พันเอก โรเบิร์ต กรีน อิงเกอร์โซล ( Colonel Robert Green Ingersol )
ประวัติของท่านนั้น รับราชการเป็นนายทหารเสนาธิการ เกิดในตระกูลบาทหลวงคาทอลิกที่สืบมาหลายชั่วอายุคน
พันเอก อิงเกอร์โซล เป็นคริสต์ศาสนิกชนโรมันคาทอลิกผู้เคร่งครัด เป็นบุตรของบาทหลวง แห่งเมืองเดรสเดน รัฐนิวยอร์คประเทศสหรัฐอเมริกา ปริญญาโททางกฎหมาย ทำ
หน้าที่เป็นอัยการของรัฐโดยดำรงตำแหน่งเป็นอธิบดีกรมอัยการของรัฐอิลินอยส์ เป็นสมาชิกสภาคองเกรสของสหรัฐอเมริกา ปริญญาโททางด้านปรัชญาและศาสนศาสตร์ ( ศาสนศาสตร์มหาบัณฑิต)
และที่ท่านค้นพบความลับที่ท่านต้องออกมาเปิดเผยคือ จากการที่ได้ทำวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับเรื่องศาสนาเปรียบเทียบนี้เอง ทำให้ท่านได้ค้นคว้าหาความจริงเกี่ยวกับศาสนา ในที่สุดก็พบว่า “ ข้อความที่กล่าวไว้ในคัมภีร์ไบเบิ้ลนิวเทสตาเม้นท์ ของคริสต์โรมันคาทอลิกที่ได้นับถือต่อเนื่องกันมานั้น ล้วนแล้วแต่เป็นเท็จ มิใช่ถ้อยคำของพระเจ้า ตามที่เชื่อกันมา”
ด้วยวิญญาณแห่งความยุติธรรม และความที่ท่านได้สัมผัสและมีความชำนาญอยู่กับข้อกฎหมาย และรู้ซึ่งถึงความฉ้อฉลกลอุบายของทุจริตชนได้เป็นอย่างดี จึงเป็นองค์ประกอบให้ท่านมองเห็นประเด็นความเท็จในคัมภีร์ไบเบิ้ล ท่านจึงค้นหาพยานหลักฐาน ความลับของคริสต์ศาสนาซึ่งได้ถูกปกปิดกันมานับพันปี เพื่อนำมาเปิดเผยให้กับชาวโลกได้รับรู้ ท่านได้รวบรวมข้อมูลหลักฐานและพยานอ้างอิง เป็นหนังสือข้อมูลส่งมอบให้กับองค์การสหประชาชาติ ๒ ชุด เพื่อให้นำไปเปิดเผยพฤติกรรม และความเท็จของคัมภีร์ไบเบิ้ลต่อชาวโลกได้ทราบทั่วกัน หนังสือดังกล่าวนั้นมีชื่อว่า “ The God and Other Lecture” , “ Some Mistake of Moses” (ซึ่งหนังสือทั้งสองเล่มนี้คงต้องไปหาอ่านกันเอง)
จากข้อพิสูจน์ หลักฐาน และข้อมูลของท่านเป็นที่ยอมรับของนักวิชาการ และนักศาสนศาสตร์ทั่วโลก แม้แต่นครวาติกันก็ไม่สามารถหาข้อมูลใดมาหักล้างความจริงของท่านได้
จากผลงานเปิดตาให้ชาวโลกได้รับรู้ความจริงนี้ ทำให้ท่านมีชื่อเสียงไปทั่วโลก และเป็นนักปาฐกถาบันลือนามของโลก ซึ่งท่านได้เดินทางไปทั่วสหรัฐอเมริกาเพื่อบรรยายในมหาวิทยาลัยรวมทั้งในสถาบันวิชาการชั้นนำทั่วโลก และเนื้อหาบทวิจารณ์ที่ได้รับคำยกย่องยอมรับความถูกต้องในข้อมูลหลักฐานของ “บทวิจารณ์คัดค้านความเชื่อที่ไม่ถูกต้องในของคริสต์ศาสนา ( โรมันคาทอลิก) และความฉ้อฉลของคัมภีร์ไบเบิ้ล” ซึ่งเป็นพยานหลักฐานแท้จริงที่พิสูจน์ได้ นับตั้งแต่มีคริสต์ศาสนา ( โรมันคาทอลิก) เกิดขึ้นในโลกมนุษย์
พันเอก เฮ็นรี่ สตีล ออลคอต ( Colonel Henry Steel Olcott ) นายทหารเสนาธิการ นาวิกโยธินหน่วยรบพิเศษ ( กรีนเบเล่ย์) ของสหรัฐอเมริกา เกิดในตระกูลนักธุรกิจชั้นนำของสหรัฐอเมริกา
ท่านเป็นคริสต์ศาสนิกชนโรมันคาทอลิกที่เคร่งครัดต่อคำสอนในคัมภีร์ไบเบิ้ลมานับตั้งแต่เกิด แต่เมื่อท่านได้ศึกษารายงานจากเอกสาร “มหายุทธวาทะ” ซึ่งเป็นการโต้วาทีของ “สามเณรอัจฉริยะแห่งพุทธศาสนา” กับ “มหาปิตาจารย์ของคริสต์โรมันคาทอลิก” อันมีประเทศศรีลังกาเป็นเดิมพัน ( ติดตามอ่านในภาคภาษาไทย…โดยท่าน ฐิติปญฺโญ) เป็นผลให้บาทหลวงโรมันคาทอลิกพ่ายแพ้ในหลักพระสัทธรรมคำสอนและสัจจธรรมของพระพุทธศาสนากับข้อฉ้อฉลบิดเบือนในคัมภีร์ไบเบิ้ลของคริสต์ศาสนา รวมทั้งพยานหลักฐานที่ชี้ชัดถึงความฉ้อฉลในคัมภีร์ไบเบิ้ล ต่อหน้าที่ประชุมของศาสนิกทั้งสองศาสนากว่าครึ่งแสนที่เข้าร่วมรับฟังการโต้วาทีครั้งนั้นโดย ” สามเณรเมโหตติวัตเตคุณานันทะ อุสังเส ( Mahottiwatte Gunnanda Unnase)” ทำให้พันเอก ออลคอต ทำการศึกษาค้นคว้าตามหลักฐานที่สามเณรน้อยแห่งศรีลังกาแสดงนั้น รวมทั้งได้เดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ ที่กล่าวถึงไว้ในคัมภีร์ไบเบิ้ล แหล่งกำเนิดสถานศึกษาของเยซู จึงได้ทราบความเท็จ และความลับที่ไม่ยอมเปิดเผยไว้ในคัมภีร์ไบเบิ้ลมากมาย
และในที่สุดจากาการค้นคว้า ศึกษาในหลักพระสัทธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เกิดความซาบซึ้งในพระธรรม จึงลาออกจากราชการเมื่ออายุได้ ๔๓ ปี และปาวารณาตนเป็นพุทธมามกะด้วยความศรัทธา อุทิศและปฎิบัติตนเพื่อความเจริญก้าวหน้าของพระพุทธศาสนา โดยท่านได้เดินทางไปยังเกาะศรีลังกา พร้อมกับมาดาม บลาวัตสกี้ เพื่อศึกษาค้นคว้าพระอภิธรรม ทั้งภาคปริยัติและปฎิบัติ
จากนั้นขึงได้เริ่มจัดรณรงค์ยกฐานะพระพุทธศาสนา ให้เป็นศาสนาประจำชาติของศรีลังกา โดยให้กำหนดเป็นบทบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ( ผิดกับประเทศไทยรัฐธรรมนูญกลับไม่ยอมบัญญัติให้พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ) และด้วยความเข้มแข็งและศรัทธาของชาวพุทธในประเทศศรีลังกา ในเดือนเมษายน พ.ศ.๒๕๔๓ พุทธบริษัทของศรีลังกา ได้ยื่นญัตติให้องค์การสหประชาชาติประกาศให้ “วันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญของโลก” และสหประชาชาติได้ลงคะแนนเสียงเป็นเอกฉันท์รับรอง
ในชั้นต้นเพื่อสะดวกในการค้นคว้าและปฏิบัติด้านอภิธรรมของชาวพุทธในศรีลังกา จึงได้ร่วมกันกับพระสงฆ์จำนวนหนึ่งก่อตั้งสมาคม “ ญานวิทยา ( Theosophical Society )” เพื่อเก็บรวมรวมเอกสาร คัมภีร์พระสูตร คัดสรรข้อมูล พร้อมทั้งพระสงฆ์นักปราชญ์นักปฏิบัติทางพุทธศาสนาด้านอภิธรรม เผยแพร่หลักปฏิบัติสมาธิจิตตั้งแต่พื้นฐาน ถึงระดับสูงสุดรวมทั้งให้ความรู้แก่พระภิกษุสงฆ์และพุทธศาสนิกชน และผู้สนใจในประเทศศรีลังกา
ภายใต้การอุทิศชีวิตเพื่อพระพุทธศาสนาของ พันเอก ออลคอต ด้รับการสนับสนุนจากชาวพุทธในศรีลังกา ทั้งที่เป็นพระภิกษุสงฆ์และฆราวาสอย่างท่วมท้น จึงได้พร้อมใจกันก่อตั้ง “สมาคมญานวิทยาของชาวพุทธ ( Buddhist Theosophical Society)” โดยยึดให้ประชาชนในประเทศศรีลังกาใช้ “ศีลธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า”เป็นหลักธรรมประจำใจ
ในยุคนั้นทั้งประเทศศรีลังกา มีโรงเรียนของชาวพุทธเพียงสามโรงเรียน แต่มีโรงเรียนคริสต์โรมันคาทอลิกถึงสามพันโรงเรียน แต่หลังจากได้ตั้งสมาคมญานวิทยาของชาวพุทธขึ้นแล้ว ได้มีโรงเรียนทางพุทธศาสนาเพิ่มขึ้นในทันทีกว่า ๕๐ โรงเรียน และสองปีต่อมามีโรงเรียนเพิ่มขึ้นอีก ๑๗๔ โรงเรียน และในระยะเวลาเพียง ๕ ปี มีโรงเรียนพุทธศาสนาเกิดขึ้นถึง ๔๒๙ โรงเรียน ด้วยการรวมหัวใจเป็นหนึ่งเดียว และพลังแห่งศรัทธาของชาวพุทธแห่งศรีลังกา ทำให้รัฐธรรมนูญของศรีลังกา ต้องกำหนดวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาเป็นวันหยุดราชการ เช่น ใช้การหยุดวันโกนและวันพระแทนการหยุด วันเสาร์-อาทิตย์ซึ่งเป็นวันของคริสต์ศาสนา ( โรมันคาทอลิก) รวมทั้งออกกฎหมายท้องถิ่น ระบุในสำมะโนครัวว่า “เป็นชาวพุทธ” ( แต่ประเทศไทยกลับตัดออก เพราะอธิบดีกรมการปกครองที่เป็นคริสเตียน บอกว่าที่ในกระดาษมีเนื้อที่ไม่พอ …)
และสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งที่เป็นประวัติศาสตร์ของ พันเอก ออลคอต คือ “สร้างธงของพุทธศาสนาแห่งประเทศศรีลังกา” ซึ่งใช้อยู่จวบปัจจุบัน
นับว่าท่านได้ปิดยุคมืดบอด โดยการสั่งสอนอย่างฉ้อฉล ของคริสต์ศาสนาโรมันคาทอลิกในประเทศศรีลังกาไปโดยสิ้นเชิง จัดว่าเป็นบุคคลที่มีคุณูปการต่อพระพุทธศาสนาในประเทศศรีลังกาเป็นอย่างยิ่ง
ด้วยความสำคัญในหลักฐานของข้อมูลของนายทหารเสนาธิการ ทั้งสองท่านนี้ ซึ่งเป็นชาวต่างประเทศ อันจะนำมาซึ่งประโยชน์ในการวินิจฉัย หาเหตุผล ความถูกต้อง นำไปสู่การวิเคราะห์สถานการณ์อันส่งผลเลวร้าย ต่อพระพุทธศาสนาในประเทศไทย ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดมาและรุนแรงอย่างยิ่งในช่วงระยะปลายปี พ.ศ.๒๕๔๑ ถึงปัจจุบัน ซึ่งหากชาวพุทธตั้งมั่นอยู่ด้วยสมาธิจิต พิจารณาเหตุและปัจจัย โดยมีข้อมูลอย่างเพียงพอ ก็จะเป็นแนวทางในการป้องกันพิทักษ์รักษาสถาบันพระพุทธศาสนาอันเป็นรากฐานของวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี และหลักธรรมประจำใจในการใช้ชีวิตร่วมกันในสังคมประชาชาติไทย รวมทั้งสามารถประเมินได้เป็นอย่างดีว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อพระพุทธศาสนานั้น สาเหตุแท้จริงแล้วเกิดขึ้นโดยสาเหตุใด โดยใคร และเขาเหล่านั้นมีวัตถุประสงค์อย่างไร และเราซึ่งเป็นชาวพุทธจะดำเนินการอย่างไรจึงจะถูกต้อง ในฐานะจะสมควรเรียกได้เต็มปากว่าเป็นพุทธบริษัทที่สมบูรณ์
มารู้จักบุคคลที่กล้าเปิดเผยความจริงกัน สมดังพุทธภาษิตที่ว่า สุจฺจํ เว อมตา วาจา
ประวัติของท่านนั้น รับราชการเป็นนายทหารเสนาธิการ เกิดในตระกูลบาทหลวงคาทอลิกที่สืบมาหลายชั่วอายุคน
พันเอก อิงเกอร์โซล เป็นคริสต์ศาสนิกชนโรมันคาทอลิกผู้เคร่งครัด เป็นบุตรของบาทหลวง แห่งเมืองเดรสเดน รัฐนิวยอร์คประเทศสหรัฐอเมริกา ปริญญาโททางกฎหมาย ทำ
หน้าที่เป็นอัยการของรัฐโดยดำรงตำแหน่งเป็นอธิบดีกรมอัยการของรัฐอิลินอยส์ เป็นสมาชิกสภาคองเกรสของสหรัฐอเมริกา ปริญญาโททางด้านปรัชญาและศาสนศาสตร์ ( ศาสนศาสตร์มหาบัณฑิต)
และที่ท่านค้นพบความลับที่ท่านต้องออกมาเปิดเผยคือ จากการที่ได้ทำวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับเรื่องศาสนาเปรียบเทียบนี้เอง ทำให้ท่านได้ค้นคว้าหาความจริงเกี่ยวกับศาสนา ในที่สุดก็พบว่า “ ข้อความที่กล่าวไว้ในคัมภีร์ไบเบิ้ลนิวเทสตาเม้นท์ ของคริสต์โรมันคาทอลิกที่ได้นับถือต่อเนื่องกันมานั้น ล้วนแล้วแต่เป็นเท็จ มิใช่ถ้อยคำของพระเจ้า ตามที่เชื่อกันมา”
ด้วยวิญญาณแห่งความยุติธรรม และความที่ท่านได้สัมผัสและมีความชำนาญอยู่กับข้อกฎหมาย และรู้ซึ่งถึงความฉ้อฉลกลอุบายของทุจริตชนได้เป็นอย่างดี จึงเป็นองค์ประกอบให้ท่านมองเห็นประเด็นความเท็จในคัมภีร์ไบเบิ้ล ท่านจึงค้นหาพยานหลักฐาน ความลับของคริสต์ศาสนาซึ่งได้ถูกปกปิดกันมานับพันปี เพื่อนำมาเปิดเผยให้กับชาวโลกได้รับรู้ ท่านได้รวบรวมข้อมูลหลักฐานและพยานอ้างอิง เป็นหนังสือข้อมูลส่งมอบให้กับองค์การสหประชาชาติ ๒ ชุด เพื่อให้นำไปเปิดเผยพฤติกรรม และความเท็จของคัมภีร์ไบเบิ้ลต่อชาวโลกได้ทราบทั่วกัน หนังสือดังกล่าวนั้นมีชื่อว่า “ The God and Other Lecture” , “ Some Mistake of Moses” (ซึ่งหนังสือทั้งสองเล่มนี้คงต้องไปหาอ่านกันเอง)
จากข้อพิสูจน์ หลักฐาน และข้อมูลของท่านเป็นที่ยอมรับของนักวิชาการ และนักศาสนศาสตร์ทั่วโลก แม้แต่นครวาติกันก็ไม่สามารถหาข้อมูลใดมาหักล้างความจริงของท่านได้
จากผลงานเปิดตาให้ชาวโลกได้รับรู้ความจริงนี้ ทำให้ท่านมีชื่อเสียงไปทั่วโลก และเป็นนักปาฐกถาบันลือนามของโลก ซึ่งท่านได้เดินทางไปทั่วสหรัฐอเมริกาเพื่อบรรยายในมหาวิทยาลัยรวมทั้งในสถาบันวิชาการชั้นนำทั่วโลก และเนื้อหาบทวิจารณ์ที่ได้รับคำยกย่องยอมรับความถูกต้องในข้อมูลหลักฐานของ “บทวิจารณ์คัดค้านความเชื่อที่ไม่ถูกต้องในของคริสต์ศาสนา ( โรมันคาทอลิก) และความฉ้อฉลของคัมภีร์ไบเบิ้ล” ซึ่งเป็นพยานหลักฐานแท้จริงที่พิสูจน์ได้ นับตั้งแต่มีคริสต์ศาสนา ( โรมันคาทอลิก) เกิดขึ้นในโลกมนุษย์
พันเอก เฮ็นรี่ สตีล ออลคอต ( Colonel Henry Steel Olcott ) นายทหารเสนาธิการ นาวิกโยธินหน่วยรบพิเศษ ( กรีนเบเล่ย์) ของสหรัฐอเมริกา เกิดในตระกูลนักธุรกิจชั้นนำของสหรัฐอเมริกา
ท่านเป็นคริสต์ศาสนิกชนโรมันคาทอลิกที่เคร่งครัดต่อคำสอนในคัมภีร์ไบเบิ้ลมานับตั้งแต่เกิด แต่เมื่อท่านได้ศึกษารายงานจากเอกสาร “มหายุทธวาทะ” ซึ่งเป็นการโต้วาทีของ “สามเณรอัจฉริยะแห่งพุทธศาสนา” กับ “มหาปิตาจารย์ของคริสต์โรมันคาทอลิก” อันมีประเทศศรีลังกาเป็นเดิมพัน ( ติดตามอ่านในภาคภาษาไทย…โดยท่าน ฐิติปญฺโญ) เป็นผลให้บาทหลวงโรมันคาทอลิกพ่ายแพ้ในหลักพระสัทธรรมคำสอนและสัจจธรรมของพระพุทธศาสนากับข้อฉ้อฉลบิดเบือนในคัมภีร์ไบเบิ้ลของคริสต์ศาสนา รวมทั้งพยานหลักฐานที่ชี้ชัดถึงความฉ้อฉลในคัมภีร์ไบเบิ้ล ต่อหน้าที่ประชุมของศาสนิกทั้งสองศาสนากว่าครึ่งแสนที่เข้าร่วมรับฟังการโต้วาทีครั้งนั้นโดย ” สามเณรเมโหตติวัตเตคุณานันทะ อุสังเส ( Mahottiwatte Gunnanda Unnase)” ทำให้พันเอก ออลคอต ทำการศึกษาค้นคว้าตามหลักฐานที่สามเณรน้อยแห่งศรีลังกาแสดงนั้น รวมทั้งได้เดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ ที่กล่าวถึงไว้ในคัมภีร์ไบเบิ้ล แหล่งกำเนิดสถานศึกษาของเยซู จึงได้ทราบความเท็จ และความลับที่ไม่ยอมเปิดเผยไว้ในคัมภีร์ไบเบิ้ลมากมาย
และในที่สุดจากาการค้นคว้า ศึกษาในหลักพระสัทธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เกิดความซาบซึ้งในพระธรรม จึงลาออกจากราชการเมื่ออายุได้ ๔๓ ปี และปาวารณาตนเป็นพุทธมามกะด้วยความศรัทธา อุทิศและปฎิบัติตนเพื่อความเจริญก้าวหน้าของพระพุทธศาสนา โดยท่านได้เดินทางไปยังเกาะศรีลังกา พร้อมกับมาดาม บลาวัตสกี้ เพื่อศึกษาค้นคว้าพระอภิธรรม ทั้งภาคปริยัติและปฎิบัติ
จากนั้นขึงได้เริ่มจัดรณรงค์ยกฐานะพระพุทธศาสนา ให้เป็นศาสนาประจำชาติของศรีลังกา โดยให้กำหนดเป็นบทบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ( ผิดกับประเทศไทยรัฐธรรมนูญกลับไม่ยอมบัญญัติให้พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ) และด้วยความเข้มแข็งและศรัทธาของชาวพุทธในประเทศศรีลังกา ในเดือนเมษายน พ.ศ.๒๕๔๓ พุทธบริษัทของศรีลังกา ได้ยื่นญัตติให้องค์การสหประชาชาติประกาศให้ “วันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญของโลก” และสหประชาชาติได้ลงคะแนนเสียงเป็นเอกฉันท์รับรอง
ในชั้นต้นเพื่อสะดวกในการค้นคว้าและปฏิบัติด้านอภิธรรมของชาวพุทธในศรีลังกา จึงได้ร่วมกันกับพระสงฆ์จำนวนหนึ่งก่อตั้งสมาคม “ ญานวิทยา ( Theosophical Society )” เพื่อเก็บรวมรวมเอกสาร คัมภีร์พระสูตร คัดสรรข้อมูล พร้อมทั้งพระสงฆ์นักปราชญ์นักปฏิบัติทางพุทธศาสนาด้านอภิธรรม เผยแพร่หลักปฏิบัติสมาธิจิตตั้งแต่พื้นฐาน ถึงระดับสูงสุดรวมทั้งให้ความรู้แก่พระภิกษุสงฆ์และพุทธศาสนิกชน และผู้สนใจในประเทศศรีลังกา
ภายใต้การอุทิศชีวิตเพื่อพระพุทธศาสนาของ พันเอก ออลคอต ด้รับการสนับสนุนจากชาวพุทธในศรีลังกา ทั้งที่เป็นพระภิกษุสงฆ์และฆราวาสอย่างท่วมท้น จึงได้พร้อมใจกันก่อตั้ง “สมาคมญานวิทยาของชาวพุทธ ( Buddhist Theosophical Society)” โดยยึดให้ประชาชนในประเทศศรีลังกาใช้ “ศีลธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า”เป็นหลักธรรมประจำใจ
ในยุคนั้นทั้งประเทศศรีลังกา มีโรงเรียนของชาวพุทธเพียงสามโรงเรียน แต่มีโรงเรียนคริสต์โรมันคาทอลิกถึงสามพันโรงเรียน แต่หลังจากได้ตั้งสมาคมญานวิทยาของชาวพุทธขึ้นแล้ว ได้มีโรงเรียนทางพุทธศาสนาเพิ่มขึ้นในทันทีกว่า ๕๐ โรงเรียน และสองปีต่อมามีโรงเรียนเพิ่มขึ้นอีก ๑๗๔ โรงเรียน และในระยะเวลาเพียง ๕ ปี มีโรงเรียนพุทธศาสนาเกิดขึ้นถึง ๔๒๙ โรงเรียน ด้วยการรวมหัวใจเป็นหนึ่งเดียว และพลังแห่งศรัทธาของชาวพุทธแห่งศรีลังกา ทำให้รัฐธรรมนูญของศรีลังกา ต้องกำหนดวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาเป็นวันหยุดราชการ เช่น ใช้การหยุดวันโกนและวันพระแทนการหยุด วันเสาร์-อาทิตย์ซึ่งเป็นวันของคริสต์ศาสนา ( โรมันคาทอลิก) รวมทั้งออกกฎหมายท้องถิ่น ระบุในสำมะโนครัวว่า “เป็นชาวพุทธ” ( แต่ประเทศไทยกลับตัดออก เพราะอธิบดีกรมการปกครองที่เป็นคริสเตียน บอกว่าที่ในกระดาษมีเนื้อที่ไม่พอ …)
และสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งที่เป็นประวัติศาสตร์ของ พันเอก ออลคอต คือ “สร้างธงของพุทธศาสนาแห่งประเทศศรีลังกา” ซึ่งใช้อยู่จวบปัจจุบัน
นับว่าท่านได้ปิดยุคมืดบอด โดยการสั่งสอนอย่างฉ้อฉล ของคริสต์ศาสนาโรมันคาทอลิกในประเทศศรีลังกาไปโดยสิ้นเชิง จัดว่าเป็นบุคคลที่มีคุณูปการต่อพระพุทธศาสนาในประเทศศรีลังกาเป็นอย่างยิ่ง
ด้วยความสำคัญในหลักฐานของข้อมูลของนายทหารเสนาธิการ ทั้งสองท่านนี้ ซึ่งเป็นชาวต่างประเทศ อันจะนำมาซึ่งประโยชน์ในการวินิจฉัย หาเหตุผล ความถูกต้อง นำไปสู่การวิเคราะห์สถานการณ์อันส่งผลเลวร้าย ต่อพระพุทธศาสนาในประเทศไทย ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดมาและรุนแรงอย่างยิ่งในช่วงระยะปลายปี พ.ศ.๒๕๔๑ ถึงปัจจุบัน ซึ่งหากชาวพุทธตั้งมั่นอยู่ด้วยสมาธิจิต พิจารณาเหตุและปัจจัย โดยมีข้อมูลอย่างเพียงพอ ก็จะเป็นแนวทางในการป้องกันพิทักษ์รักษาสถาบันพระพุทธศาสนาอันเป็นรากฐานของวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี และหลักธรรมประจำใจในการใช้ชีวิตร่วมกันในสังคมประชาชาติไทย รวมทั้งสามารถประเมินได้เป็นอย่างดีว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อพระพุทธศาสนานั้น สาเหตุแท้จริงแล้วเกิดขึ้นโดยสาเหตุใด โดยใคร และเขาเหล่านั้นมีวัตถุประสงค์อย่างไร และเราซึ่งเป็นชาวพุทธจะดำเนินการอย่างไรจึงจะถูกต้อง ในฐานะจะสมควรเรียกได้เต็มปากว่าเป็นพุทธบริษัทที่สมบูรณ์