สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 1
การเตรียมตัวของผมนะครับ ใช้เวลาเตรียมตัว 1 เดือน
1 เดือนก่อนสอบ
- หลังจากติว/อ่านจนครบทุก part แล้ว ก็ลองทำ practice test จะได้รู้ว่าควรเน้น part ไหนเป็นพิเศษ (เลือกมามากสุด 2 ใน 4 part) แล้วให้เวลา 70% กับ part ที่ไม่ค่อยถนัด เพื่อที่เวลาสอบจริงจะได้ไม่ถ่วง part ที่เราทำได้ดีกว่า (แต่ก็อย่าชะล่าใจ แบ่งเวลาให้ part ที่เราทำได้โอเคแล้วซัก 30% )
สำหรับผมไม่ถนัด writing โดยเฉพาะเรื่องบริหารเวลา กับ organization ก็เลยใช้เวลาฝึกเขียนมากหน่อย แล้วก็จับเวลาไปด้วย
- ศึกษา tips จากเว็บ เช่น http://www.ielts-blog.com/ หรือ http://ielts-simon.com/ https://www.facebook.com/PractiseforIELTS
Writing
- สำหรับ writing ถ้ามีคนช่วยอ่านงานของเรา จะดีมาก เพราะจะทำให้เราได้ feedback ในส่วนที่เราอาจมองข้ามไป เช่น เราอาจไม่รู้ว่าชอบเขียนวกวน เยิ่นเย้อหรือใช้ไวยากรณ์ผิดๆ (ถ้าไม่สะดวกส่งไปตรวจทางเนต อาจให้เพื่อนที่ภาษาดีช่วย comment ก็ได้)
- นับคำที่เขียนในแต่ละบรรทัดว่า มีประมาณกี่คำ แล้ว task 1/task 2 ควรเขียนประมาณกี่บรรทัด (เวลาสอบจริงจะได้ไม่พะวง)
- จำ expressions ที่จะเอาไปใช้ในสถานการณ์ต่างๆ เช่น เปรียบเทียบข้อมูล (ตาราง) หรืออธิบาย trend (line/bar chart)
- ฝึกเขียน chart/diagram หลายๆ แบบ เพราะแต่ละแบบจะมีลักษณะการนำเสนอข้อมูลของตัวเอง
- ก่อนสอบ สักอาทิตย์นึง ก็หาข้อมูลจากคนที่สอบ ielts ครั้งล่าสุด ว่า task 1 ออก chart แบบไหนไปแล้ว ก็พอเดาได้คร่าวๆว่า รอบต่อไปจะออกแบบไหน (ของผมดูจาก http://jaiboon.pantown.com อะ)
Listening
- หาเวลาว่างฝึกฟังทางเนต ที่ผมใช้ก็มี
http://www.esl-lab.com/ (มีหลายระดับ ตั้งแต่ง่าย/ปานกลาง/ยาก)
http://www.bbc.co.uk/worldservice/learningenglish/
- ขณะที่ฟัง (ไม่ดู script) ก็จดโน้ตสั้นๆ ไปด้วย แรกๆ อาจเริ่มจาก “ใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร”
ต่อไปก็พยายามจดโน้ตข้อมูลที่ specific มากขึ้น เช่น พวกจำนวนตัวเลข
(TIP: ถ้าจดตัวเลขยาวๆ ควรออกเสียงทวนตัวเลขไปด้วยเบาๆ พร้อมๆ กับที่ฟัง จะช่วยให้เราจำได้แม่นยำขึ้น)
ปล. ตอนสอบ listening วันที่ 5 มกรา ผมเจอหมายเลขโทรศัพท์ยาวมาก X-(
Speaking
- เวลาว่างๆ ก็มองไปรอบๆตัว แล้วคิดว่า ถ้าเราจะอธิบาย สิ่งที่เราเห็น เราจะพูดอะไรบ้าง
- หัวข้อ speaking ช่วงที่ 2 มักจะเกี่ยวกับ education, environment, กิจกรรมทั่วไปในชีวิตประจำวัน, social problems ถ้าเราเตรียมคำศัพท์ที่เหมาะสมกับเนื้อหานั้นๆ จะมีประโยชน์มากเวลาสอบจริง (วันสอบจริง ผมได้หัวข้อ on-line shopping)
- ซ้อมพูดบ่อยๆ อาจเริ่มจาก basic คือ พูดหน้ากระจก หรือถ้าคล่องแล้ว อัดเสียงหรือถ่าย clip เวลาที่เราพูดแล้วเอามาเปิดฟังว่า เราพูดติดๆขัดๆบ่อยมั้ย ออกเสียงไม่ชัดตรงคำไหน พูดเร็วไปรึเปล่า
- ที่สำคัญ พยายามยิ้มเวลาพูด (ถึงในใจจะว้าวุ่น เพราะคิดคำตอบไม่ออก) เพราะอย่างน้อยจะช่วยให้มั่นใจ และพูดเสียงชัดเจนขึ้น (ออกเสียงผิดไปบ้าง ยังดีกว่าพูดค่อยหรือพูดไม่ชัด เพราะ examiner ไม่รู้จะให้คะแนนตรงไหน)
Reading
- เวลาอ่านบทความ ลองเขียนสรุปใจความสำคัญในแต่ละ paragraph ว่าใจความหลักคืออะไร(who, what, when, where, why) จะช่วยให้เราจับใจความสำคัญได้เร็วขึ้น แล้วเวลาทำข้อสอบที่ให้ match headings จะทำได้เร็วขึ้น
- เวลาทำ practice test พยายามเช็คเวลาไปด้วย (แต่อย่าให้มันมากดดันเรา ) จะได้รู้ว่าเราควรเร่งสปีดทำ passage นั้นๆ ได้รึยัง เพราะเวลาสอบจริง เห็นหลายคนทำ reading ไม่เสร็จ
วันสอบ
- ก่อนสอบจิบน้ำแต่น้อย และเวลาเขาให้ register ไม่ต้องรีบเข้า เพราะเข้าเร็วไปก็ต้องไปนั่งแกร่วข้างในอยู่ดี ใช้เวลาไปเข้าห้องน้ำห้องท่าให้เรียบร้อย (ใครสอบของ BC ระหว่างรอ เขาจะเปิดเสียงให้เช็คหูฟัง)
Listening
- หูฟัง >> ก่อนสอบ (ที่ British Council) ลองสวมหูฟังแล้วปรับความดังในหูฟังตามต้องการ แต่ไม่ควรดังเกินไป เพราะจะทำให้ได้ยินไม่ชัด เวลาสอบผมเอาตัวรับสัญญาณเหน็บเอวได้ จะช่วยให้ไม่เกะกะ/เสียสมาธิเวลาฟัง
- เวลาอ่านโจทย์ก่อนที่ listening แต่ละ part จะเริ่ม ใช้ดินสอขีดข้อความสำคัญของคำถามและตัวเลือกในแต่ละข้อ จะทำให้ focus ได้ดีขึ้นเวลาฟัง (โดยเฉพาะ part สุดท้าย ที่เนื้อหาเยอะ/พูดเร็ว)
- ส่วนที่ให้ฟังแล้วกรอกชื่อสถานที่ใน map ถ้าใช้ตัวย่อจะช่วยได้มาก (library >> lib หรือ Entrance >> Ent)แต่อย่าลืมเขียนให้เต็มเวลากรอกใน answer sheet
- เวลาฟังคำถามที่เป็น multiple choices พยายามใช้ดินสอตัดตัวเลือกที่ผิดทิ้งไปด้วย เผื่อเราฟังแล้ว ไม่แน่ใจคำตอบ จะได้เดาโดยตัดตัวเลือกที่ไม่ใช่ออกไป
- เวลากรอกคำตอบลงใน answer sheet (ทั้ง listening และ reading) จะใช้ตัวพิมพ์ใหญ่หรือเล็กก็ได้ ดูอ้างอิง>> http://www.idp.co.th/IELTS/A_WhenMustCandidatesUseCapitals.aspx
แต่ถ้าลายมืออ่านยาก ควรใช้ตัวพิมพ์ใหญ่ โดยเฉพาะพวกชื่อคน/สถานที่ จะอ่านง่ายชัดเจนกว่าเขียนด้วยตัวพิมพ์เล็ก
- สังเกตพวก –s หลังคำนามว่าใน script มีรึเปล่า ถ้าฟังไม่ทันจริงๆ ใช้สามัญสำนึกว่า คำนามนั้นควรเป็น singular หรือ plural (verb tense ก็เหมือนกัน)
- พอเจ้าหน้าที่บอกให้วางดินสอ วางลงทันที (ไม่งั้นจนท.จะเดินมากาข้อที่เรากำลังทำอยู่ทิ้ง)
Reading
- เริ่มจากอ่านคำถามก่อนอ่าน passage (อ่านคำถามทีละข้อ เช่น อ่านข้อ 1 จบ ค่อยอ่าน passage จนเจอคำตอบของข้อ 1 แล้วค่อยมาดูว่าคำถามข้อ 2 ถามว่าอะไร) วิธีนี้จะช่วยให้ประหยัดเวลา แล้วก็ไม่มึน
- ขีดเส้นใต้ key word ในคำถามก่อน จะได้รู้ว่าเวลาอ่าน ควร focus ตรงไหน
- ถ้า passage กับคำถามอยู่คนละหน้า แล้วต้องพลิกบ่อยๆ ควรเขียน key word ของคำถามข้อนั้นๆไว้ในหน้าของ passage จะได้ไม่ต้องพลิกหน้าไปพลิกหน้ามาให้เสียเวลาเสียสมาธิ
- อ่านๆ ไปเห็นชื่อเฉพาะ (โดยเฉพาะชื่อคน) ให้วงกลมชื่อเฉพาะนั้นไว้ และขีดเส้นใต้ส่วนที่สำคัญ (เช่น คนๆนั้น มีความเห็นยังไงกับเรื่องที่เรากำลังอ่าน) เวลากลับมาหาข้อมูล จะช่วยประหยัดเวลา
- ส่วนที่ให้เติมคำ (พวก two words only) ให้อ่าน key word ในโจทย์แล้วมองหา synonym ของคำนั้นใน passage
- ส่วนที่ให้ match headings (ชื่อเรื่องของย่อหน้าต่างๆ ) ควรอ่าน passage แรกก่อนแล้วค่อยมาหา heading แล้วค่อยอ่าน passage ต่อไป อย่าลืมว่าเขาให้ใส่ตัวเลขโรมัน (ix, iv)
- พอเจ้าหน้าที่บอกให้วางดินสอ วางลงทันที (ไม่งั้นจนท.จะเดินมากาข้อที่เรากำลังทำอยู่ทิ้ง)
Writing
Part นี้ผมไม่ค่อยถนัดเท่าไหร่ เลยเน้นไปที่การฝึกเขียนบ่อยๆ part อื่น
- เวลาสำคัญมาก ถ้าเขียนจะแล้วแก้ อย่าลบ ให้ขีดฆ่า
- ก่อนทำ อาจใช้ดินสอทำเครื่องหมายในกระดาษคำตอบว่า ควรเขียนให้ถึงบรรทัดที่เท่าไหร่ถึงจะได้จำนวนคำตามที่กำหนด
- ทำ task แรกก่อน เพราะจะได้ทุ่มเวลากับสมองไปที่ task 2 ซึ่งคะแนนมากกว่า
- พยายามใช้ synonym, ศัพท์, รูปประโยคที่หลากหลาย (แต่ต้องแน่ใจด้วยว่าใช้ถูก)
- เขียนตามรูปแบบของการใช้ตัวพิมพ์ใหญ่หรือเล็ก (เช่น ขึ้นต้นประโยคหรือชื่อเฉพาะ ใช้ตัวพิมพ์ใหญ่)
ดูเพิ่มเติม http://www.englishclub.com/writing/caps0.htm
Speaking
- ผมได้คิวสอบท้ายๆ ( 17.35 น.) แต่พอมาถึงที่สอบประมาณ 15.00 ก็ได้สอบเลย เพราะคนก่อนหน้าผมยังมาไม่ถึงกัน
- พูดไปเรื่อยๆ ให้ examiner เบรกเราเอง
- อย่าพูดเร็ว พูดเรื่อยๆ ออกเสียงให้ชัด มีเน้นจุดสำคัญบ้าง
- วิธีเน้นจุดสำคัญ ก็มี พูดดังกว่าคำอื่นในประโยคเล็กน้อย (, but after 2 weeks I discovered some DEFECTS)
หรือ อาจหยุดแป๊บนึง (but I am …still…not satisfied with the craftsmanship)
- พยายามตอบยาวๆ ถึงเราพูดจนหมดความเห็นแล้ว ก็อาจจะโยงไปประเด็นเกี่ยวข้องได้ หรือยกตัวอย่าง (ไม่ใช่พูดออกนอกเรื่อง) เช่น ตอนสอบ ผมโดนถามว่า
สินค้าเทคโนโลยีที่คนไทยนิยมคืออะไร >> ตอบ มือถือ เช่น iphone
ทำไมถึงเป็นที่นิยม >> ใช้ทำอะไรได้หลายอย่าง ราคาที่หลายคนซื้อหาได้ ฐานะทางเศรษฐกิจของประเทศดีขึ้น ที่สำคัญคือ sales promotion packages ยกต.ย. เช่น ระบบผ่อนแบบดอกเบี้ย 0% (0% interest installment plan) ที่ทำให้คนตัดสินใจซื้อได้เร็ว/ง่ายขึ้น ทั้งสินค้าเทคโนโลยี และก็สินค้าฟุ่มเฟือยอื่นๆ เช่น ... แต่โดยรวม คิดว่าระบบผ่อนเป็นปัจจัยสำคัญหนึ่งที่ส่งผลต่อความนิยมของ iphone
(เน้นพูดไปเรื่อยๆ มีหยุดคิดบ้าง พอเป็นธรรมชาติ)
- Speaking ในส่วน long talk (2 นาที) ที่ให้อ่านโจทย์แล้วคิดว่าจะพูดอะไร (เวลา 1 นาที)
ควรคิดและจดเป็นประเด็นสั้นๆ ว่าเราจะพูดอะไร แล้วก็ศัพท์เฉพาะที่เราจะเอาไปใช้เวลาพูด เช่น
ผมเจอหัวข้อ สินค้าที่คุณเพิ่งซื้อมา (ให้พูดว่า คืออะไร ลักษณะอย่างไร ซื้อที่ไหน ทำไมถึงซื้อ แล้วพบปัญหาอะไรบ้าง)
ผมก็ list หัวข้อสั้นๆ
Mess. Bag (messenger), brown, gen. leather (genuine leather), cost, @ paragon, love its style & color
Prob. > 2 wks after use, discovered defect (shoulder strap not properly in place), TOOK to shop for repair, Am still not satisfied with craftsmanship
ปล. ผมมักพูด tense ผิด เลยใส่ verb+tense ลงในโน้ตด้วย (เขียนตัวพิมพ์ใหญ่จะดีมาก)
- ในส่วนของ follow-up talk หลังจาก long talk ถ้าได้คำถามที่เราคิดคำตอบไม่ทัน อาจใช้ประโยค gap filler ช่วยถ่วงเวลาระหว่างที่เราคิดได้ อย่าง That’s an interesting point to think about. หรืออาจ paraphrase คำถาม เช่น
ผมโดนถามว่า
Q แรก -What are the problems that people find when they buy things on-line? (ประมาณนี้อะ)
Answer - Of course, Internet shopping has some …(หยุดนึกคำศัพท์ต่อไปแป๊บนึง) pitfalls that consumers need to take into account.
1. No chance to try on (fashion)
2. Fast purchase, but late delivery
3. Return policy
ปล. พยายามตอบให้ยาวๆ และเป็นประโยค อย่าตอบเป็นคำสั้นๆ
Q สอง – What helps promote Internet shopping? (ประมาณนี้อะ)
Answer - ….(ยังคิดไม่ออก)That’s an interesting point to think about. As I told you earlier (อาจอ้างถึงที่เราพูดไปแล้ว เพื่อความต่อเนื่อง), the customers lack an opportunity to have a look before their purchase. So, on-line vendors need to instill confidence among potential buyers by introducing a Simple (เน้นคำว่า simple) return policy
1 เดือนก่อนสอบ
- หลังจากติว/อ่านจนครบทุก part แล้ว ก็ลองทำ practice test จะได้รู้ว่าควรเน้น part ไหนเป็นพิเศษ (เลือกมามากสุด 2 ใน 4 part) แล้วให้เวลา 70% กับ part ที่ไม่ค่อยถนัด เพื่อที่เวลาสอบจริงจะได้ไม่ถ่วง part ที่เราทำได้ดีกว่า (แต่ก็อย่าชะล่าใจ แบ่งเวลาให้ part ที่เราทำได้โอเคแล้วซัก 30% )
สำหรับผมไม่ถนัด writing โดยเฉพาะเรื่องบริหารเวลา กับ organization ก็เลยใช้เวลาฝึกเขียนมากหน่อย แล้วก็จับเวลาไปด้วย
- ศึกษา tips จากเว็บ เช่น http://www.ielts-blog.com/ หรือ http://ielts-simon.com/ https://www.facebook.com/PractiseforIELTS
Writing
- สำหรับ writing ถ้ามีคนช่วยอ่านงานของเรา จะดีมาก เพราะจะทำให้เราได้ feedback ในส่วนที่เราอาจมองข้ามไป เช่น เราอาจไม่รู้ว่าชอบเขียนวกวน เยิ่นเย้อหรือใช้ไวยากรณ์ผิดๆ (ถ้าไม่สะดวกส่งไปตรวจทางเนต อาจให้เพื่อนที่ภาษาดีช่วย comment ก็ได้)
- นับคำที่เขียนในแต่ละบรรทัดว่า มีประมาณกี่คำ แล้ว task 1/task 2 ควรเขียนประมาณกี่บรรทัด (เวลาสอบจริงจะได้ไม่พะวง)
- จำ expressions ที่จะเอาไปใช้ในสถานการณ์ต่างๆ เช่น เปรียบเทียบข้อมูล (ตาราง) หรืออธิบาย trend (line/bar chart)
- ฝึกเขียน chart/diagram หลายๆ แบบ เพราะแต่ละแบบจะมีลักษณะการนำเสนอข้อมูลของตัวเอง
- ก่อนสอบ สักอาทิตย์นึง ก็หาข้อมูลจากคนที่สอบ ielts ครั้งล่าสุด ว่า task 1 ออก chart แบบไหนไปแล้ว ก็พอเดาได้คร่าวๆว่า รอบต่อไปจะออกแบบไหน (ของผมดูจาก http://jaiboon.pantown.com อะ)
Listening
- หาเวลาว่างฝึกฟังทางเนต ที่ผมใช้ก็มี
http://www.esl-lab.com/ (มีหลายระดับ ตั้งแต่ง่าย/ปานกลาง/ยาก)
http://www.bbc.co.uk/worldservice/learningenglish/
- ขณะที่ฟัง (ไม่ดู script) ก็จดโน้ตสั้นๆ ไปด้วย แรกๆ อาจเริ่มจาก “ใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร”
ต่อไปก็พยายามจดโน้ตข้อมูลที่ specific มากขึ้น เช่น พวกจำนวนตัวเลข
(TIP: ถ้าจดตัวเลขยาวๆ ควรออกเสียงทวนตัวเลขไปด้วยเบาๆ พร้อมๆ กับที่ฟัง จะช่วยให้เราจำได้แม่นยำขึ้น)
ปล. ตอนสอบ listening วันที่ 5 มกรา ผมเจอหมายเลขโทรศัพท์ยาวมาก X-(
Speaking
- เวลาว่างๆ ก็มองไปรอบๆตัว แล้วคิดว่า ถ้าเราจะอธิบาย สิ่งที่เราเห็น เราจะพูดอะไรบ้าง
- หัวข้อ speaking ช่วงที่ 2 มักจะเกี่ยวกับ education, environment, กิจกรรมทั่วไปในชีวิตประจำวัน, social problems ถ้าเราเตรียมคำศัพท์ที่เหมาะสมกับเนื้อหานั้นๆ จะมีประโยชน์มากเวลาสอบจริง (วันสอบจริง ผมได้หัวข้อ on-line shopping)
- ซ้อมพูดบ่อยๆ อาจเริ่มจาก basic คือ พูดหน้ากระจก หรือถ้าคล่องแล้ว อัดเสียงหรือถ่าย clip เวลาที่เราพูดแล้วเอามาเปิดฟังว่า เราพูดติดๆขัดๆบ่อยมั้ย ออกเสียงไม่ชัดตรงคำไหน พูดเร็วไปรึเปล่า
- ที่สำคัญ พยายามยิ้มเวลาพูด (ถึงในใจจะว้าวุ่น เพราะคิดคำตอบไม่ออก) เพราะอย่างน้อยจะช่วยให้มั่นใจ และพูดเสียงชัดเจนขึ้น (ออกเสียงผิดไปบ้าง ยังดีกว่าพูดค่อยหรือพูดไม่ชัด เพราะ examiner ไม่รู้จะให้คะแนนตรงไหน)
Reading
- เวลาอ่านบทความ ลองเขียนสรุปใจความสำคัญในแต่ละ paragraph ว่าใจความหลักคืออะไร(who, what, when, where, why) จะช่วยให้เราจับใจความสำคัญได้เร็วขึ้น แล้วเวลาทำข้อสอบที่ให้ match headings จะทำได้เร็วขึ้น
- เวลาทำ practice test พยายามเช็คเวลาไปด้วย (แต่อย่าให้มันมากดดันเรา ) จะได้รู้ว่าเราควรเร่งสปีดทำ passage นั้นๆ ได้รึยัง เพราะเวลาสอบจริง เห็นหลายคนทำ reading ไม่เสร็จ
วันสอบ
- ก่อนสอบจิบน้ำแต่น้อย และเวลาเขาให้ register ไม่ต้องรีบเข้า เพราะเข้าเร็วไปก็ต้องไปนั่งแกร่วข้างในอยู่ดี ใช้เวลาไปเข้าห้องน้ำห้องท่าให้เรียบร้อย (ใครสอบของ BC ระหว่างรอ เขาจะเปิดเสียงให้เช็คหูฟัง)
Listening
- หูฟัง >> ก่อนสอบ (ที่ British Council) ลองสวมหูฟังแล้วปรับความดังในหูฟังตามต้องการ แต่ไม่ควรดังเกินไป เพราะจะทำให้ได้ยินไม่ชัด เวลาสอบผมเอาตัวรับสัญญาณเหน็บเอวได้ จะช่วยให้ไม่เกะกะ/เสียสมาธิเวลาฟัง
- เวลาอ่านโจทย์ก่อนที่ listening แต่ละ part จะเริ่ม ใช้ดินสอขีดข้อความสำคัญของคำถามและตัวเลือกในแต่ละข้อ จะทำให้ focus ได้ดีขึ้นเวลาฟัง (โดยเฉพาะ part สุดท้าย ที่เนื้อหาเยอะ/พูดเร็ว)
- ส่วนที่ให้ฟังแล้วกรอกชื่อสถานที่ใน map ถ้าใช้ตัวย่อจะช่วยได้มาก (library >> lib หรือ Entrance >> Ent)แต่อย่าลืมเขียนให้เต็มเวลากรอกใน answer sheet
- เวลาฟังคำถามที่เป็น multiple choices พยายามใช้ดินสอตัดตัวเลือกที่ผิดทิ้งไปด้วย เผื่อเราฟังแล้ว ไม่แน่ใจคำตอบ จะได้เดาโดยตัดตัวเลือกที่ไม่ใช่ออกไป
- เวลากรอกคำตอบลงใน answer sheet (ทั้ง listening และ reading) จะใช้ตัวพิมพ์ใหญ่หรือเล็กก็ได้ ดูอ้างอิง>> http://www.idp.co.th/IELTS/A_WhenMustCandidatesUseCapitals.aspx
แต่ถ้าลายมืออ่านยาก ควรใช้ตัวพิมพ์ใหญ่ โดยเฉพาะพวกชื่อคน/สถานที่ จะอ่านง่ายชัดเจนกว่าเขียนด้วยตัวพิมพ์เล็ก
- สังเกตพวก –s หลังคำนามว่าใน script มีรึเปล่า ถ้าฟังไม่ทันจริงๆ ใช้สามัญสำนึกว่า คำนามนั้นควรเป็น singular หรือ plural (verb tense ก็เหมือนกัน)
- พอเจ้าหน้าที่บอกให้วางดินสอ วางลงทันที (ไม่งั้นจนท.จะเดินมากาข้อที่เรากำลังทำอยู่ทิ้ง)
Reading
- เริ่มจากอ่านคำถามก่อนอ่าน passage (อ่านคำถามทีละข้อ เช่น อ่านข้อ 1 จบ ค่อยอ่าน passage จนเจอคำตอบของข้อ 1 แล้วค่อยมาดูว่าคำถามข้อ 2 ถามว่าอะไร) วิธีนี้จะช่วยให้ประหยัดเวลา แล้วก็ไม่มึน
- ขีดเส้นใต้ key word ในคำถามก่อน จะได้รู้ว่าเวลาอ่าน ควร focus ตรงไหน
- ถ้า passage กับคำถามอยู่คนละหน้า แล้วต้องพลิกบ่อยๆ ควรเขียน key word ของคำถามข้อนั้นๆไว้ในหน้าของ passage จะได้ไม่ต้องพลิกหน้าไปพลิกหน้ามาให้เสียเวลาเสียสมาธิ
- อ่านๆ ไปเห็นชื่อเฉพาะ (โดยเฉพาะชื่อคน) ให้วงกลมชื่อเฉพาะนั้นไว้ และขีดเส้นใต้ส่วนที่สำคัญ (เช่น คนๆนั้น มีความเห็นยังไงกับเรื่องที่เรากำลังอ่าน) เวลากลับมาหาข้อมูล จะช่วยประหยัดเวลา
- ส่วนที่ให้เติมคำ (พวก two words only) ให้อ่าน key word ในโจทย์แล้วมองหา synonym ของคำนั้นใน passage
- ส่วนที่ให้ match headings (ชื่อเรื่องของย่อหน้าต่างๆ ) ควรอ่าน passage แรกก่อนแล้วค่อยมาหา heading แล้วค่อยอ่าน passage ต่อไป อย่าลืมว่าเขาให้ใส่ตัวเลขโรมัน (ix, iv)
- พอเจ้าหน้าที่บอกให้วางดินสอ วางลงทันที (ไม่งั้นจนท.จะเดินมากาข้อที่เรากำลังทำอยู่ทิ้ง)
Writing
Part นี้ผมไม่ค่อยถนัดเท่าไหร่ เลยเน้นไปที่การฝึกเขียนบ่อยๆ part อื่น
- เวลาสำคัญมาก ถ้าเขียนจะแล้วแก้ อย่าลบ ให้ขีดฆ่า
- ก่อนทำ อาจใช้ดินสอทำเครื่องหมายในกระดาษคำตอบว่า ควรเขียนให้ถึงบรรทัดที่เท่าไหร่ถึงจะได้จำนวนคำตามที่กำหนด
- ทำ task แรกก่อน เพราะจะได้ทุ่มเวลากับสมองไปที่ task 2 ซึ่งคะแนนมากกว่า
- พยายามใช้ synonym, ศัพท์, รูปประโยคที่หลากหลาย (แต่ต้องแน่ใจด้วยว่าใช้ถูก)
- เขียนตามรูปแบบของการใช้ตัวพิมพ์ใหญ่หรือเล็ก (เช่น ขึ้นต้นประโยคหรือชื่อเฉพาะ ใช้ตัวพิมพ์ใหญ่)
ดูเพิ่มเติม http://www.englishclub.com/writing/caps0.htm
Speaking
- ผมได้คิวสอบท้ายๆ ( 17.35 น.) แต่พอมาถึงที่สอบประมาณ 15.00 ก็ได้สอบเลย เพราะคนก่อนหน้าผมยังมาไม่ถึงกัน
- พูดไปเรื่อยๆ ให้ examiner เบรกเราเอง
- อย่าพูดเร็ว พูดเรื่อยๆ ออกเสียงให้ชัด มีเน้นจุดสำคัญบ้าง
- วิธีเน้นจุดสำคัญ ก็มี พูดดังกว่าคำอื่นในประโยคเล็กน้อย (, but after 2 weeks I discovered some DEFECTS)
หรือ อาจหยุดแป๊บนึง (but I am …still…not satisfied with the craftsmanship)
- พยายามตอบยาวๆ ถึงเราพูดจนหมดความเห็นแล้ว ก็อาจจะโยงไปประเด็นเกี่ยวข้องได้ หรือยกตัวอย่าง (ไม่ใช่พูดออกนอกเรื่อง) เช่น ตอนสอบ ผมโดนถามว่า
สินค้าเทคโนโลยีที่คนไทยนิยมคืออะไร >> ตอบ มือถือ เช่น iphone
ทำไมถึงเป็นที่นิยม >> ใช้ทำอะไรได้หลายอย่าง ราคาที่หลายคนซื้อหาได้ ฐานะทางเศรษฐกิจของประเทศดีขึ้น ที่สำคัญคือ sales promotion packages ยกต.ย. เช่น ระบบผ่อนแบบดอกเบี้ย 0% (0% interest installment plan) ที่ทำให้คนตัดสินใจซื้อได้เร็ว/ง่ายขึ้น ทั้งสินค้าเทคโนโลยี และก็สินค้าฟุ่มเฟือยอื่นๆ เช่น ... แต่โดยรวม คิดว่าระบบผ่อนเป็นปัจจัยสำคัญหนึ่งที่ส่งผลต่อความนิยมของ iphone
(เน้นพูดไปเรื่อยๆ มีหยุดคิดบ้าง พอเป็นธรรมชาติ)
- Speaking ในส่วน long talk (2 นาที) ที่ให้อ่านโจทย์แล้วคิดว่าจะพูดอะไร (เวลา 1 นาที)
ควรคิดและจดเป็นประเด็นสั้นๆ ว่าเราจะพูดอะไร แล้วก็ศัพท์เฉพาะที่เราจะเอาไปใช้เวลาพูด เช่น
ผมเจอหัวข้อ สินค้าที่คุณเพิ่งซื้อมา (ให้พูดว่า คืออะไร ลักษณะอย่างไร ซื้อที่ไหน ทำไมถึงซื้อ แล้วพบปัญหาอะไรบ้าง)
ผมก็ list หัวข้อสั้นๆ
Mess. Bag (messenger), brown, gen. leather (genuine leather), cost, @ paragon, love its style & color
Prob. > 2 wks after use, discovered defect (shoulder strap not properly in place), TOOK to shop for repair, Am still not satisfied with craftsmanship
ปล. ผมมักพูด tense ผิด เลยใส่ verb+tense ลงในโน้ตด้วย (เขียนตัวพิมพ์ใหญ่จะดีมาก)
- ในส่วนของ follow-up talk หลังจาก long talk ถ้าได้คำถามที่เราคิดคำตอบไม่ทัน อาจใช้ประโยค gap filler ช่วยถ่วงเวลาระหว่างที่เราคิดได้ อย่าง That’s an interesting point to think about. หรืออาจ paraphrase คำถาม เช่น
ผมโดนถามว่า
Q แรก -What are the problems that people find when they buy things on-line? (ประมาณนี้อะ)
Answer - Of course, Internet shopping has some …(หยุดนึกคำศัพท์ต่อไปแป๊บนึง) pitfalls that consumers need to take into account.
1. No chance to try on (fashion)
2. Fast purchase, but late delivery
3. Return policy
ปล. พยายามตอบให้ยาวๆ และเป็นประโยค อย่าตอบเป็นคำสั้นๆ
Q สอง – What helps promote Internet shopping? (ประมาณนี้อะ)
Answer - ….(ยังคิดไม่ออก)That’s an interesting point to think about. As I told you earlier (อาจอ้างถึงที่เราพูดไปแล้ว เพื่อความต่อเนื่อง), the customers lack an opportunity to have a look before their purchase. So, on-line vendors need to instill confidence among potential buyers by introducing a Simple (เน้นคำว่า simple) return policy
แสดงความคิดเห็น
สอบถามเรื่องการเตรียมตัวสอบ IELTS ครับ
อยากถามคนที่สอบแล้วได้คะแนน Overall 7.0+ ครับ ว่ามีวิธีการเตรียมตัวยังไงให้ได้คะแนนเกิน 7.0
จัดตารางการอ่านเตรียมสอบยังไง ฝึกอย่างไร เตรียมตัวนานกันไหมครับ
คือ ตัวเจ้าของกระทู้วางแผนจะสอบเดือนมิถุนายนครับ
หลังจากที่เคยสอบไปครั้งแรกเดือนมกราคมครั้งแรกแล้วแต่คะแนนไม่น่าพอใจเท่าที่ควรครับ
เลยอยากถามเทคนิคการเตรียมตัวจากคนที่ประสบความสำเร็จ
ขอบคุณครับ