงมันก็มากพอที่จะทำร้ายเธอเป็นไหนๆ ใคร ใคร ใครเขาอยากนั่งกันคะคุณ เธอเบ้ปาก
“พูดเกินไปใครจะอยากนั่ง”นั่น ใจดีจริงๆ เธอหันกลับไปยิ้มหวานให้โอลิเวอร์
“เอ่อพวกคุณรู้จักกันเหรอคะ”