ทำไมจึงต้องมีวันนี้ด้วย

กระทู้สนทนา
ทำไมจึงต้องมีวันนี้ด้วย

อนัตดา  พุทธิกุล    

ระหว่างที่ยายไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล     ฉันในฐานะหลาน    และเป็นผู้ที่มีภาระน้อยที่สุดในขณะนั้น จึงต้องไปปรนนิบัติพัดวี
ชั่วเวลาเพียงอาทิตย์กว่าๆ     ที่ฉันต้องเทียวไปเทียวมา ระหว่างบ้าน กับโรงพยาบาล  ฉันรู้สึกราวกับว่า ได้แบกโลกเอาไว้ทั้งใบ  ความสุขสบายที่เคยมี  หายไปกับช่วงเวลานั้น
ยายจู้จี้จุกจิก อย่างคนแก่ทั่วไป  หากวันไหน ฉันไปสาย…แค่เลยเวลาเยี่ยมไปสักห้านาที   พอเห็นหน้ายายเป็นต้องเล่นงานฉันทันที

“ลำบากนักก็ไม่ต้องมา  ข้าอยู่ ของข้าคนเดียวได้ “  
  หรือไม่ก็
“กว่าจะสเด็จมาได้ ก็เกือบหมดเวลาเยี่ยม  ทำอะไรอยู่  หา “
และทุกวัน พอหมดเวลาเยี่ยม  พอฉันเอ่ยปาก ลา ยายเป็นต้องทำเสียงสั่นเครือ อย่างจะร้องให้  ถามฉันเสียงเครือ
“จะกลับแล้วเหรอลูก พรุ่งนี้ หนูมาอีกนะ  มาแต่วันๆนะลูก  แม่จะคอย”

พูดถึงโรคภัยของยาย   ก็มิใช่โรคร้าย อย่างมะเร็งที่ไหน    แค่ตายาย เกิด อักเสบ  ติดเชื้ออย่างแรง   พูดถึงเรื่องนี้  แล้วฉันเป็นต้องเดือดดาล
จะไม่ให้ฉันโกรธขึ้งได้อย่างไร  เรื่องนี้  จะว่าไป    ก็เป็นความผิดของยายนั่นแหละ
บ้านเรา อยู่ห่างจาก ศิริราช  แค่ไม่กี่ป้ายรถ
แต่ยายกลับท่อสังขาร   ไปรักษาตาที่    สุพรรณ   เพราะพี่สาวแกอยู่นั่น  แล้วพี่สาวแกแนะนำ ให้ไปรักษา ที่ คลีนิคใกล้บ้านๆ ที่พี่สาวแกโอ่  ว่าเก่งที่สุดในจังหวัด  

ยายผ่าตาทั้งสองข้าง  แกเป็นต้อกระจก  ทั้งอายุอานามที่มากโข    ตาจึงฟ้าฟาง หลังจากผ่าตัด ตัดแว่นใหม่   ยายก็มองอะไรใสแจ๋ว อยู่พัก
กระทั่งตาข้างซ้ายเริ่มเจ็บ แล้วตาข้างขวาเริ่มเคือง  พอตาข้างซ้ายพร่า จนมองอะไรไม่เห็น  แกจึงต้องมองสรรพสิ่งทั้งหลาย ด้วยตาข้างที่เหลือ

หลังจากหยอดยาก็แล้ว   แต่อาการไม่ดีขึ้น  ยายก็เลยต้องเทียวไปเทียวมา ระหว่าง กระเทพ – สุพรรณ  เพื่อไปเอายา และคำปรึกษาจากหมอ
คุณเอ้ย     แล้วรถโดยสารประจำทาง ต่างจังหวัด  มันกระแทกกระทั้น   ซะจนตับไตแทบเคลื่อน  แค่ครั้งเดียวที่ฉันนั่งไปกับยาย เพื่อโอนประวัติคนใข้มายัง  ศิริราช
แต่เมื่อถึงตอนนั้น     ตายายก็มืดมัว  จนมองอะไรเกือบไม่เห็น

ระหว่างนั่งทำประวัติคนใข้  ท่ามกลางพยาบาล และพนักงาน  ฉันละเคืองยายก็เคือง ขำก็ขำ  เมื่อพยาบาล เขาเหย้า ยายเล่น

“อะไรกันยาย บ้านอยู่ใกล้ ศิริราช แค่นี้  กลับไปรักษาตัวที่สุพรรณ  ที่เห็นๆ   มีแต่คน สุพรรณ  เข้ามารักษาที่นี่”
ยายยิ้มเจื่อนๆ  ตอบไม่เต็มเสียง
“ที่ไปรักษา  ที่โน่น  เพราะพี่สาวฉันอยู่ที่นั่น”
“แล้วลูกหลานที่นี่ ไม่มีเหรอยาย   แล้วคนนี้ ที่นั่งอยู่ด้วย  ใช่หลานเหรอไง”   พยาบาลพูดพร้อมกับมองมาทางฉัน  ที่นั่งทำหน้าปูเลี่ยนๆ
ยายตอบพยาบาล  ไม่เต็มเสียง  
“ก็หลานละจ๊ะ  แต่เขายุ่งๆกัน ไม่มีใครสนใจฉันหรอก   ส่วนคนนี้  เขาก็อยู่ไกล  นานๆถึงจะกลับมาเยี่ยมเยียนเสียที”

หลังจากทำประวัติเสร็จ  เขาก็เอาตัวยายไว้      ยายได้อยู่ปีกซ้ายของตึก  แผนกนี้  แลไปทางไหน ล้วนแต่หญิงชรา  
ยายคนที่อยู่ถัดจากยายไปสองเตียง     เพิ่งผ่าตัด   มีป้ายแขวนไว้  ห้ามนั่ง ห้ามเดิน   ยังดีอยู่หรอก  ที่ไม่เขียนว่า  
ห้ามหายใจ

ฉันจำแกได้    ตั่งแต่วันแรกที่ยายเข้ามารักษาตัว   ฉันเห็นแกนั่งห้อยขาอยู่บนเตียง  .. เหม่อลอย ไม่พูดไม่จา  
เลยโดนพยาบาลล้อเอา  
“เป็นไงยายละเมียด  ไม่พูดไม่จา  เป็นอะไรหรือเปล่า”
พยาบาลก็พูดไปเถอะ   แกหาตอบโต้ไม่  หากเอาแต่มองไปยังประตู ทางเข้า   เหมือนกับว่า  แกกำลัง มองการมา  ของใครสักคน
จากเสียงเอะอะที่ดังมาจากประตูทางเข้า     ทำให้ฉัน  และใครต่อใคร หันไปมองยังต้นเสียง
ภาพตรงหน้า  ยายแก่สามคน พยุงกันเข้ามา  
คนหนึ่งแก่จนหง่อม  สองคนที่เหลือ จึงต้องจุงมือจุงไม้    ยายคนที่แก่น้อย  และดูแข็งแรงที่สุด  ร้องถามพยาบาล  ดังลั่น
“คุณขา เรามาเยี่ยมแม่ละเมียด แกอยู่เตียงไหน  คะ”
พยาบาลยิ้มให้อย่างอารี  ก่อนจะถาม
“ คุณยายเป็นอะไรกับ  ยายละเมียดล่ะคะ “
“เราเป็นเพื่อน แม่ละเมียด  ค่ะ เราอยู่  บ้านบางแคด้วยกัน   นี่โหน รถเมลย์มานะคะ กว่าจะมาถึงได้  เหนื่อยแทบตาย” แกพูดจบ ก็ทำท่าประกอบ  ทำเอาพยาบาล    และคนที่อยู่แถวนั้น หัวเราะไปตามกันๆ
พยาบาลเดินนำคุณยายทั้งสามไปยังเตียง  ยายละเมียด  ที่ โบกมือโบกไม้มาให้   เมื่อกี้  แกยังเหม่อลอย  แต่พอเพื่อนมาเยี่ยม  แกก็ยิ้มออก
ฉันละขัดใจนัก เมื่อนำยาย ไปเปรียบกับ  คนใข้อื่นๆ   โดยฉเพาะ ยายละเมียด  ขานั้น ไม่มีปากมีเสียง  พยาบาลว่าอะไรก็เออออ  ให้ทำอะไร  ก็ทำงกๆ     ผิดกับยาย…  ที่ทำตัวมีปัญหา      จนพยาบาล และพนักงานพากันอืมระอา  

เข้ามารักษาตัวได้สองวัน เขาก็ลอกตา  เขาเจาะแขนให้น้ำเกลือ  ยายก็โวยวาย   หาว่าเขาแกล้งแทงเข็มหลายๆครั้ง   จนแขนแกระบม     ความจริง  เขาหาเส้นเลือดไม่เจอต่างห่าง  
แต่นั่นยังไม่ร้ายเท่า    เมื่อยายเกิดโรคแทรกซ้อน ที่หนักกว่าโรคตา

ยายเป็นโรคกลัวนางพยาบาลขึ้นสมอง  ดังนั้นสารพัดกิจกรรม      ไม่ว่าจะกิน ฉี่ อาบน้ำอาบท่า  ฉันเป็นต้องเหมาหมด   แล้วฉันก็เป็นคน     บางครั้งโกรธขึ้นมา  ก็ลืมตัว ตะคอกให้กับยาย

แม่นี่แปลกคน  ( ฉันติดปากเรียกยายว่าแม่)   กลัวอยู่นั่น      พยาบาล เขาจะทำร้ายแม่หรือก็เปล่า  จะให้เขาทำอะไร  ก็บอกเขาดีๆ  เพราะมันเป็นหน้าที่ของเขา
ยายได้ฟัง ก็ส่ายหน้าเดี๊ยะ  
“ไม่เอาหรอก “  ยายว่า  “  จะไปพึ่งพาอะไรเขานักหนา  เขามันคนอื่น  ว่าแล้ว ยายก็สรรเสริญ พยาบาล  “แหม พูดกับเขาแต่ละที  เขาก็ตะคอก  ยังกับเรา เป็นขี้ข้าอย่างนั้นแหละ “
ฉันนับหนึ่งถึงสิบ   อธิบายกับยาย  อย่างอดทน    
“แม่ นางพยาบาล เขาก็เป็นคนเหมือนกันกับเรา    วันๆ ต้องเจอคนใข้เป็นร้อยเป็นพัน  ใครเขาจะมานั่งเอาใจเราอยู่   คนใข้ แต่ละคน ก็เป็นกันไปคนละอย่าง  เจ็บปวดขึ้นมา ก็ไปโวยวายใส่เขา   พอเขาโวยให้บ้างละก้อ เป็นหาว่าเขาไม่ดี”

ฉันก็พูดไปเถอะ จนปากจะฉีก แต่ยายฟังฉันที่ไหน    ไม่ว่าฉันจะพูดอย่างไร  ยังไง ๆ  ยายก็ว่า
พยาบาล  ไม่ดีอยู่นั่น

แม้จะปวดหัวกับความเรื่องมากของยาย  แต่ฉันก็ทำอะไรไม่ได้    คงยังต้อง ก้มหน้า ทำหน้าที่  หลานที่ดี ต่อไป  
ข้าวปลาที่โรงพยาบาลจัดให้   แต่ละมื้อ  ฉันต้องคอยแค่น และขู่  ให้ยายกิน  แต่ยายก็อิดออด
  แรกฉันก็สงสัย     ทำไม ยายถึงไม่อยากกินข้าวปลา  แต่ตอนหลัง  ถึงได้รู้      เมื่อได้รับคำสารภาพจากปากยาย  
“ไม่อยากกิน     เกิดปวดท้องขึ้นมา แล้วเอ็งไม่อยู่  ใครจะพาไปเข้าห้องน้ำ “
ยายชินเสียแล้ว กับการอั้นขี้อั้นเยี่ยว  สองวันก็แล้ว สามวันก็ยังไม่ถ่าย  ข้าวปลาไม่ยอมกิน  ท้องอืด หลามขึ้นมาที่อก   อัดอั้นทนไม่ไหว    ถ้าแกไม่นอนร้องให้ฮือๆ   แกก็จะร้องขอให้ฉันพาแกกลับบ้าน

ฝ่ายฉัน     พอเจอยายแผลงฤทธิ์  ก็จะไปลงกับคนที่บ้าน  ไม่ว่าแม่ หรือน้อง  โวยวายๆ   ทำไมจะต้องเป็นฉัน  ไม่เอาแล้ว พรุ่งนี้ใครจะไปก็ไป    หัวเด็ดตีนขาด ฉันไม่ไปเด็ดขาด      คนแก่อะไร เรื่องมากอย่างนี้    
แต่ไม่ว่า  ฉันจะโวยวายสักเพียงไร  วันต่อไป ฉันก็ไปเยี่ยมยายอยู่ดีนั่นแหละ

วันนี้ ..พอฉันย่างเท้าเข้าไปในห้องคนป่วย    พยาบาลเห็นฉัน  ก็ฟ้องฉันทันที  
โอ้ย คุณมาก็ดีแล้ว ยายนี่แย่จริงๆ  ให้อมปรอท ก็มีปัญหา      พอถามถึงอาการ ก็ไม่อยากพูด    เอ้า  ครั้นจะเช็ดตัวให้ ก็ไม่เอา บอกจะรอหลาน
เพราะยายไม่ยอมให้พยาบาลเช็ดตัว    ฉันก็เลย ต้องเช็ดตัวให้ยาย  แต่ยายกลับยักท่า  แกว่า แกเหนียวนื้อเหนียวตัวมาหลายวัน  ขอไปอาบน้ำสักโครม  
ฉันจะไปว่าอะไร  อยากอาบน้ำ ฉันก็พาไป  แต่ตัวยาย  ไม่ใช่เล็กๆ  แล้วฉัน ก็เพอิญมีสองมือ   ข้างหนึ่งต้องคอยชูสายน้ำเกลือ  ข้างที่เหลือ ต้องคอยประคอง  
ระยะทางจากเตียง ไปยังห้องน้ำ  สักคืบเห็นจะได้    แต่ยายกลับทำให้ระยะทางที่ว่า  ดูไกลแสนไกล  เพราะแกไม่เดินแบบธรรมดา     แต่เดินแบบต้วมเตี้ยมๆ  แถมเดินด้วยปลายเท้า ง่อนแง่น  ราวกับเด็กเล็กๆ เพิ่งหัดเดิน  
ฉันปวดแขนที่โดนแกถ่วงทั้งตัว    เลยโวยใส่
“อ้าว แม่ เดินเข้าซิ  หนูจะตายอยู่แล้วนะ  อะไรกันนี่  อยู่ดีๆ ก็เกิดจะเดินไม่ได้  ขึ้นมาซะแล้ว”
เนื้อตัวยายสั่น ปากคอแกก็สั่นตาม  
“โธ่ ลูกเอ้ย  แม่ได้แกล้ง  แม่ดินไม่ไหว   ไม่มีแรง  แม่ตายอยู่แล้วเห็นไม๊”  
ฟังยายว่า โทสะฉันก็แล่นขึ้นมา   ด้วยเหตุนี้  จึงตะะคอกยายไป  
“จะมีแรงได้อย่างไร  ก็ข้าวปลาไม่ยอมกิน  แล้วตอนนี้  มาทำเป็นบ่น  “
ยายยอมแพ้ฉันที่ไหน  
“แล้วข้าวปลาที่นี่    น่ากินที่ไหน  มีแต่  จับฉ่าย  ต้มฟัก  ต้มฟัก   จับฉ่าย  “ยายพูดจบก็ทำหน้าเหม็นเบื่อ   ซึ่งฉันเอง ก็เห็นด้วยกับยายในข้อนี้    
ขอให้เห็นหน้าตาอาหารแต่ละมื้อ  ฉันเป็นต้องเบ้หน้า  
มันจะวนเวียนอย่างยายว่า  ทำไงได้  คนใข้รวม อยากกินดีอยู่ดี  ก็ต้องไปอยู่ห้องพิเศษนั่นประไร

ฉันป้อนข้าวยาย   รู้ดีว่าแกกินไม่เกินสามสี่ช้อน  แต่ฉันก็ไม่ท้อ   แม้บางครั้งจะต้องขู่  
“ถ้าแม่ไม่ยอมกินข้าว ร่างกายไม่แข็งแรง  แม่จะนอนอยู่ที่นี่เป็นเดือนก็เอา  “ ด้วยคำขู่ที่ว่า  ยายก็จะกล้ำกลืนสักห้าช้อนเห็นจะได้

เวลาเยี่ยม เริ่มแต่เที่ยง  ไปหมดเอาสองทุ่ม  
ฉันจะไปเยี่ยมยายตอนเที่ยง    ส่วนจะอยู่นานแค่ไหน  อันนี้ก็แล้วแต่อารมณ์  และความประพฤติของยาย  
และไม่รู้ว่าฉันคิดไปเอง หรือเปล่า    ช่วงเวลาที่ว่า   แต่ละนาที่ที่ผ่านไป  ดูช่างเชื่องช้า  ผิดกว่าวันอื่นๆ  
ฉันก็เลยต้องฆ่าแวลาที่ว่า    ด้วยการอ่านหนังสือพิพม์  ให้ยายฟัง ไม่ก็เล่าเรื่อง หลานสาววัยหกกขวบของฉัน   ที่เป็นเหลนของยาย  แล้วแกก็รักของแกดังดวงใจ     เพราะถึงฉันไม่เล่าเรื่องหลานให้แกฟัง แกก็ต้องถามถึงอยู่ดี  
“หนูเล็กเป็นไงบ้าง  มันไปโรงเรียนหรือเปล่า  ใครหาข้าวหาปลาให้มันกิน    มันดื้อไม๊  ดูหลานด้วยนะลูก  อย่าให้ใครตีมัน”

ฉันมองหน้ายาย จ้องผ่านดวงตาอันฟ้าฟางของแก พลางคิดไป  พุทโธ่ กรรมเวร  เวลาที่เราเป็นหนอง เพียงตุ่มเล็กๆตามมือไม้ และแข้งขา  เราปวดหนักเข้า เราก็ร้องโอครวญ  แล้วนี่ หนองดันมาขึ้นในตายาย  
แม้ทั้งลอก และบ่ง มันก็ยังไม่หาย  แกเจ็บ แกก็ร้อง   ฉันยังมีหน้าไปเอะอะ โวยวายกับแก  

ยายถามฉันซ้ำๆ เกี่ยวกับเรื่องหลาน   เมื่อเห็นฉันเงียบไป  ฉันรู้สึกเต็มตื้น ตีบตัน   เมื่อต้องตอบคำถามยาย
หากยาย  เผลอหลับไป  ฉันก็จะอ่านหนังสือที่เตรียมมา  ไม่ว่า    นิยาย  แม๊กกาซีน  หนังสือพิมพ์   ไปตามเรื่อง
แต่ถ้าเบื่อ หนังสือขึ้นมา   ก็จะมองไปรอบๆตัว  
ยายละเมียดนั่งในท่าเดิม  หลังจากเพื่อนมาเยี่ยมในวันนั้น   ก็เห็นใครอีก
ตอนแรกฉันเข้าใจผิด  นึกว่าแกไม่มีญาติโยม  แต่เพราะควมซอกแซกแท้ๆ   ทำให้ฉันได้รู้เรื่องแก จากเพื่อนคนใข้  
ยายละเมียดนะเหรอหนู  ลูกเต้ามีตั่งหลายคน  แต่ลูกแกใจดำ  เอาแม่ไปไว้ที่บ้านบางแก  น่าสงสารแกออก  

จู่ๆ พนักงานทำความสะอาดก็โวยวาย  “ บอกมาเสียดีๆนะ  ใครเป็นคนบ้วนน้ำหมาก ลงในอ่างล้างหน้า “
เงียบกริบไม่มีใครตอบสักคน  พนักงานทำความสะอาดไป   พร้อมกับขู่ไป
จะมีใคร ถ้าไม่ใช่ยายมี ก็ยายสม  เห็นมีแต่สองคนนี้แหละ    ที่กินหมาก  
ไม่มีใครตอบ  หากแต่คนที่ถูกระบุชื่อ     เปลี่ยนอริยาบท  จากนอนหงาย    เป็นนอนตะแคงหันหน้าเข้าข้างฝา  
พนักงานทำความสะอาดเสร็จ    ก็หัวเราะเบาๆ  ขู่ไม่จริงจัง    
“ปากแข็งน่าดู  ขอให้รู้ตัวเมื่อไหร่  จะจับมาตีก้นซะให้เข็ดๆ”  
แม้พนักงานทำความสะอาดจะออกจากห้องไปนานแล้ว  แต่ยายมีกับยายสม  ยังคงนอนตัวแข็งทื่อ ไม่กระดิก  

วันต่อมา    …พยาบาลเรียกฉันไปพบแพทย์ประจำตัวของยาย  เมื่อฉันไปยืนพินอบพิเทาอยู่ตรงหน้า   คุณหมอก็เริ่มสาธยาย  
ดวงตาของยายอักเสบอย่างรุนแรง  แม้จะผ่าตัดไปแล้วถึงสองครั้ง  ก็ยังไม่ดีขึ้น  หมอว่า หมอก็พยายามอย่างที่สุดแล้ว แต่ถ้าจำเป็น หมอคงต้องควักตาข้างซ้ายของยายไว้    เพื่อรักษาข้างที่ดี   ไม่ให้มันลุกลามไปถึงกัน
หลังจากพบหมอ ใจคอฉันก็เริ่มไม่ดี  และตอนนั้นได้เวลาอาหารเย็นพอดี   ฉันถือถาดอาหารมายังเตียงยาย  วางถาดลงบนโต๊ะหัวเตียง  ประคองยายขึ้นมา   หน้าตาแกดีเสียทีไหน  ธรรมดาอยู่หรอก คนเพิ่งตื่นนอน   ฉันบอกให้ยายกินข้าว  พลันหูก็แว่วเสียงหมอลอยมา
ยายทำหน้าเบ้ทันทีที่ข้าวเข้าปาก  จากนั้นก็โวยวาย
“ฟักอีกแล้ว   ไม่เอาเบื่อ  “  ถ้าเป็นวันอื่น  ฉันคงแค่บ่นกลับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  แต่งเรื่องสั้น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่