โพสนี้ผมขอตัดบางส่วนมาจากเว็บของผมนะครับ เจ้า CM Storm Quick Fire TK นี่เป็น Mechanical Keyboard ตัวแรกของผมครับ ก็เลยอยากจะเอามารีวิลกันให้ได้อ่านกัน
มาเริ่มกันเลยครับ
Overview
CM Storm Quick Fire TK เป็น Mechanical keyboard ตัวล่าสุดของ Cm Storm โดยใช้ Switch ที่เรารู้จักกันดีคือ Cherry Mx ในรุ่นนี้จะมี Switch 3 สีด้วยกัน คือ แดง น้ำเงิน และน้ำตาลครับ สำหรับตัวนี้ผมเลือกใช้สีแดงเพราะคิดว่าเสียงจะไม่รบกวนเพื่อนร่วมห้องจนเกินไปครับ และจากที่ศึกษามา Switch สีนี้ปุ่มกดจะค่อนข้างเบา ก็อยากจะลองดู เผื่อว่าจะทำให้ล้ามือได้น้อยลงเวลาต้องใช้คอมนานๆ นอกจากนั้นเมื่อดูที่ตัวคีย์บอร์ดเองขนาดของตัวคีย์บอร์ดก็ให้ดูที่คีย์บอร์ดแบบ full size ที่คุณใช้อยู่ครับ แล้วตัดแป้นตัวเลขออก ขนาดจะเป็นประมาณนั้น เลเอาท์ของคีย์บอร์ดจากตัวเก่าผมใช้ Dell SK-8115 มาใช้ตัวนี้ก็คือว่าแทบจะไม่ต้องปรับตัวอะไรเลย นอกจากตัวที่ผมใช้อยู่นี่มันไม่มีเลเอาท์ไทยเท่านั้นเอง (ณ เวลาที่ผมรีวิลในไทยยังไม่มีขาย) วัสดุที่ใช้ทำปุ่มจะออกแนว rubber หน่อยคือด้านๆสัมผัสค่อนข้างสมูธ ใช้แล้วไม่มีรอยนิ้วมือติดบนคีย์บอร์ด น้ำหนักแป้นพิมพ์เองหนักมาณ 1.5 กิโลครับ ซึ่งถือว่าหนักพอสมควร ส่วนคุณภาพการผลิต ผมมองดูแล้วดีมากครับ แข็งแรง ดูทนไม้ทนมือดี ตัวคีบอร์ดเองมีพอร์ทเชื่อมต่ออย่างเดียวคือ USB 2.0 พอร์ทซึ่งสามารถถอดสายได้ นอกนั้นไม่มีพอร์ท Audio Out / In หรือ USB Hub ครับ
Main Characteristics
นอกจากความเป็นคีย์บอร์ดขนาดกะทัดรัดแล้ว มันยังเป็นคีย์บอร์ดที่เป็น Full LED ด้วยครับ ผมเคยอยากได้คีบอร์ดที่มีไฟแบบนี้มาตั้งแต่สมัยที่ Zest เอา Saitek รุ่นที่มีไฟมาขายใหม่ๆ มาวันนี้ได้ลองใช้เสียที สำหรับไฟ LED จะมีสามสีแตกต่างไปตามแต่ละ Switch ครับ โดยสีแดงสำหรับ Switch สีแดง สีน้ำเงินสำหรับ Switch สีน้ำเงินและไฟสีขาวสำหรับ Switch สีน้ำตาล จริงๆผมอยากได้ไฟสีขาวนะ แต่ไม่อยากได้ Switch สีน้ำตาล
สำหรับไฟบนคีย์บอร์ดมี 3 mode ด้วยกันครับ คือแบบเต็มทั้งบอร์ด แบบเฉพาะที่ปุ่ม WASD และแบบ Breathing คือไฟจะค่อยๆเพิ่มและลดแสงอยู่ตลอดเวลา เราสามารถปรับความสว่างของแสงได้ 5 ระดับด้วยกันครับ แต่ใน mode breathing ไม่สามารถปรับระดับได้ โดยส่วนตัวแล้วผมจะใช้แต่ mode WASD เพราะแบบ Full LED แสงมันแยงตา
นอกจากนั้นยังมีฟังชั่นเล็กๆน้อยๆอื่นๆเช่น Multimedia Keyboard ซึ่งอยู่บนแผง Function Key ไล่ไปตั้งแต่ F5-F11 สามารถเปิดปิดการใช้งานปุ่ม Windows ได้ ในกรณีที่เราไม่อยากจะกดมันพลาดในเกมส์นะครับ รวมถึงฟังชั่น NKRO ซึ่งทำให้เราสามารถกดปุ่มพร้อมกันได้มากกว่า 6 ปุ่ม โดยทั้งหมดนี้สามารถใช้งานได้ผ่านปุ่ม FN ที่อยู่ติดกับปุ่ม CTRL ทางขวาของคีบอร์ดคับ
Real life usage
นับเวลาถึงวันที่บทความนี้ออกก็เป็นเวลาครบ 1 อาทิตย์พอดีครับ ที่ผมได้ทดลองใช้ Mechanical Keyboard ตัวนี้เป็นตัวแรก ต้องบอกว่าเวลาพิมพ์มันเป็นความรู้สึกใหม่ครับ เวลาที่เรากดเราสามารถรับรู้ได้ถึงการกดลงไปแต่ละปุ่มเลยว่า แต่ละปุ่มที่เรากดลงไปมันแยกกันเป็น Switch ไป และด้วยความที่มันมีเสียงและตอบสนองได้เร็วผมรู้สึกว่ามันพิมพ์มันกว่าเดิมมาก ยิ่งพิมพ์เร็ว พิมพ์แรง เสียงยิ่งดังก็ยิ่งรู้สึกมัน พิมพ์สนุก (แต่ผมพิมพ์แรงมากไม่ได้ รบกวนคนอื่น) นอกจากนั้นแล้วผมมองว่าคนที่พิมพ์สัมผัสเป็นน่าจะชอบ Mechanical Keyboard ครับ เพราะเวลาพิมพ์เราไม่จำเป็นต้องกดสุดปุ่มก็ได้ คือกดแค่ครึ่งปุ่มมันก็ตอบสนองเราแล้ว ตรงนี้ผมรู้สึกว่ามันทำให้เราพิมพ์ได้เร็วขึ้น ซึ่งมันทำให้ผมพอเข้าใจแล้วว่าทำไม Switch แบบสีฟ้าถึงเหมาะกับคนที่ชอบพิมพ์
แต่ใช่ว่าจะเจอแต่ข้อดีนะครับ ปัญหาที่ผมเจออยู่บ้างก็มีทั้งจากความเคยชินส่วนตัวและมาจากตัวคีบอร์ดเอง อย่างแรกเลยคือด้วยความที่ปุ่ม arrow key กับ numpad ถูกรวมเอาไว้ด้วยกันก็อาจจะทำให้คนที่ต้องใช้มันเป็นประจำรู้สึกลำบากกว่าเดิมได้ แต่จริงๆตรงนี้แก้ได้ไม่ยากครับ ผมหัดมาใช้ Arrow Key ที่เดิมอยู่บน Numpad ซึ่งพูดจริงๆผมไม่เคยใช้มันมาก่อนเลย นั่นก็คือการกด shift + ตัวเลข เช่น 4 8 6 2 แทน arrow key และใช้ shift + 9 / + 3 แทน page up, page down ตรงนี้ก็ช่วยแก้ปัญหาได้บ้าง อีกปัญหาที่ผมเจออันนี้คงเกิดจากความเคยชินของผมเองคือเวลาเล่นเกมแล้วกด WASD ด้วยความที่คีย์บอร์ดตัวเก่าเป็นแบบธรรมดาซึ่งต้องกดลึกจนสุดปุ่มถึงจะตอบสนองทำให้บางทีด้วยความเคยชินเผลอไปกดปุ่ม W ค้างไว้ เวลาเล่นเกมเดินยิงบางทีมีเดินเอียงๆเหมือนกันครับโดยไม่รู้ตัว อีกข้อนึงเป็นข้อสุดท้ายที่ผมเจอก็คือผมไม่ชอบปุ่ม “00” เลยครับ มันไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย บ่อยครั้งที่ผมต้องการจะพิมพ์เลข 0 ตัวเดียวแต่ดันไปกดปุ่ม “00” แทน
Conclusion
โดยรวมแล้วผมถือว่า CM Storm Quick Fire TK เป็นคีย์บอร์ดที่คุ้มค่าตัวนึงเลยครับกับราคาที่ผมได้มา เมื่อเทียบราคากับตัวอื่นๆที่ขายในไทยปัจจุบัน ทั้งฟังชั่นที่ผมต้องการ ทั้งคุณภาพการผลิต มันอาจจะไม่ได้แตกต่างจากคีบอร์ดธรรมดาแบบสุดขั้วแต่ก็ถือว่าเป็นการพัฒนาจากเดิมไปอีกขั้นนึง แต่อย่างไรก็ตามผมมองว่า Mechanical Keyboard ไม่เหมาะถ้าเราอยู่กับคนที่ขี้รำคานหรือทำงานใน office ขนาดสีแดงไม่ได้ดังมาก ผมว่าก็ยังดังนะ ถ้าเป็นสีฟ้าสงสัยผมโดนปาคีบอร์ดทิ้งแน่นอน ฮ่าๆ (แม้ว่าจะมีการ mod ลดเสียงก็เถอะ)
PROs
Full LED Keyboard
Build Quality
Compact Size
Cheap Price
NKRO (via USB)
Multimedia Key
Removable USB port
CONs
No USB Hub
No Audio in / out
ไม่เหมาะกับคนที่ใช้ Arrow Key และ Numpad ควบคู่กันไปตลอดเวลา
เสียงอาจจะรบกวนคนอื่นได้
สามารถดูภาพและอ่านเพิ่มเติมได้ที่
http://underpk.com/blog/talk-around/cm-storm-quickfire-tk-full-led-keyboard-review ครับผม
[CR] CM Storm Quick Fire TK Review
โพสนี้ผมขอตัดบางส่วนมาจากเว็บของผมนะครับ เจ้า CM Storm Quick Fire TK นี่เป็น Mechanical Keyboard ตัวแรกของผมครับ ก็เลยอยากจะเอามารีวิลกันให้ได้อ่านกัน
มาเริ่มกันเลยครับ
Overview
CM Storm Quick Fire TK เป็น Mechanical keyboard ตัวล่าสุดของ Cm Storm โดยใช้ Switch ที่เรารู้จักกันดีคือ Cherry Mx ในรุ่นนี้จะมี Switch 3 สีด้วยกัน คือ แดง น้ำเงิน และน้ำตาลครับ สำหรับตัวนี้ผมเลือกใช้สีแดงเพราะคิดว่าเสียงจะไม่รบกวนเพื่อนร่วมห้องจนเกินไปครับ และจากที่ศึกษามา Switch สีนี้ปุ่มกดจะค่อนข้างเบา ก็อยากจะลองดู เผื่อว่าจะทำให้ล้ามือได้น้อยลงเวลาต้องใช้คอมนานๆ นอกจากนั้นเมื่อดูที่ตัวคีย์บอร์ดเองขนาดของตัวคีย์บอร์ดก็ให้ดูที่คีย์บอร์ดแบบ full size ที่คุณใช้อยู่ครับ แล้วตัดแป้นตัวเลขออก ขนาดจะเป็นประมาณนั้น เลเอาท์ของคีย์บอร์ดจากตัวเก่าผมใช้ Dell SK-8115 มาใช้ตัวนี้ก็คือว่าแทบจะไม่ต้องปรับตัวอะไรเลย นอกจากตัวที่ผมใช้อยู่นี่มันไม่มีเลเอาท์ไทยเท่านั้นเอง (ณ เวลาที่ผมรีวิลในไทยยังไม่มีขาย) วัสดุที่ใช้ทำปุ่มจะออกแนว rubber หน่อยคือด้านๆสัมผัสค่อนข้างสมูธ ใช้แล้วไม่มีรอยนิ้วมือติดบนคีย์บอร์ด น้ำหนักแป้นพิมพ์เองหนักมาณ 1.5 กิโลครับ ซึ่งถือว่าหนักพอสมควร ส่วนคุณภาพการผลิต ผมมองดูแล้วดีมากครับ แข็งแรง ดูทนไม้ทนมือดี ตัวคีบอร์ดเองมีพอร์ทเชื่อมต่ออย่างเดียวคือ USB 2.0 พอร์ทซึ่งสามารถถอดสายได้ นอกนั้นไม่มีพอร์ท Audio Out / In หรือ USB Hub ครับ
Main Characteristics
นอกจากความเป็นคีย์บอร์ดขนาดกะทัดรัดแล้ว มันยังเป็นคีย์บอร์ดที่เป็น Full LED ด้วยครับ ผมเคยอยากได้คีบอร์ดที่มีไฟแบบนี้มาตั้งแต่สมัยที่ Zest เอา Saitek รุ่นที่มีไฟมาขายใหม่ๆ มาวันนี้ได้ลองใช้เสียที สำหรับไฟ LED จะมีสามสีแตกต่างไปตามแต่ละ Switch ครับ โดยสีแดงสำหรับ Switch สีแดง สีน้ำเงินสำหรับ Switch สีน้ำเงินและไฟสีขาวสำหรับ Switch สีน้ำตาล จริงๆผมอยากได้ไฟสีขาวนะ แต่ไม่อยากได้ Switch สีน้ำตาล
สำหรับไฟบนคีย์บอร์ดมี 3 mode ด้วยกันครับ คือแบบเต็มทั้งบอร์ด แบบเฉพาะที่ปุ่ม WASD และแบบ Breathing คือไฟจะค่อยๆเพิ่มและลดแสงอยู่ตลอดเวลา เราสามารถปรับความสว่างของแสงได้ 5 ระดับด้วยกันครับ แต่ใน mode breathing ไม่สามารถปรับระดับได้ โดยส่วนตัวแล้วผมจะใช้แต่ mode WASD เพราะแบบ Full LED แสงมันแยงตา
นอกจากนั้นยังมีฟังชั่นเล็กๆน้อยๆอื่นๆเช่น Multimedia Keyboard ซึ่งอยู่บนแผง Function Key ไล่ไปตั้งแต่ F5-F11 สามารถเปิดปิดการใช้งานปุ่ม Windows ได้ ในกรณีที่เราไม่อยากจะกดมันพลาดในเกมส์นะครับ รวมถึงฟังชั่น NKRO ซึ่งทำให้เราสามารถกดปุ่มพร้อมกันได้มากกว่า 6 ปุ่ม โดยทั้งหมดนี้สามารถใช้งานได้ผ่านปุ่ม FN ที่อยู่ติดกับปุ่ม CTRL ทางขวาของคีบอร์ดคับ
Real life usage
นับเวลาถึงวันที่บทความนี้ออกก็เป็นเวลาครบ 1 อาทิตย์พอดีครับ ที่ผมได้ทดลองใช้ Mechanical Keyboard ตัวนี้เป็นตัวแรก ต้องบอกว่าเวลาพิมพ์มันเป็นความรู้สึกใหม่ครับ เวลาที่เรากดเราสามารถรับรู้ได้ถึงการกดลงไปแต่ละปุ่มเลยว่า แต่ละปุ่มที่เรากดลงไปมันแยกกันเป็น Switch ไป และด้วยความที่มันมีเสียงและตอบสนองได้เร็วผมรู้สึกว่ามันพิมพ์มันกว่าเดิมมาก ยิ่งพิมพ์เร็ว พิมพ์แรง เสียงยิ่งดังก็ยิ่งรู้สึกมัน พิมพ์สนุก (แต่ผมพิมพ์แรงมากไม่ได้ รบกวนคนอื่น) นอกจากนั้นแล้วผมมองว่าคนที่พิมพ์สัมผัสเป็นน่าจะชอบ Mechanical Keyboard ครับ เพราะเวลาพิมพ์เราไม่จำเป็นต้องกดสุดปุ่มก็ได้ คือกดแค่ครึ่งปุ่มมันก็ตอบสนองเราแล้ว ตรงนี้ผมรู้สึกว่ามันทำให้เราพิมพ์ได้เร็วขึ้น ซึ่งมันทำให้ผมพอเข้าใจแล้วว่าทำไม Switch แบบสีฟ้าถึงเหมาะกับคนที่ชอบพิมพ์
แต่ใช่ว่าจะเจอแต่ข้อดีนะครับ ปัญหาที่ผมเจออยู่บ้างก็มีทั้งจากความเคยชินส่วนตัวและมาจากตัวคีบอร์ดเอง อย่างแรกเลยคือด้วยความที่ปุ่ม arrow key กับ numpad ถูกรวมเอาไว้ด้วยกันก็อาจจะทำให้คนที่ต้องใช้มันเป็นประจำรู้สึกลำบากกว่าเดิมได้ แต่จริงๆตรงนี้แก้ได้ไม่ยากครับ ผมหัดมาใช้ Arrow Key ที่เดิมอยู่บน Numpad ซึ่งพูดจริงๆผมไม่เคยใช้มันมาก่อนเลย นั่นก็คือการกด shift + ตัวเลข เช่น 4 8 6 2 แทน arrow key และใช้ shift + 9 / + 3 แทน page up, page down ตรงนี้ก็ช่วยแก้ปัญหาได้บ้าง อีกปัญหาที่ผมเจออันนี้คงเกิดจากความเคยชินของผมเองคือเวลาเล่นเกมแล้วกด WASD ด้วยความที่คีย์บอร์ดตัวเก่าเป็นแบบธรรมดาซึ่งต้องกดลึกจนสุดปุ่มถึงจะตอบสนองทำให้บางทีด้วยความเคยชินเผลอไปกดปุ่ม W ค้างไว้ เวลาเล่นเกมเดินยิงบางทีมีเดินเอียงๆเหมือนกันครับโดยไม่รู้ตัว อีกข้อนึงเป็นข้อสุดท้ายที่ผมเจอก็คือผมไม่ชอบปุ่ม “00” เลยครับ มันไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย บ่อยครั้งที่ผมต้องการจะพิมพ์เลข 0 ตัวเดียวแต่ดันไปกดปุ่ม “00” แทน
Conclusion
โดยรวมแล้วผมถือว่า CM Storm Quick Fire TK เป็นคีย์บอร์ดที่คุ้มค่าตัวนึงเลยครับกับราคาที่ผมได้มา เมื่อเทียบราคากับตัวอื่นๆที่ขายในไทยปัจจุบัน ทั้งฟังชั่นที่ผมต้องการ ทั้งคุณภาพการผลิต มันอาจจะไม่ได้แตกต่างจากคีบอร์ดธรรมดาแบบสุดขั้วแต่ก็ถือว่าเป็นการพัฒนาจากเดิมไปอีกขั้นนึง แต่อย่างไรก็ตามผมมองว่า Mechanical Keyboard ไม่เหมาะถ้าเราอยู่กับคนที่ขี้รำคานหรือทำงานใน office ขนาดสีแดงไม่ได้ดังมาก ผมว่าก็ยังดังนะ ถ้าเป็นสีฟ้าสงสัยผมโดนปาคีบอร์ดทิ้งแน่นอน ฮ่าๆ (แม้ว่าจะมีการ mod ลดเสียงก็เถอะ)
PROs
Full LED Keyboard
Build Quality
Compact Size
Cheap Price
NKRO (via USB)
Multimedia Key
Removable USB port
CONs
No USB Hub
No Audio in / out
ไม่เหมาะกับคนที่ใช้ Arrow Key และ Numpad ควบคู่กันไปตลอดเวลา
เสียงอาจจะรบกวนคนอื่นได้
สามารถดูภาพและอ่านเพิ่มเติมได้ที่ http://underpk.com/blog/talk-around/cm-storm-quickfire-tk-full-led-keyboard-review ครับผม