สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 86
ผมนับถือที่คุณใช้ชีวิตแบบตัดขาดโลกภายนอกได้มากขนาดนี้นะครับ
จนผมรู้สึกว่า คุณเคยถามตัวเองหรือเปล่าว่า คุณมีชีวิตเกิดมาเพื่ออะไร? เป็นเครื่องจักรหาเงินชดใช้บุญคุณครอบครัว?
สงสารตัวเองหน่อยครับ เคยยืนมองหน้ากระจกแล้วถามตัวเองหรือเปล่าว่า สิ่งที่คุณกำลังทำอยู่ มันทำให้คุณมีความสุขอย่างไรบ้าง
มันทำให้คุณมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างไรบ้าง มันทำให้คุณรู้สึกว่าเวลาที่ผ่านไปทุก ๆ วินาที คุณมีความทรงจำ มีประสบการณ์ที่ดี อะไรบ้าง?
ตามที่ทุก ๆ คนบอกไว้ เงินเดือนละ 5,000 บาท หลาย ๆ คนคงสรรเสริญเยินยอคุณว่าเป็นอภิชาติบุตรี
แต่ผมมองว่า คุณแค่กำลัง spoil ครอบครัว และฆ่าตัวตายทางอ้อม นั่นคือการมีชีวิตอยู่อย่างไร้ประสบการณ์ ไม่มีเรื่องราวการใช้ชีวิต
จริงอยู่ มันเป็นชีวิตของคุณ หากคุณบอกว่าคุณมีความสุขกับชีวิตแบบนี้ มันก็สิทธิของคุณในการเลือกทางเดินของตัวเอง
แต่อย่างน้อย ในเมื่อคุณเปิดคำถามบนหัวข้อกระทู้ว่า คุณใช้ชีวิตลำบาก ขัดสนไปมั๊ย และคนอื่นมีวิธีการจัดการเงินเดือนอย่างไร
ผมก็ขอแชร์ของผมบ้าง เผื่อมันจะเป็นประโยชน์ให้คุณบ้าง
เมื่อ 10 ปีก่อน ผมเริ่มทำงานใหม่ ๆ ผมเงินเดือนประมาณ 15,000 บาท ตอนนั้นอายุ 20 ต้น ๆ
แน่นอน ด้วยความเป็นผู้ชาย จึงต้องวางแผนสร้างฐานะให้เร็วที่สุด
การออมเงินจากรายได้ในแต่ละเดือนให้มากที่สุด เป็นเรื่องที่จำเป็นสำหรับคนที่เริ่มต้นด้วยตัวเปล่า ๆ ไม่มีทุนทรัพย์ ไม่มีกองหนุนจากครอบครัว
ผมเลือกที่จะไม่ให้เงินทางบ้านเลย ด้วยเหตุผลที่เข้าใจกันว่าผมขอเวลา 5-10 ปีที่จะสร้างฐานะ
แล้วหลังจากที่ประสบความสำเร็จ ผมจะตอบแทนครอบครัวอย่างเต็มที่
ผมเริ่มวางแผนการเงินจากสิ่งที่สำคัญที่สุด คือการไม่สร้างรายจ่ายประจำเด็ดขาด
ไม่ว่าจะเป็นการส่งเงินให้บ้าน ไม่ทำประกันชีวิต (มีประกันสังคมแล้ว และอายุยังไม่มาก) ใช้ internet package ถูกสุด ไม่โทรศัพท์พร่ำเพรื่อ
อ่านแค่นี้อาจจะมองว่าตึงเกินไปหรือเปล่า แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่ เพราะทุกอย่างที่ตัดออกไป คือสิ่งที่ "เกินความจำเป็น" แทบทั้งสิ้น
แต่ถึงแม้จะประหยัดรายจ่ายหลาย ๆ อย่าง แต่ผมก็ยังใช้ชีวิตแบบไม่ทำร้ายตัวเอง ผมมักจะให้สิ่งดี ๆ กับตัวเองเสมอ
ผมจะไปดูหนังที่ชอบ จะซื้ออาหารดี ๆ ของอร่อย ๆ กิน ซื้อเสื้อผ้า ฯลฯ ทำทุกอย่างที่ชอบ ในงบที่เหมาะสมกับเงินเดือน ณ ขณะนั้น
หลักการคือ ผมจะไม่รัดเข็มขัดจนตัวกิ่วเพื่ออดออมเงิน แต่ผมจะดูแลชีวิตตัวเองให้เต็มที่
เพื่อให้มีแรงกาย แรงสมองในการพัฒนาตัวเอง เพิ่มศักยภาพ เพื่อผลตอบแทนในการทำงานที่ก้าวกระโดด
พอไม่มีภาระค่าใช้จ่ายประจำทุก ๆ เดือน ก็ทำให้สภาพการเงินคล่องตัว ผมจึงเริ่มออมเงินด้วยสูตร รายได้-เงินออม = เหลือเป็นค่าใช้จ่าย
และค่าใช้จ่ายที่ใช้ไม่หมด ก็ทบเข้าไปในเงินออมที่เก็บไว้ทุก ๆ เดือน
ด้วยความที่วางแผนไว้อย่างดี จากเงินเดือน 15,000 บาท ทำให้ผมมีเงินเก็บเดือนละประมาณ 5,000-8,000 บาท (เห็นมั๊ยว่าพอ ๆ กับเงินที่คุณให้ทางบ้าน)
แค่เงินเก็บอย่างเดียวมันไม่พอหรอกครับ หลังจากที่คุณมีเงินเก็บ คุณก็ต้องทำให้มันงอกเงยได้ด้วย
ไม่ใช่ออมเงินแล้วก็ปล่อยทิ้งไว้ในธนาคาร ให้เงินเฟ้อกินดอกเบี้ยที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ลดมูลค่าของเงินในบัญชีคุณไปวัน ๆ
ณ ตอนนั้น ผมเอาเงินที่สะสมได้ 2-3 ปี ไปลงทุนในตลาดหุ้น และอสังหาริมทรัพย์ (แต่ไม่แนะนำให้ทำตาม ณ วันนี้ อย่างเด็ดขาด)
ด้วยการวางแผนที่ดี และการศึกษาหาความรู้ จำกัดความเสี่ยงต่าง ๆ ที่จะทำลายเงินต้นที่ผมอดออมมา ทำให้สุดท้ายเงินเก็บหลักหมื่น ก็งอกเงยขึ้นเป็นหลักแสน
ณ เวลานั้น ผมมีรายได้ที่เกิดจากการทำงานเดือนละหนึ่งหมื่นปลาย ๆ ตามเงินเดือนที่เพิ่มขึ้นปีละนิดหน่อย บวกกับผลตอบแทนจากการลงทุน
เป็นรายได้ 2 ทาง ทั้งใช้แรงทำงาน และให้เงินทำงาน
ตอนผมอายุ 29-30 ผมจึงเริ่มแนวทางที่ 3 นั่นคือการเริ่มมองหาธุรกิจส่วนตัว
ธุรกิจแรก ๆ บอกได้เลยว่าเจ๊งไม่เป็นท่า แต่รอดมาได้ด้วยการควบคุมค่าใช้จ่าย ถึงแม้จะไม่มีรายได้ แต่ค่าใช้จ่ายก็น้อย ทำให้ตัดสินใจเลิกได้ทัน
จนมาเริ่มธุรกิจที่ 3 คือตัวปัจจุบัน เริ่มทำเดือนแรกจำได้เลยว่ายอดขายไม่กี่พัน แล้วก็ค่อย ๆ ก้าวกระโดด จนมียอดขายมากพอสมควรต่อเดือน
สุดท้าย ผมเลือกที่จะจบชีวิตมนุษย์เงินเดือนหลังจากที่เงินลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ สร้างมูลค่าและกระแสเงินสด มากเกินกว่าค่าใช้จ่ายปกติ
และธุรกิจที่ค่อย ๆ ทำมาเริ่มมีความแน่นอนและไปได้ดี ตอนนี้รายได้หลักของผมจึงมาจากทั้งบริษัทที่ทำธุรกิจที่ว่า และรายได้จากการลงทุน
ณ จุดนี้ (เมื่อ 2-3 ปีก่อน) ประมาณ 8-10 ปีนับจากเริ่มทำงาน ผมจึงมองกลับไปที่จุดเริ่มต้น
วันที่ผมบอกครอบครัวว่า ผมขอเวลาในการสร้างฐานะก่อนนะ แล้วจะกลับมาดูแลทุก ๆ คนอย่างดี
วันนี้ผมมีฐานนะอยู่ในระดับที่รายรับมากกว่ารายจ่ายมาก ๆ ผมสามารถส่งเงิน support ครอบครัวได้หลักหมื่นโดยที่ไม่กระทบกระเทือนฐานะ
ผมสามารถพาพี่น้อง ญาติ ๆ คนที่ผมรัก ไปกินข้าวจะถูกจะแพงที่ไหนก็ได้ โดยไม่จำเป็นต้องเปิดกระเป๋าเงิน หรือกด ATM ดูยอดเงินคงเหลือก่อน
ผลจากการวางแผนที่ดี และการทำความเข้าใจกับครอบครัว ประกอบกับโชคดีในการทำงานและการลงทุนด้วยแหละ ทำให้ผมมีวันนี้ วันที่เงินไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป
การกตัญญู คุณไม่จำเป็นต้องทำทันทีทันใดหรอก ถ้ามันจะทำให้สุดท้ายแล้วคุณและครอบครัวต้องลำบาก
อดเปรี้ยวไว้กินหวาน น่าจะเป็นคำที่อธิบายได้ดีที่สุด
หวังว่าประสบการณ์ของผม จะช่วยอะไรคุณได้บ้างนะครับ
จนผมรู้สึกว่า คุณเคยถามตัวเองหรือเปล่าว่า คุณมีชีวิตเกิดมาเพื่ออะไร? เป็นเครื่องจักรหาเงินชดใช้บุญคุณครอบครัว?
สงสารตัวเองหน่อยครับ เคยยืนมองหน้ากระจกแล้วถามตัวเองหรือเปล่าว่า สิ่งที่คุณกำลังทำอยู่ มันทำให้คุณมีความสุขอย่างไรบ้าง
มันทำให้คุณมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างไรบ้าง มันทำให้คุณรู้สึกว่าเวลาที่ผ่านไปทุก ๆ วินาที คุณมีความทรงจำ มีประสบการณ์ที่ดี อะไรบ้าง?
ตามที่ทุก ๆ คนบอกไว้ เงินเดือนละ 5,000 บาท หลาย ๆ คนคงสรรเสริญเยินยอคุณว่าเป็นอภิชาติบุตรี
แต่ผมมองว่า คุณแค่กำลัง spoil ครอบครัว และฆ่าตัวตายทางอ้อม นั่นคือการมีชีวิตอยู่อย่างไร้ประสบการณ์ ไม่มีเรื่องราวการใช้ชีวิต
จริงอยู่ มันเป็นชีวิตของคุณ หากคุณบอกว่าคุณมีความสุขกับชีวิตแบบนี้ มันก็สิทธิของคุณในการเลือกทางเดินของตัวเอง
แต่อย่างน้อย ในเมื่อคุณเปิดคำถามบนหัวข้อกระทู้ว่า คุณใช้ชีวิตลำบาก ขัดสนไปมั๊ย และคนอื่นมีวิธีการจัดการเงินเดือนอย่างไร
ผมก็ขอแชร์ของผมบ้าง เผื่อมันจะเป็นประโยชน์ให้คุณบ้าง
เมื่อ 10 ปีก่อน ผมเริ่มทำงานใหม่ ๆ ผมเงินเดือนประมาณ 15,000 บาท ตอนนั้นอายุ 20 ต้น ๆ
แน่นอน ด้วยความเป็นผู้ชาย จึงต้องวางแผนสร้างฐานะให้เร็วที่สุด
การออมเงินจากรายได้ในแต่ละเดือนให้มากที่สุด เป็นเรื่องที่จำเป็นสำหรับคนที่เริ่มต้นด้วยตัวเปล่า ๆ ไม่มีทุนทรัพย์ ไม่มีกองหนุนจากครอบครัว
ผมเลือกที่จะไม่ให้เงินทางบ้านเลย ด้วยเหตุผลที่เข้าใจกันว่าผมขอเวลา 5-10 ปีที่จะสร้างฐานะ
แล้วหลังจากที่ประสบความสำเร็จ ผมจะตอบแทนครอบครัวอย่างเต็มที่
ผมเริ่มวางแผนการเงินจากสิ่งที่สำคัญที่สุด คือการไม่สร้างรายจ่ายประจำเด็ดขาด
ไม่ว่าจะเป็นการส่งเงินให้บ้าน ไม่ทำประกันชีวิต (มีประกันสังคมแล้ว และอายุยังไม่มาก) ใช้ internet package ถูกสุด ไม่โทรศัพท์พร่ำเพรื่อ
อ่านแค่นี้อาจจะมองว่าตึงเกินไปหรือเปล่า แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่ เพราะทุกอย่างที่ตัดออกไป คือสิ่งที่ "เกินความจำเป็น" แทบทั้งสิ้น
แต่ถึงแม้จะประหยัดรายจ่ายหลาย ๆ อย่าง แต่ผมก็ยังใช้ชีวิตแบบไม่ทำร้ายตัวเอง ผมมักจะให้สิ่งดี ๆ กับตัวเองเสมอ
ผมจะไปดูหนังที่ชอบ จะซื้ออาหารดี ๆ ของอร่อย ๆ กิน ซื้อเสื้อผ้า ฯลฯ ทำทุกอย่างที่ชอบ ในงบที่เหมาะสมกับเงินเดือน ณ ขณะนั้น
หลักการคือ ผมจะไม่รัดเข็มขัดจนตัวกิ่วเพื่ออดออมเงิน แต่ผมจะดูแลชีวิตตัวเองให้เต็มที่
เพื่อให้มีแรงกาย แรงสมองในการพัฒนาตัวเอง เพิ่มศักยภาพ เพื่อผลตอบแทนในการทำงานที่ก้าวกระโดด
พอไม่มีภาระค่าใช้จ่ายประจำทุก ๆ เดือน ก็ทำให้สภาพการเงินคล่องตัว ผมจึงเริ่มออมเงินด้วยสูตร รายได้-เงินออม = เหลือเป็นค่าใช้จ่าย
และค่าใช้จ่ายที่ใช้ไม่หมด ก็ทบเข้าไปในเงินออมที่เก็บไว้ทุก ๆ เดือน
ด้วยความที่วางแผนไว้อย่างดี จากเงินเดือน 15,000 บาท ทำให้ผมมีเงินเก็บเดือนละประมาณ 5,000-8,000 บาท (เห็นมั๊ยว่าพอ ๆ กับเงินที่คุณให้ทางบ้าน)
แค่เงินเก็บอย่างเดียวมันไม่พอหรอกครับ หลังจากที่คุณมีเงินเก็บ คุณก็ต้องทำให้มันงอกเงยได้ด้วย
ไม่ใช่ออมเงินแล้วก็ปล่อยทิ้งไว้ในธนาคาร ให้เงินเฟ้อกินดอกเบี้ยที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ลดมูลค่าของเงินในบัญชีคุณไปวัน ๆ
ณ ตอนนั้น ผมเอาเงินที่สะสมได้ 2-3 ปี ไปลงทุนในตลาดหุ้น และอสังหาริมทรัพย์ (แต่ไม่แนะนำให้ทำตาม ณ วันนี้ อย่างเด็ดขาด)
ด้วยการวางแผนที่ดี และการศึกษาหาความรู้ จำกัดความเสี่ยงต่าง ๆ ที่จะทำลายเงินต้นที่ผมอดออมมา ทำให้สุดท้ายเงินเก็บหลักหมื่น ก็งอกเงยขึ้นเป็นหลักแสน
ณ เวลานั้น ผมมีรายได้ที่เกิดจากการทำงานเดือนละหนึ่งหมื่นปลาย ๆ ตามเงินเดือนที่เพิ่มขึ้นปีละนิดหน่อย บวกกับผลตอบแทนจากการลงทุน
เป็นรายได้ 2 ทาง ทั้งใช้แรงทำงาน และให้เงินทำงาน
ตอนผมอายุ 29-30 ผมจึงเริ่มแนวทางที่ 3 นั่นคือการเริ่มมองหาธุรกิจส่วนตัว
ธุรกิจแรก ๆ บอกได้เลยว่าเจ๊งไม่เป็นท่า แต่รอดมาได้ด้วยการควบคุมค่าใช้จ่าย ถึงแม้จะไม่มีรายได้ แต่ค่าใช้จ่ายก็น้อย ทำให้ตัดสินใจเลิกได้ทัน
จนมาเริ่มธุรกิจที่ 3 คือตัวปัจจุบัน เริ่มทำเดือนแรกจำได้เลยว่ายอดขายไม่กี่พัน แล้วก็ค่อย ๆ ก้าวกระโดด จนมียอดขายมากพอสมควรต่อเดือน
สุดท้าย ผมเลือกที่จะจบชีวิตมนุษย์เงินเดือนหลังจากที่เงินลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ สร้างมูลค่าและกระแสเงินสด มากเกินกว่าค่าใช้จ่ายปกติ
และธุรกิจที่ค่อย ๆ ทำมาเริ่มมีความแน่นอนและไปได้ดี ตอนนี้รายได้หลักของผมจึงมาจากทั้งบริษัทที่ทำธุรกิจที่ว่า และรายได้จากการลงทุน
ณ จุดนี้ (เมื่อ 2-3 ปีก่อน) ประมาณ 8-10 ปีนับจากเริ่มทำงาน ผมจึงมองกลับไปที่จุดเริ่มต้น
วันที่ผมบอกครอบครัวว่า ผมขอเวลาในการสร้างฐานะก่อนนะ แล้วจะกลับมาดูแลทุก ๆ คนอย่างดี
วันนี้ผมมีฐานนะอยู่ในระดับที่รายรับมากกว่ารายจ่ายมาก ๆ ผมสามารถส่งเงิน support ครอบครัวได้หลักหมื่นโดยที่ไม่กระทบกระเทือนฐานะ
ผมสามารถพาพี่น้อง ญาติ ๆ คนที่ผมรัก ไปกินข้าวจะถูกจะแพงที่ไหนก็ได้ โดยไม่จำเป็นต้องเปิดกระเป๋าเงิน หรือกด ATM ดูยอดเงินคงเหลือก่อน
ผลจากการวางแผนที่ดี และการทำความเข้าใจกับครอบครัว ประกอบกับโชคดีในการทำงานและการลงทุนด้วยแหละ ทำให้ผมมีวันนี้ วันที่เงินไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป
การกตัญญู คุณไม่จำเป็นต้องทำทันทีทันใดหรอก ถ้ามันจะทำให้สุดท้ายแล้วคุณและครอบครัวต้องลำบาก
อดเปรี้ยวไว้กินหวาน น่าจะเป็นคำที่อธิบายได้ดีที่สุด
หวังว่าประสบการณ์ของผม จะช่วยอะไรคุณได้บ้างนะครับ
ความคิดเห็นที่ 19
คุณไปอยู่ไหนมาครับ น่าจะมาทำความรู้จักกัน ตามหามาทั้งชีวิตเลยนะนี่
ผมทำงาน 3-4 เดือน เท่ากับ จขกท ทำงานทั้งปี
ถ้าผมใช้ตังค์ บริหารตังค์ แบบ จขกท ได้ ป่านนี้ นอนตีพุงสบายที่บ้านนอกไปแล้ว
เพราะผม พอเพียงกว่า ใครๆในสามโลก
(เว่อไปหน่อย แต่จะสื่อว่า ผมชอบความพอเพียงครับ)
คุณคือ 1 ในผู้หญิง ที่ผู้ชาย(แบบผม)ใฝ่ฝันอยากจะได้เป็นคู่ครองครับ
แต่ว่า มีให้รางวัลตัวเองบ้างก็ดีนะครับ
เรามีอะไรหลายๆอย่างที่คล้ายกันมาก
ชอบอ่านหนังสือ - ห้องผม หนังสือจะล้มทับผมตายอยู่แล้ว แต่ผมไม่อ่านการ์ตูนนะ สาระล้วนๆ (ยกเว้นขายหัวเราะ ชอบ)
ไม่ชอบเที่ยว - ถ้าหมายถึง เที่ยวกลางคืน เที่ยวเตร็ดเตร่ ผมก็ไม่ชอบ แต่ถ้าเที่ยวผ่อนคลาย สบายอารมณ์ ทะเล ภูเขา อันนี้ขอเหอะ ต้องมีบ้างครับ
บันเทิงเริงใจต่างๆ - มีเน็ต มาียูทูบ ก็มีโรงหนังมีคอนเสิร์ตในตัว
ผมไม่ตัดบ่อย - อันนี้ผมต้องตัดบ่อยครับ อย่างน้อย เดือนละ 1 ครั้ง ไม่งั้น ทั้งหนวดทั้งผม ขี้ยามืออาชีพอาจจะอายผมได้
สรุป
ท่าน จขกท ควรจะ
- ลดส่งให้ทางบ้าน ซัก 1-2พัน หากไม่มีความจำเป็นต้องใช้จ่ายอะไร
- หาเพื่อนคุยบ้างก็ดีคัรบ การขาดสังคมเกินไป จะทำให้เราแคบลงในหลายๆอย่าง เช่น ทัศนะ ฯลฯ
- ให้รางวัลตัวเองบ้าง ซื้อหาในสิ่งที่ชอบ เที่ยวเปิดหูเปิดตาบ้าง
- ฯลฯ
ปล. ผมไม่ได้จีบนะครับ แต่ว่าคุณทำได้ดีมากๆ เลยครับ ขอคารวะด้วยใจ
ปล. อีกที ชอบอ่านหนังสืออะไรครับ หากมีสาระ เอามาแบ่งผมอ่านมั่งนะครับ
ผมทำงาน 3-4 เดือน เท่ากับ จขกท ทำงานทั้งปี
ถ้าผมใช้ตังค์ บริหารตังค์ แบบ จขกท ได้ ป่านนี้ นอนตีพุงสบายที่บ้านนอกไปแล้ว
เพราะผม พอเพียงกว่า ใครๆในสามโลก
(เว่อไปหน่อย แต่จะสื่อว่า ผมชอบความพอเพียงครับ)
คุณคือ 1 ในผู้หญิง ที่ผู้ชาย(แบบผม)ใฝ่ฝันอยากจะได้เป็นคู่ครองครับ
แต่ว่า มีให้รางวัลตัวเองบ้างก็ดีนะครับ
เรามีอะไรหลายๆอย่างที่คล้ายกันมาก
ชอบอ่านหนังสือ - ห้องผม หนังสือจะล้มทับผมตายอยู่แล้ว แต่ผมไม่อ่านการ์ตูนนะ สาระล้วนๆ (ยกเว้นขายหัวเราะ ชอบ)
ไม่ชอบเที่ยว - ถ้าหมายถึง เที่ยวกลางคืน เที่ยวเตร็ดเตร่ ผมก็ไม่ชอบ แต่ถ้าเที่ยวผ่อนคลาย สบายอารมณ์ ทะเล ภูเขา อันนี้ขอเหอะ ต้องมีบ้างครับ
บันเทิงเริงใจต่างๆ - มีเน็ต มาียูทูบ ก็มีโรงหนังมีคอนเสิร์ตในตัว
ผมไม่ตัดบ่อย - อันนี้ผมต้องตัดบ่อยครับ อย่างน้อย เดือนละ 1 ครั้ง ไม่งั้น ทั้งหนวดทั้งผม ขี้ยามืออาชีพอาจจะอายผมได้
สรุป
ท่าน จขกท ควรจะ
- ลดส่งให้ทางบ้าน ซัก 1-2พัน หากไม่มีความจำเป็นต้องใช้จ่ายอะไร
- หาเพื่อนคุยบ้างก็ดีคัรบ การขาดสังคมเกินไป จะทำให้เราแคบลงในหลายๆอย่าง เช่น ทัศนะ ฯลฯ
- ให้รางวัลตัวเองบ้าง ซื้อหาในสิ่งที่ชอบ เที่ยวเปิดหูเปิดตาบ้าง
- ฯลฯ
ปล. ผมไม่ได้จีบนะครับ แต่ว่าคุณทำได้ดีมากๆ เลยครับ ขอคารวะด้วยใจ
ปล. อีกที ชอบอ่านหนังสืออะไรครับ หากมีสาระ เอามาแบ่งผมอ่านมั่งนะครับ
ความคิดเห็นที่ 84
บอกตรงๆ คำชมที่หลายๆ คนในนี้ชมคุณ เราเห็นแล้วเราจะอ๊วกค่ะ
เพราะอะไรรู้มั้ยคะ?
การส่งเงินให้ทางบ้านนี่แหละค่ะคือหายนะ!!!!!!!
ขอบอกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
ตั้งแต่เราทำงานมา เราให้เงินแม่ทุกเดือน ซึ่งเป็นความคิดที่ผิดมาก!!!!!!!
เพราะมันกลายเป็นว่า เราไม่มีเงินเก็บเลย!!!
และไม่สามารถตั้งตัวได้เลย จนกระทั่งอายุ 30!!!!!
ถ้าอยากตั้งตัวได้ เลิกส่งเงินให้ครอบครัวก่อนค่ะ
ให้คุณดูแลตัวเองได้มากกว่านี้หรือมีรายได้มากกว่านี้ก่อนค่ะ แล้วค่อยให้
ไม่งั้นคุณจะติดกับดักนี้ไปอีกนานนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน!!!
วัฒนธรรมที่ว่าเงินเดือนเดือนแรกให้คนที่บ้าน ก็เป็นความคิดที่ผิดมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
แค่เริ่มต้นชีวิตก็ติดลบซะแล้ว โถถถถถถถถถ
เราเอียนคำอวยว่า "คุณเป็นดนดีจัง ส่งเงินให้แม่ใช้ทุกเดือนเลยนะ" มากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
มันเป็นสิ่งที่เราถูกชมมาตลอดชีวิต แต่ความเป็นจริงมันคือกับดัก!!!!!!!
สุดท้าย เมื่อเราไม่สามารถตั้งตัวได้
ไม่มีเงินเก็บ ไม่มีเงินทุน ไม่มีประสบการณ์ชีวิตมากพอ
เราก็ไม่สามารถไปลงทุนทำอะไรได้ ได้แต่รอคอย คาดหวังและแสวงหางานใหม่ไปเรื่อยๆ เพื่ออัพเงินเดือนของตัวเอง
ซึ่งก็เป็นไปอย่างช้าๆ เพราะประสบการณ์ หรือความสามารถอื่นๆที่เราควรมีมันน้อยกว่าคนอื่น สู้คู่แข่งได้ยาก
(เช่น การเข้าอบรมอะไรสักคอร์สที่มันต้องเป็นค่าใช้จ่าย - เป็นต้น)
สุดท้าย แทนที่เราจะได้ตั้งตัว ได้มีเงินเยอะไวๆ แทนที่เราจะได้ใช้ชีวิตที่ดีขึ้นหลังจากทำงานไปสักระยะ
แทนที่เราจะได้มีเงินเก็บให้อุ่นใจ แทนที่เราจะเอาสมองไปคิดหาทางทำมาหากินอย่างอื่น หรือสร้างสรรค์ผลงานเราในหน้าที่การงานเรา
แต่เรากลับจะต้องมานั่งกลุ้ม กังวลใจ และคอยคิดว่าจะใช้เงินอย่างไรให้พอดีเดือน
แล้วมันจะก้าวหน้ายังไงคะ?
แทนที่เราจะได้มีโอกาสทำงานและก้าวหน้าไปไกลๆ
และจะได้ส่งเงินให้ที่บ้านทีเดียวก้อนใหญ่ๆ ไปเลย
เรากลับต้องมาทำงานส่งเงินให้ทางบ้านทีละน้อยนิดแบบนี้
ยากค่ะ ที่เราจะหลุดพ้นวังวนนี้
มันเป็นวิธีคิดและบริหารเงินที่ผิดพลาดจริงๆ
เพราะอะไรรู้มั้ยคะ?
การส่งเงินให้ทางบ้านนี่แหละค่ะคือหายนะ!!!!!!!
ขอบอกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
ตั้งแต่เราทำงานมา เราให้เงินแม่ทุกเดือน ซึ่งเป็นความคิดที่ผิดมาก!!!!!!!
เพราะมันกลายเป็นว่า เราไม่มีเงินเก็บเลย!!!
และไม่สามารถตั้งตัวได้เลย จนกระทั่งอายุ 30!!!!!
ถ้าอยากตั้งตัวได้ เลิกส่งเงินให้ครอบครัวก่อนค่ะ
ให้คุณดูแลตัวเองได้มากกว่านี้หรือมีรายได้มากกว่านี้ก่อนค่ะ แล้วค่อยให้
ไม่งั้นคุณจะติดกับดักนี้ไปอีกนานนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน!!!
วัฒนธรรมที่ว่าเงินเดือนเดือนแรกให้คนที่บ้าน ก็เป็นความคิดที่ผิดมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
แค่เริ่มต้นชีวิตก็ติดลบซะแล้ว โถถถถถถถถถ
เราเอียนคำอวยว่า "คุณเป็นดนดีจัง ส่งเงินให้แม่ใช้ทุกเดือนเลยนะ" มากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
มันเป็นสิ่งที่เราถูกชมมาตลอดชีวิต แต่ความเป็นจริงมันคือกับดัก!!!!!!!
สุดท้าย เมื่อเราไม่สามารถตั้งตัวได้
ไม่มีเงินเก็บ ไม่มีเงินทุน ไม่มีประสบการณ์ชีวิตมากพอ
เราก็ไม่สามารถไปลงทุนทำอะไรได้ ได้แต่รอคอย คาดหวังและแสวงหางานใหม่ไปเรื่อยๆ เพื่ออัพเงินเดือนของตัวเอง
ซึ่งก็เป็นไปอย่างช้าๆ เพราะประสบการณ์ หรือความสามารถอื่นๆที่เราควรมีมันน้อยกว่าคนอื่น สู้คู่แข่งได้ยาก
(เช่น การเข้าอบรมอะไรสักคอร์สที่มันต้องเป็นค่าใช้จ่าย - เป็นต้น)
สุดท้าย แทนที่เราจะได้ตั้งตัว ได้มีเงินเยอะไวๆ แทนที่เราจะได้ใช้ชีวิตที่ดีขึ้นหลังจากทำงานไปสักระยะ
แทนที่เราจะได้มีเงินเก็บให้อุ่นใจ แทนที่เราจะเอาสมองไปคิดหาทางทำมาหากินอย่างอื่น หรือสร้างสรรค์ผลงานเราในหน้าที่การงานเรา
แต่เรากลับจะต้องมานั่งกลุ้ม กังวลใจ และคอยคิดว่าจะใช้เงินอย่างไรให้พอดีเดือน
แล้วมันจะก้าวหน้ายังไงคะ?
แทนที่เราจะได้มีโอกาสทำงานและก้าวหน้าไปไกลๆ
และจะได้ส่งเงินให้ที่บ้านทีเดียวก้อนใหญ่ๆ ไปเลย
เรากลับต้องมาทำงานส่งเงินให้ทางบ้านทีละน้อยนิดแบบนี้
ยากค่ะ ที่เราจะหลุดพ้นวังวนนี้
มันเป็นวิธีคิดและบริหารเงินที่ผิดพลาดจริงๆ
ความคิดเห็นที่ 44
แนะนำตรง ๆ นะครับ
1.อดทนทำงานให้ครบเป็นปี ๆ เช่น ถ้าไม่มี ประสบการณ์ก็ทำสัก 1.5-2 ปี มันจะทำให้โปรไฟล์เราดูน่าเชื่อถือ
ไม่ใช่ไร้ความอดทนน่ะครับ
2.พัฒนาตัวเองตลอด
2.1 ถ้าเป็น ญ ยังไงก็อย่าหยุดสวยครับ ยุคนี้หน้าตามันมาก่อนจริงๆ
คนสวยทำให้เก่งได้ แต่ขี้เหร่ทำให้สวยมันยากครับ
2.2ภาษาอังกฤษ ไม่ได้จำเป็นต้องไปเข้าคอร์สอะไรหรอกครับ
2.2.1 ฝึกอ่านจากเว็บ แปลดิค จาก ดิคออนไลน์ จดคำศัพท์เก็บไว้
2.2.2 ฝึกจากภาพยนต์หรือ youtube หรือเว็บฝึกภาษาอังกฤษ
2.2.3 ฝึกใช้คอมพิวเตอร์ครับ อาจจะหาข้อมูลจากในเน็ทได้ครับ
2.2.4 ฝึกการ Present ครับ อันนี้เป็นไม้ตายของคนที่จะเติบโตเลยครับ
ท่วงท่าการนำเสนอ จังหวะการพูด วิธีพูดให้เข้าใจง่าย ๆ ค่อยๆ ฝึกเอาครับ ใจเย็นๆๆ
3.เมื่อพร้อมจากข้อสอง ก็จงหางานใหม่เสีย เรียกเงินเดือนให้สูงขึ้นครับ
1.อดทนทำงานให้ครบเป็นปี ๆ เช่น ถ้าไม่มี ประสบการณ์ก็ทำสัก 1.5-2 ปี มันจะทำให้โปรไฟล์เราดูน่าเชื่อถือ
ไม่ใช่ไร้ความอดทนน่ะครับ
2.พัฒนาตัวเองตลอด
2.1 ถ้าเป็น ญ ยังไงก็อย่าหยุดสวยครับ ยุคนี้หน้าตามันมาก่อนจริงๆ
คนสวยทำให้เก่งได้ แต่ขี้เหร่ทำให้สวยมันยากครับ
2.2ภาษาอังกฤษ ไม่ได้จำเป็นต้องไปเข้าคอร์สอะไรหรอกครับ
2.2.1 ฝึกอ่านจากเว็บ แปลดิค จาก ดิคออนไลน์ จดคำศัพท์เก็บไว้
2.2.2 ฝึกจากภาพยนต์หรือ youtube หรือเว็บฝึกภาษาอังกฤษ
2.2.3 ฝึกใช้คอมพิวเตอร์ครับ อาจจะหาข้อมูลจากในเน็ทได้ครับ
2.2.4 ฝึกการ Present ครับ อันนี้เป็นไม้ตายของคนที่จะเติบโตเลยครับ
ท่วงท่าการนำเสนอ จังหวะการพูด วิธีพูดให้เข้าใจง่าย ๆ ค่อยๆ ฝึกเอาครับ ใจเย็นๆๆ
3.เมื่อพร้อมจากข้อสอง ก็จงหางานใหม่เสีย เรียกเงินเดือนให้สูงขึ้นครับ
แสดงความคิดเห็น
เงินเดือน 12000 ใช้เดือนชนเดือน เลือดตาแทบกระเด็น ของเพื่อนๆใช้กันยังไงมาแชร์กันนะค่ะ....
ปล.ถ้าขาดเนตเราคงขาดใจมากกว่า อิอิ^^