ปีชง 2556 ปีชง..มีอิทธิพลต่อมนุษย์จริงหรือไม่..เรียบเรียงจากรายการ ทันโลกทันธรรมช่อง DMC โดยพระมหาสมชาย ฐานวุฑโฒ

ปีชง 2556




ปีชง 2556
เรียบเรียงจากรายการ ทันโลกทันธรรม ที่ออกอากาศทางช่อง DMC
โดยพระมหาสมชาย ฐานวุฑโฒ


ปีชง 2556



ปี 2556 เราเป็นปีชงรึเปล่า?

     เพิ่งผ่านวันปีใหม่ของจีน หรือวันตรุษจีนกันมาหมาดๆ หลายคนเริ่มที่จะให้ความสนใจกับ ปีชง ว่าปีนี้เป็นปีใหม่แล้ว พุทธศักราช 2556 นี้ เราเป็นปีชงรึเปล่า หรือว่าปีชงมีปีอะไรบ้าง วันนี้จึงขอนำเรื่องของปีชง จากรายการทันโลกทันธรรมมานำเสนอกัน

     เรารู้จักเรื่องปีชง มาจากสื่อของ Social media ต่างๆ ตามกระแสข่าวดาราที่มักไปแก้ปีชง และกระแสการใช้ Social media ของคนไทย ซึ่งเป็นอันดับ 1 ของโลก ทำให้เป็นกระแสฮือฮากันอย่างมากมายในเรื่องของปีชง

     เรื่องของปีชง เราคงต้องย้อนกลับไปทำความเข้าใจกันก่อนว่า ปีชงนั้นเป็นเรื่องหนึ่งของโหราศาสตร์

หลักการและประวัติความเป็นมาของปีชง


     ทุกชาติ ทุกความเชื่อมีหลักของโหราศาสตร์อยู่ด้วยกันทั้งนั้น ย้อนไป ไม่ว่าจะเป็น บาบิโรเนี่ยน ชาวอินคา ชาวจีนโบราณ  และที่โด่งดังมาก คือ มายา จุดเริ่มต้นของโหราศาสตร์ คือ การมองหาความหมายของท้องฟ้า เพราะมนุษย์เราเกิดมาก็จะเห็นสิ่งต่างๆ เช่น ดิน เวลาผ่านไปกี่ปีๆ ดินก็ยังคงเป็นดิน ก็เลยอ่านไม่ออก พอมาดูน้ำ น้ำก็ยังคงเป็นน้ำ ก็อ่านไม่ออก พอมาดูต้นไม้บ้าง ขุนเขาบ้าง มันก็ตั้งอยู่เหมือนเดิม อ่านไม่ออกอีก แต่ปรากฏว่าท้องฟ้าเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และมีการเปลี่ยนแปลงเป็นรอบๆ วันนี้ดาวดวงนี้ขึ้น อีกวันดาวอีกดวงหนึ่งขึ้น หมุนเวียนกันเป็นวัฏจักร จึงเกิดความสนใจว่าดวงดาวหมุนไปหมุนมามีความหมายว่าอย่างไร



ปีชง 2556


     สิ่งแรกที่มีการตั้งข้อสังเกต คือ อิทธิพลของดวงดาว เช่น เดือนดับกับเดือนสว่างมีผลต่อน้ำขึ้นน้ำลง เพราะฉะนั้นดวงดาวมีผลต่อโลกแน่ๆ มีการบันทึกไว้ชัดเจน ปัจจุบันนี้ความรู้ทางด้านธรณีวิทยา และดาราศาสตร์ เราก็รู้กันดีอยู่แล้วว่าดวงดาวมีผลต่อน้ำขึ้นน้ำลง เรียนกันมาตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาเลย เพราะฉะนั้นการพยากรณ์ก็เลยเริ่มขึ้น โดยการดูดวงดาว ดูท้องฟ้า แล้วก็พยากรณ์ฤดูกาล พยากรณ์ฝน พยากรณ์แล้ง พยากรณ์ภัยพิบัติ เช่น ปีนี้จะแล้งแค่ไหน ปีนี้จะมีฝนมากไหม เป็นต้น


ปีชงเริ่มมาจากการดูดวงดาว

  
     เพราะฉะนั้นมนุษย์เราเริ่มจากการอ่านดวงดาว อ่านท้องฟ้า เพื่อที่จะเอามาใช้กับชีวิตของ ตัวเอง เพราะสมัยสังคมเกษตรกรรมต้องพึ่งพาน้ำ พึ่งพาฝน มีลม มีฝน มีพายุมา ข้าวพืชพันธุ์ธัญญาหารที่ปลูกไว้ก็เสียหายหมด จึงมีการศึกษาเรื่องพวกนี้กันอย่งลึกซึ้ง และมีการพัฒนาขึ้นมาจนเป็นศาสตร์อีกศษสตร์หนึ่ง คือ โหราศาสตร์ ศาสตร์แห่งการอ่านฟ้านั่นเอง

     มีการบันทึกไว้ด้วยว่า ถ้ามีดวงดาวดวงอบางอย่างนี้ถ้ามันโผล่ขึ้นมาจากท้องฟ้า จะส่งผลให้น้ำท่วม หรือพยากรณ์ได้ว่าน้ำจะท่วม เป็นต้น


ท้องฟ้า ดวงดาว เทพเจ้า ปีชง


     ปีชง ก็เริ่มมาจากการอ่านท้องฟ้า ซึ่งในยุคแรกก็เป็นอ่านความหมายใน 3 เรื่อง คือ ฤดูกาล ภัยพิบัติ และเรื่องของลมฝน เหมือนตัวอย่างของ ขงเบ้ง ที่เวลาจะออกรบ จะดูฟ้าแล้วพยากรณ์ได้เลยว่าจะมีฝน แล้วลมจะมา ถ้าเราอยู่เหนือลม เราจะได้เปรียบ เพราะถ้าเราจุดไฟจะจะพัดฆ่าศึกได้ คำนวณออกมาได้เลย ว่าวันไหนๆ จะออกรบแล้วชนะ ด้วยแผนที่แยบยลจากการอ่านท้องฟ้า


ปีชง 2556


     ยุคต่อๆ มา มีการเติมเทพเจ้าลงมา เป็นเทพเจ้าประจำดวงดาว เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นยุคของโรมันโบราณ ยุคของกรีก ยุคของบาบิโรน เทพเจ้าก็จะมาจากดวงดาวต่างๆ นั่นเอง เช่น เทพวีนัส ประจำดาวศุกร์ เทพมาร์ ประจำดาวอังคาร ซึ่งเทพมาร์มาจากกรีกโบราณ เป็นเทพเจ้าแห่งสงคราม ก็เลยมาเป็นเทพเจ้าประจำดาวอังคาร ตั้งแต่นั้นจึงมีเทพเจ้ามาลงรักษาดวงดาวต่างๆ

ดวงดาวต่างๆ มีความหมายถึงเทพเจ้า

     เทพเจ้าที่ประจำดวงดาวจึงมีหน้าที่ในการให้คุณและให้โทษแก่มนุษย์ได้ ดังนั้น จึงเป็นความเชื่อ เป็นการอ่าน และเป็นการเติมของบรรพบุรุษของเรา ซึ่งเป็นชาวโลกที่ยังอยู่ในความไม่รู้ เพราะไม่สามารถจะเจาะลึกอะไรได้เลย จึงต้องอาศัยการอ่านเอา มีเพียงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่สามารถอ่านทุกอย่างได้หมด พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ ทรงขาดทะลุในเรื่องโลก ดวงดาว เรื่องทุกอย่าง เมื่อท่านรู้ทะลุหมดท่านจึงนำมาสอนพวกเรา ดังนั้น ตอนที่เรายังไม่ขาดทะลุเรื่องเหล่านี้ เราก็ต้้องฟังเทพเจ้าไปก่อน

     ในจีน ก็ถือว่าเป็นประเทศที่มีอิทธิพลต่อชาวโลกในเรื่องของศษสตร์ด้านโหราศาสตร์ เพราะในส่วนของจีน จะมีอย่างน้อย 3 เรื่อง คือ

1. ดวงดาว การเปลี่ยนแปลงของดวงดาวนักษัตรต่างๆ
2. พลัง จีนมองเป็นพลังหยิน-หยาง พลังที่อยู่ตรงข้ามกันแล้วก็ปะทะกันตลอดเวลา แต่สร้างสมดุลซึ่งกันและกัน พลังหยิน-หยางของจีน จะถูกควบคุมด้วย 5 ธาตุ คือ ดิน น้ำ ไฟ ทอง และ ไม้


พลังหยิน หยาง

     แต่ละธาตุสร้างซึ่งกันและกัน เช่น ธาตุน้ำ จะทำให้เกิดธาตุไม้ เราเอาน้ำไปรดต้นไม้ ต้นไม้ก็โต ส่วนธาตุไม้ ก็ทำให้เกิดธาตุไฟ เพราะเอาไม้ไปเผาก็เกิดไฟไหม้ ส่วนธาตุไฟ ก็ทำให้เกิดธาตุ

ดิน เพราะเอาไฟไปเผาก็ทำให้เกิดขี้เถ้าออกมา แล้วก็กลับสู่ดิน ส่วนดินก็ทำให้เกิดธาตุทอง เพราะดินที่สะสมๆ ก็จะเกิดเป็นทองขึ้นมาจากดิน และธาตุทองทำให้เกิดธาตุน้ำ ธาตุน้ำก็ทำให้

เกิดธาตุไม้ เป็นวัฏจักร 5 รอบ และวัฏจักร 5 รอบ ใช้เวลา 12 นักษัตร ดังนั้น 5 คูณ 12 เท่ากับ 60 เพราะฉะนั้นต้องใช้เทพเจ้าคุมอยู่ทั้งหมด 60 องค์

3. เทพเจ้า

     พลังยังสามารถถอดออกมาเป็นหลักฮวงจุ้ย และหลักฮวงซุ้ย หลักฮวงจุ้ยดูพลังของดินกับดาวที่ส่งมา ดูสิ่งปลูกสร้าง ว่าทำให้เกิดพลังดีหรือไม่ดี ทำให้เกิดความสบายใจ หรือไม่สบายใจ

ปีชง 2556 มีปีอะไรบ้าง

     
     ปีชง 2556 มีปีอะไรบ้างได้แก่ ปีมะเส็ง ปีกุน ปีขาล และปีวอก


หลักแก้ปีชงของชาวจีน

     การแก้ปีชงของชาวจีน เป็นเรื่องของการทำบุญนอกเหนือจากการบูชาเทพเจ้า เช่น ปล่อยสัตว์ปล่อยปลา ทำบุญสังฆทาน บริจาค ไถ่ชีวิต โคกระบือ หลักการของปีชงก็เป็นเรื่องของเทพเจ้าและความสบายใจ


ปีชงมีอิทธิพลต่อมนุษย์จริงหรือไม่ อย่างไร

     
     สรุปว่า ไม่ว่าท่านจะเกิดปีอะไร จะเป็นปีชง หรือไม่เป็นปีชง ก็ขอให้ละชั่ว ทำดี ทำใจให้ผ่องใส แล้วเรื่องดีๆ ก็จะเข้ามา ส่วนเรื่องไม่ดีก็จะออกไป


     นี่เป็นเรื่องราวส่วนหนึ่งของ ปีชง 2556 ว่ามีความเป็นมาอย่างไร ซึ่งก็เป็นในส่วนของหลักการทางโลก ต่อไปจะขอนำเสนอความรู้เรื่อง ปีชง 2556 ตามแนวทางของพระพุทธศาสนาว่าจะเป็นอย่างไร และพุทธศาสนิกชนที่ดี เราควรปฏิบัติตนอย่างไร ต่อปีชง น่าสนใจใช่ไหมคะ..


ปีชง 2556 คืออะไร มีปีอะไรบ้าง


     เจริญพร วันนี้เรามาคุยกันเรื่อง ปีชง (ปีนี้ปี 2556) ถามว่าปีชงคืออะไรเอ่ย.. อันนี้มาจากจีนนะ เขาถือกันว่ามีเทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่ 60 องค์หมุนเวียนกันมาดูแลมนุษย์ คำว่า "ชง" เป็นคำในภาษาจีน แปลว่า การปะทะกัน พลังหยิน หยาง ดังนั้น ปีนี้จะดีสำหรับคนเกิดปีโน้น ปีพ.ศ.นี้จะไม่ดีกับคนเกิดปีโน้น ต้องระวังโชคลาภ ระวังเรื่องอุบัติเหตุ ระวังเรื่องอุปสรรคขัดข้องต่างๆ พูดง่ายๆ เรื่อง ปีชง นั้นมาจาก คติของจีน


หมอดู ซินแสทั้งหลายที่ดูเรื่อง ปีชง มักจะแนะนำให้ไปกราบไหว้เทวดาองค์ต่างๆ ให้ท่านช่วยให้เราพ้นจากอุปสรรคขัดข้องต่างๆ สรุปง่ายๆ คือ ให้ไปไหว้เทวดานั่นเอง เพื่อสะเดาะเคราะห์

     ถ้าถามว่า เทวดามีจริงไหม คำตอบคือ เทวดามีจริง แต่ว่าเทวดาคือใคร เทวดาก็คืออดีตมนุษย์ ที่ทำความดี สร้างบุญสร้างกุศล ด้วยการให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ตายแล้วจึงไปเกิดเป็นเทวดา มนุษย์เราควรไหว้เทวดาไหม ถ้ามนุษย์ที่มีศีลมีธรรม ตั้งใจทำความดี เทวดาจะมาไหว้มนุษย์ ไม่ใช่ให้เราไปไหว้เทวดา เทวดาเองมีทั้งที่เป็นสัมมาทิฏฐิ (มีความเห็นถูกต้องตรงตามความเป็นจริง) และมิจฉาทิฏฐิ (มีความเห็นผิดจากความเป็นจริง) บางคนอาจสงสัยว่า จริงหรือ ทำไมเขาไปเกิดเป็นเทวดาได้แล้วยังเป็นมิจฉาทิฏฐิล่ะ  เทวดาร้ายๆ มีด้วยหรือ ตอบว่ามี


     เราดูง่ายๆ ก็แล้วกัน ในโลกเรานี่แหละ มนุษย์ที่เกิดมามีในตระกูลสูง มีฐานะร่ำรวย รูปร่างหน้าตาดี แล้วเป็นคนเกเรมีไหม ตอบว่ามี บุญเก่าเคยสร้างไว้ ทำให้ได้เกิดมาในตระกูลสูง มีทรัพย์ มีฐานะ มีความพร้อม แต่ว่าเนื่องจากยังไม่หมดกิเลส พอหักเหให้กิเลสแสดงฤทธิ์ ก็เลยกลายเป็นคนเกเรไป เป็นมิจฉาทิฏฐิไป ก็มีอยู่ เทวดาก็ทำนองเดียวกัน เพราะสร้างบุญมาจึงไปเกิดเป็นเทวดา แต่ว่าบางครั้งเทวดาก็ยังเป็นมิจฉาทิฏฐิ ดังนั้น เราจะไปกราบไหว้เทวดานั้นหาควรไม่ เราเกิดมาเป็นมนุษย์ มาพบพระพุทธศาสนา พบพระรัตนตรัยแล้ว สิ่งที่เราควรบูชา คือ พระรัตนตรัย เป็นสรณะ เป็นที่พึ่งที่ระลึกอันสูงสุด ไม่ใช่ไปยึดเทวดาเป็นสรณะ อันนั้นไม่ใช่  


แก้ปีชง 2556 ด้วยการไหว้เทวดาเท่านั้นหรือ?    

: ศึกษาผ่านเรื่องราวของ ท่านอนาถปิณฑิกเศรษฐีกับเทวดาที่ซุ้มประตูบ้าน


     มีตัวอย่างในครั้งพุทธกาล อนาถปิณฑิกเศรษฐี อุปัฏฐากใหญ่ของพระพุทธศาสนา เป็นผู้บริจาคทรัพย์ซื้อที่ดินสร้างเชตวันมหาวิหาร ด้วยการเอาเงินเรียงจนเต็มแผ่นดิน แล้วก็สร้างกุฏิศาลาอย่างดีเยี่ยม และจัดฉลองอย่างใหญ่โต น้อมถวายบูชาแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต่อมาภายหลังวิบากกรรมที่ทำไว้ตามมาทัน ทรัพย์สินที่ฝังดินไว้ถูกน้ำพัดไป ที่ไปค้ำประกันเขาไว้ก็ถูกโกงหนีไปอีก เงินทองร่อยหรอ จนกระทั่งจะเลี้ยงพระ ข้าวดีๆ ก็ยังไม่มีเลี้ยง ต้องใช้ปลายข้าวต้มกับน้ำส้มผอูน เทียบกับปัจจุบันก็เท่ากับน้ำผักกาดดอง มีแค่นั้นเลี้ยงพระ ใช้ปลายข้าวต้มเป็นข้าวต้ม กับข้าวก็เป็นน้ำผักกาดดอง วันหนึ่งเทวดาที่อยู่ที่ซุ้มประตูเหาะลงมาห้ามอนาถปิณฑิกเศรษฐีว่า ให้เลิกทำบุญได้แล้ว จนจะหมดตัวอยู่แล้ว ขืนทำต่อไปเดี๋ยวจะไม่มีกิน เห็นหรือไม่ เทวดามิจฉาทิฏฐิก็มีนะ


วิดีโอเพลงธรรมะ อนาถปิณฑิกเศรษฐี
ประกอบบทความปีชง 2556



     เทวดาองค์นี้ที่ห้ามเพราะตัวเองอยู่ที่ซุ้มประตู ถึงคราวที่พระภิกษุเข้าบ้านอนาถปิณฑิกเศรษฐี ตัวเองก็จะอยู่บนซุ้มประตูไม่ได้ เพราะพระท่านมีศีลสูงกว่า ต้องลงมาที่พื้น พระผ่านไปแล้วจึงจะขึ้นไปอยู่ที่ซุ้มประตูได้อีก ขึ้นๆ ลงๆ หลายครั้ง จึงหาทางยุยงท่านเศรษฐี ตัวเองจะได้อยู่สบาย เทวดามิจฉาทิฏฐิอย่างนี้ก็มีนะ พูดจบอนาถปิณฑิกเศรษฐีถามว่าท่านคือใคร เทวดาตอบว่า ข้าพเจ้าเป็นเทวดาอยู่ที่ซุ้มประตู อนาถปิณฑิกเศรษฐีบอก ถ้าอย่างนั้นให้ไปไกลๆ เลย ข้าพเจ้าไม่อนุญาตให้อยู่ พอเจ้าของไม่อนุญาตเทวดาอยู่ไมได้

     เห็นหรือไม่ว่าเทวดาต้องมาเคารพมนุษย์ ถ้าเป็นมนุษย์ที่มีศีล มีธรรม มีคุณความดี สุดท้ายต้องไปปรึกษาหารือกับเทวดาหัวหน้าเขตว่าทำอย่างไรดี เทวดาหัวหน้าเขตก็บอกว่า ช่วยไม่ได้แล้ว ให้ไปหาที่สูงๆ ขึ้นไป จนไปถึงท้าวจาตุมหาราชิกา ท้าวจตุโลกบาลจึงแนะนำว่า ท่านจะต้องช่วยเอาทรัพย์ของเศรษฐีที่เสียหายไปให้กลับคืนมาหมดทุกอย่าง แล้วค่อยมาขอขมาเศรษฐี เศรษฐีให้อภัย เทวดาจึงกลับมาอยู่ที่ซุ้มประตูได้อย่างเดิม นี่เป็นตัวอย่างเลยว่า เราไม่ควรจะไปบูชาเทวดา โดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่ เพราะเขาอาจเป็นเทวดามิจฉาทิฏฐิก็ได้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่