ตอนที่ 1
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://ppantip.com/topic/30108764
ตอนที่ 2
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://ppantip.com/topic/30131376
ตอนที่ 3.1
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://ppantip.com/topic/30154887
แวบหนึ่งที่สบตากับนัยน์ตาสีมรกตคู่นั้นเธอรู้สึกเหมือนถูกดูดเข้าไปในโลกอีกโลกหนึ่งที่ทั้งเวิ้งว้างและห่างไกลจากผู้คนมากแค่ไหนก็ไม่แน่ใจ มองดูแล้วราวกับเป็นฉากในการ์ตูนก็ไม่มีผิดให้ความหนาวเย็นและชวนขนลุกชอบกล แวบนั้นเธอเห็นเหมือนรังสีอำมหิตพวยพุงออกมาจากร่างที่นั่งหน้านิ่งอยู่ เธอเชื่อสนิทใจว่าต่อให้เขาไม่รวยเขาก็สามารถทำอะไรได้มากกว่าที่เธอคิด
เขาน่ากลัวกว่าที่เธอจินตนาการไว้ร้อยเท่าพันเท่าทีเดียว ดวงหน้าเล็กซีดเผือดเป็นสีไก่ต้ม เธอยังคงช็อคกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่หาย เอวายังคงจ้องมองที่ที่เขาเคยนั่งอย่างหวาดกลัวเสียวสันหลังวาบ เธอไม่สามารถบรรยายได้ว่าความรู้สึกที่เพิ่งเกิดขึ้นนี้เรียกว่าอะไร แต่ทันทีที่ชายคนนั้นลุกจากที่นั่งใจเธอก็กระโดดโลดเต็มอย่างดีใจ
“เจ๊ ใครอ่ะ”
“เจ๊!!”คนอยากรู้อยากเห็นรีบเข้ามาปลุกวิญญาณของหญิงสาวรีบกับเข้าร่างทันที ร่างบางสะดุ้งเล็กน้อย แต่สายตาเธอยังคงเลื่อนลอยออกไปไกล
“ใครอ่ะเจ๊ โคตรจะน่ากลัว”
“เจ๊จะแต่งงานจริงเหรอ”
“เจ๊ อย่างเงียบดิ”
“พวกแกเลิกเรียกฉันว่าเจ๊ได้ละ ชั้นอายุ 25 แล้วก็ไม่แต่งงานแต่งการอะไรทั้งนั้นด้วย”เธอทำท่าหงุดหงิดคว้าเงินบนโต๊ะจะเดินออกไปที่เคาน์เตอร์
“เจ๊นามบัตร ทำจากทองเว้ย”
“เฮ้ยจริงอ่ะ ดูดิ๊ๆ”สองหนุ่มทำท่าจะแย่งนามบัตรสีทอง “เอ๊งรู้ได้ไงว่าทอง ไปทำงานไป๊ เอามานี่”เธอรีบกลับมาฉวยบัตรสีทองออกจากมือสองหนุ่ม
“บ้านผมขายทองเจ๊”
“ทองม้วนเหรอ ถ้าขายทองก็กลับไปช่วยที่บ้านไป๊”เธอว่าก้มมองนามบัตรแผ่นสีทองในมือ โดมินิค คาร์เตอร์ ตามด้วยเบอร์โทรและที่อยู่เสร็จสรรพด้านหลังเขียนประโยคสั้นๆที่สะเทือนไปถึงขั้วหัวใจของหญิงสาว “I am your ally, He will not stop like this, fighting my younger sister in law” อะไรก็ไม่มึนหัวเท่า น้องสะใภ้ของฉัน แต่โดยรวมก็ปวดหัวหมด เธออยากจะหลั่งน้ำตาออกมาให้รู้แล้วรู้รอดไป
ในระยะแรกมักจะมีครีมบำรุงผิวพรรณยี่ห้อดังตั้งแต่หัวจรดเท้าระดับราคาแพงหูฉี่ส่งมาที่บ้านเธอบ่อยครั้ง เธอแทบจะมีทุกคอลเลคชั่นเลยก็ว่าได้ ส่วนใหญ่ล้วนมาจากโดมินิค คาร์เตอร์ทั้งสิ้น เขาบอกให้เธอดูแลผิวพรรณให้ดีๆ เพราะพี่ชายเป็นห่วงแล้วมีหรือของฟรีราคาแพงขนาดนี้เธอจะไม่ใช้แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าไปสนิทสนมเป็นพี่น้องกันตอนไหน
ของราคาแพงก็มักดีดังคาดเพราะเธอรู้สึกว่าผิวพรรณเธอมันช่างนุ่มนวลเหลือเกินใครเดินผ่านแตะต้องโดนตัวเธอหน่อยก็ชมว่าเธอผิวนุ่มเหมือนเด็กกันทั้งนั้นแถมยังดูกระจ่างใส่ขึ้น ผมเธอก็นุ่มสลายสางก็ไม่ค่อยจะพันกันเหมือนแต่ก่อน ถึงตอนก่อนจะดีอยู่แล้วแต่เธอก็ต้องยอมรับว่าตอนนี้ดีกว่ามาก
ต่อมาก็ตามด้วยชุดแบรนด์ดังระดับโลกอีกไม่ต้องสงสัยว่าคนส่งมาคือโดมินิค คาร์เตอร์เช่นเดิม นอกจากจะส่งแบรนด์ของตัวเองมาให้แล้วยังมีแบรนด์ของคนอื่นที่ราคาแพงไม่แพ้กันมาให้ด้วย
เครื่องครีมหญิงสาวไม่ค่อยเท่าไหร่เนี่ยจากมีโอกาสได้ใช้ แต่ชุดเธอจำเป็นจะต้องส่งคืนเพราะนอกจากจะสไตล์หญิงจ๋าแล้ว ก็ไม่เหมาะกับการใส่ไปทำงานซักเท่าไหร่ จะให้เธอใส่ชุดเดรสไปผัดข้าวในครัวคงเป็นที่ขำขันของสองหนุ่มพนักงานร้านไม่น้อย เธอจึงต้องส่งเมล์ไปหาเขาเพื่อจะคืนของให้
เขาก็ตอบกลับมาว่า “ในที่สุดคุณก็ติดต่อผมมาจนได้ ผมไม่รับคืนหรอกเป็นหน้าที่ที่พี่ชายจะต้องดูแลน้องสาวจะเอาไปขายผมก็ไม่ว่าเพราะประเทศไทยคงมีราคาสูงใช่เล่น”เขาตอบมาเพียงเท่านี้เธอก็ดีใจเป็นลิงโลด ถ้าราคาสูงทำไมเขาไม่เอาไปขายเองเล่า ถึงจะดีใจแบบนั้นแต่เธอก็จำต้องเก็บชุดไว้ในตู้เสื้อผ้าโกโรโกโสของเธอ
ส่วนเรื่องชายหนุ่มอีกคนไม่ต้องพูดถึงหลายเดือนผ่านเขาก็ไม่โผล่หน้ามาแม้ซักนิด มีเพียงจดหมายต่อรองมาเป็นระยะแต่เธอก็ไม่คิดจะเปิดอ่าน ต่อรองได้ต่อรองไปแต่เธอไม่อ่านใดๆทั้งสิ้นจะทำไมเล่า ถึงในใจจะกลัวเรื่องที่ดินอยู่บ้างแต่ถ้าเขารู้เขาต้องเอาเอกสารมาฟาดหน้าเธอแน่ เช่นเดียวกับที่ทำคราวก่อน
“เจ๊ นั่งเหม่ออะไร”
“เหม่อ เหม่ออะไรของแก”
“โถ่ผมเรียกเจ๊เป็นสิบๆครั้งละไม่มองผมบ้าง”ชายหนุ่มยืนหน้ามาถามอย่างหงุดหงิด
“จะเอาอะไร”
“เบิกเงินสิเจ๊นี่มันปลายเดือนนะครับ”
“อีพงษ์!!ยังไม่ทันจะได้เปิดร้านเอ็งจะเบิกเงินตลอดเลยหรือยังไง”
“เจ๊แต่วันนี้มันวันสุดท้ายของเดือนนะเจ๊”ชายหนุ่มบ่น ทำท่าออดอ้อนเกาะติดอยู่บนไม้ถูกพื้น
“ไม่มีพรุ่งนี้ค่อยว่ากันยังไม่ได้เบิก”เธอเอามือปัดไล่ชายหนุ่มกลางอากาศอย่างเบื่อหน่าย “ทำงานไปเถอะน่า ไม่เบี้ยวหรอก”
“รู้ว่าไม่เบี้ยว”เขาทำน้ำเสียงหงุดหงิด
กริ้งๆ โมบายที่ประตูดังขึ้น
“ร้านยังไม่เปิดคะ”
“ผมมาแจ้งข่าวให้ทราบครับ”ชายในชุดเสื้อสูทสีดำคนหนึ่งเดินเข้ามาในร้าน เขามาพร้อมกระเป๋าทรงเจมส์บอนด์ในมือ ชุดนี้เหมือนเคยเห็นที่ไหน
“ลุงเหมือนหลุดออกมาจากหนังเลยเจ๊”คนที่อยู่ใกล้ยื่นหน้ามากระซิบข้างหู ยิ่งพินิจเครื่องแบบสีดำพร้อมกับกระเป๋านั่นเธอก็ยิ่งคุ้นตาอย่างบอกไม่ถูก
“ชี้แจงเรื่องอะไรเหรอคะ”เอวาเอ่ยน้ำเสียงเรียบเดินเข้าไปเชิญชายหนุ่มนั่งบนโต๊ะ
“เจ้านายของผมเสนอที่จะปลดหนี้ให้ที่ร้านคุณฟรีๆเพื่อแลกกับ...”ข้อเสนอเรื่องเงินและกับทุกสิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเจ้านายเขาเป็นใครสูทสีดำกระเป๋าเจมส์บอนด์ปรากฏชัดในความทรงจำเธอขึ้นมาทันที
“ฉันไม่ต้องการ เอาไปบอกเจ้านายคุณด้วยนะคะว่าถ้าจะมาแลกเงินกับฉันโปรดใสหัวไปคะ อ่อแล้วอีกอย่างธุรกิจฉันเจริญรุ่งเรืองดีคะ”เธอยิ้มหวานให้ทนายในชุดดำ คนออยู่หลังเคาน์เตอร์เองก็ระลึกได้เช่นกัน
“เจ้านายผมฝากบอกคุณว่า ถ้าเธอปฏิเสธบอกเธอไปว่าร้านนี้อาจจะไม่มีอีกต่อไป”คนฟังกลืนก้อนสะอึกลงคอทันที “ผมให้เวลาคุณหนึ่งอาทิตย์ในการตัดสินใจ หนึ่งอาทิตย์แรกคุณจะไม่มีบ้าน อาทิตย์ที่สองคุณจะไม่มีแม้แต่ร้านจะให้ทำมาหากินให้เลือกเอาแล้วกันครับ ส่วนไม่มีบ้านคุณสามารถเอาของที่บ้านมาฝากไว้ที่บ้านผมก่อนได้”ทนายกระซิบเสียงเบาเพื่อไม่ให้ใครได้ยิน กระแสคำพูดวิ่งเข้าสมองน้อยๆอย่างรวดเร็ว ถึงคุณทนายตรงหน้าจะหน้าไม่ตายเท่าชายที่เธอเคยพบมาก่อน แต่หน้าเขาก็ปรากฏแจ่มชัดแบบไม่ต้องสงสัย เธอยังจำหน้านิ่งเฉยของเขาได้ดี
“ช่วยบอกเขาทีนะคะว่าฉันอยากพบเขา”น้ำเสียงแหบพร่าถูกกลั่นออกมาจากลำคอ
“ไม่มีปัญหาครับเจ้านายผมจะมาพบคุณภายในเย็นวันพรุ่งนี้แน่นอน”เขาวางแผนทุกอย่างไว้หมดแล้วกระทั่งคาดการณ์ว่าเธอจะต้องการพบเขาแน่ๆ ทนายหนุ่มพูดจบก็ขอตัวกลับทันที
ทิ้งให้หญิงสาวนั่งหมดสภาพอยู่บนเก้าอี้เหมอลอยมองตามทนายหนุ่มนั่งรถหรูออกไป เขามีทนายกี่คนกัน แล้วเขาทำแบบนี้ได้อย่างไรกัน ไม่ต้องสงสัยอีกต่อไปคำพูดเขาเมื่อหลายเดือนก่อนวิ่งวนเข้ามากระแทกก้านสมองเธออย่างจัง ‘คุณรู้ว่าผมรวย คุณควรจะรู้อีกว่าคนรวยทำอะไรได้หลายอย่าง’ นั่นคือสิ่งที่เขาพยายามจะเตือนเธอสินะ เธอนั่งถอนหายใจหมดอาลัยตายอยากไหลร่างบางลงตามเก้าอี้แทบจะลงไปนอนอยู่กับพื้นอย่างมดเรียวหมดแรง
“เจ๊ เจ๊!!”
“อะไร!! มีอะไรก็ไปทำสิ!”เธอตะหวาดผนักงานผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่กลับ
“ผมทำอยู่ เจ๊อ่ะขวางทางผม ลุกๆ ผมจะถูกพื้น”เอวาทำหน้าเบ้ใส่หนุ่มเกาหลีอย่างหมั่นไส้ รีบลุกเดินฉับๆออกไปทันที เธอจะทำยังไงดีหล่ะทีนี้เขารู้หมดแล้วว่าเธอไม่มีอะไรจะไปต่อรอง
“แกมันเลว”เธอสบถออกมาออย่างเข่นเขี้ยว คนฟังถลึงตาใส่เงยหน้าจากพื้นพุ่งสายตามาที่ร่างบางทันที
“ผมให้เจ๊ลุกแค่นี้เจ๊ต้องด่าผมขนาดนี้เลยเหรอ”
“โอ๊ะไอ้นี่!!!”พูดจบเธอก็ทำท่าไม่ได้ดั่งใจเดินหนีเข้าครัวไป ทิ้งให้คนงงก็งงต่อไปกับอารมณ์แปรปรวนของผู้หญิง
“คุณต้องการอะไรว่ามา”ครั้งนี้เขาไม่ได้มาพร้อมกับชายหนุ่มหน้าสวยคนนั้นแต่เป็นบุคคลที่มีลักษณะใกล้เคียงกับเขา ใบหน้าหล่อเหลาใกล้เคียงกันแต่ออกไปทางละตินนิดหน่อย ขณะที่นัยน์ตาสีฟ้าใสนั้นสามารถบอกความรู้สึกได้ผิดกับคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าเธอ ‘สัมภาษณ์งานรึไงเนี่ย!!’ แค่มองเธอก็รู้สึกเหมือนลมจะจับ
“ฉันขอผ่อนไปก่อน”
“ผ่อน...”
“คือยืดระยะเวลาออกไป”
“ช้าเร็วก็ต้องแต่งหนึ่งปีเท่ากัน สู้แต่งเร็วเลิกเร็วไม่ดีเหรอ”คนที่อยู่ข้างๆพูดขึ้นในที่สุด เสียงนั้นนุ่มชวนฟังกว่าชาร์ลที่อยู่ตรงหน้าเธอมาก แต่คำพูดเขาก็ทำให้เธออึกอัก
“มันก็จริง แต่... ฉัน ไม่เคยเจอหน้าคุณชาร์ลมาก่อน คุณจะให้ฉันแต่งงานกับใครทันทีไม่ได้”
“แล้วจะเอายังไง”ชาร์ลพูดเสียงเรียบ จะเอายังไงถามฉันตอนนี้ฉันก็ไม่รู้ เธอบ่นในใจ หลังจากทุ่มเทเวลาคิดมาทั้งคืนแต่เธอก็คิดไม่ออกอยากจะไม่แต่งไม่แต่งอยู่ท่าเดียวแต่ถ้าทำอย่างนั้นทั้งบ้านทั้งร้านก็โดนยึดหมด
“ฉัน ฉันก็ยังไม่รู้”
“ถ้าคุณบอกว่าคุณเพิ่งเคยเจอหน้าเลยแต่งไม่ได้ เพราะฉันนั้นผมขอเสนอให้คุณไปอยู่ที่อังกฤษกับชาร์ลเลย หรือไม่ก็ให้ชาร์ลมาที่นี่ลองคบกันดูก่อน”นัยน์ตามรกตคมกริบหันไปมองเพื่อนที่นั่งออกความเห็นอยู่ด้านข้าง จริงอยู่ที่ชายด้านข้างมีตรรกะศาสตร์เป็นเลิศแต่มันจะมากไปมั๊งที่เสนอให้เขามาที่นี่
“ผมจะไม่มาที่นี่แน่”
“ฉันก็ไม่ไปที่นั่น ที่นี่มางานที่ฉันต้องทำ”
“ถ้าพวกคุณไม่ลดลากันคนละครึ่งทาง แล้วจะไปเจอกันตรงไหนได้หล่ะครับ สุดโต่งจนสวนทางกันทั้งคู่แบบนี้”
“ใครว่าฉันอยากจะไปเจอคะ”เอวาพรวดออกไปอย่างรวดเร็ว เป็นอย่างที่โดมินิคว่าจริงๆนั่นแหละ หญิงสาวคนนี้เป็นคนตรงจัดจริงๆด้วยไม่คิดจะผ่อนจะลดใดๆทั้งสิ้น เหมาะเพื่อนเขาสุดๆจนแทบจะเป็นเส้นขนานกัน คุณพ่อคิดอะไรอยู่ครับผมปวดหัว ไมเคิลมองสองหนุ่มสาวอย่างพิจารณ์อีกครั้ง
“คุณเป็นคนที่ไม่มีทางเลือก”เขาควบคุมพนักงานโดยให้ทางเลือกพวกนั้นจนเคยตัว แต่คนตรงหน้าไม่ใช่พนักงาน มันก็ยากหน่อยที่หล่อนจะเลือกอะไรซักอย่างเพราะถ้าหากหล่อนยอมทนไร้บ้านไปซักหนึ่งปีมรดกของพ่อชาร์ลก็เป็นของหล่อน และผู้หญิงก็ทนเก่งพอตัว ไมเคิลวิเคราะห์
“ฉันต้องการเวลา แต่งงานมันไม่ใช่เรื่องเล็กของผู้หญิงนะคะคุณ”
“แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่”ไม่ใช่เรื่องใหญ่ พูดมาได้ยังไง เธอพ่นลมหายใจออกมาอย่างเหลือเชื่อ มันทั้งชีวิตของฉันเลยนะเว้ยผู้หญิงแต่งงานแล้วใครจะไปเอาว่ะ หล่อนรู้ตัวดีว่าไม่ได้สะสวยแถมยังนิสัยห้าวเกินจะแกงจะหาผู้ชายซักคนในชีวิตยังลำบาก 25 ปีที่ผ่านมาที่เข้ามาจีบหล่อนก็มีแต่รุ่นพี่รุ่นน้องที่เป็นดี้ทั้งนั้น ขืนแต่งงานแล้วต่อให้จะบอกว่าไม่เคยมีอะไรกันใครจะเชื่อ แต่งกับฝรั่งอีกยิ่งแล้วใหญ่เกิดมาต่อให้พูดภาษาได้มากมายแค่ไหนอ่านนิยายไปเยอะแยะ ผู้ชายจะเปลี่ยนเทรนกี่ครั้งเธอก็ยังชอบชายไทยผิวเข้มอยู่นั่นเอง
“ใหญ่มากสำหรับฉันคะ”ในที่สุดเธอก็ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน คิดๆดูเขาคงไม่เข้าใจชีวิตชาวบ้านทั่วไปสินะ “การแต่งงานของผู้หญิงเป็นเรื่องใหญ่มากคะ ยิ่งถ้าผู้หญิงแต่งงานแล้วครั้งหนึ่งใครจะเอาคะฉันเป็นหญิงไทยนะคะคุณ นิยมแต่งงานกันแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ถ้าฉันเลิกกับคุณยังไงเสียฉันก็ต้องกลับมาเมืองไทยจริงมั๊ยคะ แล้วฉันก็ต้องใช้ชีวิตแบบไทยเพราะฉะนั้นสำหรับสังคมฉันมันใหญ่มากคะ”เอวาพยายามอธิบายอย่างใจเย็น
“นี่มันปีสองพันสิบสาม”
“สังคมฉันมันไม่ได้เปลี่ยนไปตามการเวลาเหมือนสังคมคุณ ค่านิยมประเพณีมันไม่ได้เปลี่ยนไปง่ายขนาดนั้น เพราะฉะนั้นเห็นใจฉันด้วยเถอะคะ”
“คุณก็รอร้านและบ้านคุณถูกยึดไป”เขาพูดออกมาอย่างง่ายได้ไม่สะท้านซักนิด
“คุณไม่เข้าใจฉันเลยเหรอคะ”ไมเคิลนั่งเก็บข้อมูลนิ่ง เขาจะไปเข้าใจอะไรเล่าเขาเป็นนักธุรกิจที่เห็นผลประโยชน์มาที่หนึ่ง ไม่ได้เห็นค่าวัฒนธรรมประเพณีค่านิยมอะไรพวกนั้นมากนักหรอก ยิ่งไอ้ที่น้องสะใภ้พูดไปทั้งหมดมันเป็นประโยชน์เข้าตัวเธอทั้งสิ้นคนที่แสวงหาแต่ผลประโยชน์และจุดมุ่งหมายในชีวิตของตัวเองอย่างชาร์ลเขาไม่มีวันยอมรับมันแน่
----------------------------------------------------------------------
มีข้อผิดพลาดด้านสะกดคำผิดอะไรรบกวนบอกด้วยนะคะ
ขอบคุณที่หลงเข้ามาชมคะ ^^
Oh my destiny เมื่อรักแผลงฤทธิ์ 3.2
ตอนที่ 2 [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ตอนที่ 3.1 [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แวบหนึ่งที่สบตากับนัยน์ตาสีมรกตคู่นั้นเธอรู้สึกเหมือนถูกดูดเข้าไปในโลกอีกโลกหนึ่งที่ทั้งเวิ้งว้างและห่างไกลจากผู้คนมากแค่ไหนก็ไม่แน่ใจ มองดูแล้วราวกับเป็นฉากในการ์ตูนก็ไม่มีผิดให้ความหนาวเย็นและชวนขนลุกชอบกล แวบนั้นเธอเห็นเหมือนรังสีอำมหิตพวยพุงออกมาจากร่างที่นั่งหน้านิ่งอยู่ เธอเชื่อสนิทใจว่าต่อให้เขาไม่รวยเขาก็สามารถทำอะไรได้มากกว่าที่เธอคิด
เขาน่ากลัวกว่าที่เธอจินตนาการไว้ร้อยเท่าพันเท่าทีเดียว ดวงหน้าเล็กซีดเผือดเป็นสีไก่ต้ม เธอยังคงช็อคกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่หาย เอวายังคงจ้องมองที่ที่เขาเคยนั่งอย่างหวาดกลัวเสียวสันหลังวาบ เธอไม่สามารถบรรยายได้ว่าความรู้สึกที่เพิ่งเกิดขึ้นนี้เรียกว่าอะไร แต่ทันทีที่ชายคนนั้นลุกจากที่นั่งใจเธอก็กระโดดโลดเต็มอย่างดีใจ
“เจ๊ ใครอ่ะ”
“เจ๊!!”คนอยากรู้อยากเห็นรีบเข้ามาปลุกวิญญาณของหญิงสาวรีบกับเข้าร่างทันที ร่างบางสะดุ้งเล็กน้อย แต่สายตาเธอยังคงเลื่อนลอยออกไปไกล
“ใครอ่ะเจ๊ โคตรจะน่ากลัว”
“เจ๊จะแต่งงานจริงเหรอ”
“เจ๊ อย่างเงียบดิ”
“พวกแกเลิกเรียกฉันว่าเจ๊ได้ละ ชั้นอายุ 25 แล้วก็ไม่แต่งงานแต่งการอะไรทั้งนั้นด้วย”เธอทำท่าหงุดหงิดคว้าเงินบนโต๊ะจะเดินออกไปที่เคาน์เตอร์
“เจ๊นามบัตร ทำจากทองเว้ย”
“เฮ้ยจริงอ่ะ ดูดิ๊ๆ”สองหนุ่มทำท่าจะแย่งนามบัตรสีทอง “เอ๊งรู้ได้ไงว่าทอง ไปทำงานไป๊ เอามานี่”เธอรีบกลับมาฉวยบัตรสีทองออกจากมือสองหนุ่ม
“บ้านผมขายทองเจ๊”
“ทองม้วนเหรอ ถ้าขายทองก็กลับไปช่วยที่บ้านไป๊”เธอว่าก้มมองนามบัตรแผ่นสีทองในมือ โดมินิค คาร์เตอร์ ตามด้วยเบอร์โทรและที่อยู่เสร็จสรรพด้านหลังเขียนประโยคสั้นๆที่สะเทือนไปถึงขั้วหัวใจของหญิงสาว “I am your ally, He will not stop like this, fighting my younger sister in law” อะไรก็ไม่มึนหัวเท่า น้องสะใภ้ของฉัน แต่โดยรวมก็ปวดหัวหมด เธออยากจะหลั่งน้ำตาออกมาให้รู้แล้วรู้รอดไป
ในระยะแรกมักจะมีครีมบำรุงผิวพรรณยี่ห้อดังตั้งแต่หัวจรดเท้าระดับราคาแพงหูฉี่ส่งมาที่บ้านเธอบ่อยครั้ง เธอแทบจะมีทุกคอลเลคชั่นเลยก็ว่าได้ ส่วนใหญ่ล้วนมาจากโดมินิค คาร์เตอร์ทั้งสิ้น เขาบอกให้เธอดูแลผิวพรรณให้ดีๆ เพราะพี่ชายเป็นห่วงแล้วมีหรือของฟรีราคาแพงขนาดนี้เธอจะไม่ใช้แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าไปสนิทสนมเป็นพี่น้องกันตอนไหน
ของราคาแพงก็มักดีดังคาดเพราะเธอรู้สึกว่าผิวพรรณเธอมันช่างนุ่มนวลเหลือเกินใครเดินผ่านแตะต้องโดนตัวเธอหน่อยก็ชมว่าเธอผิวนุ่มเหมือนเด็กกันทั้งนั้นแถมยังดูกระจ่างใส่ขึ้น ผมเธอก็นุ่มสลายสางก็ไม่ค่อยจะพันกันเหมือนแต่ก่อน ถึงตอนก่อนจะดีอยู่แล้วแต่เธอก็ต้องยอมรับว่าตอนนี้ดีกว่ามาก
ต่อมาก็ตามด้วยชุดแบรนด์ดังระดับโลกอีกไม่ต้องสงสัยว่าคนส่งมาคือโดมินิค คาร์เตอร์เช่นเดิม นอกจากจะส่งแบรนด์ของตัวเองมาให้แล้วยังมีแบรนด์ของคนอื่นที่ราคาแพงไม่แพ้กันมาให้ด้วย
เครื่องครีมหญิงสาวไม่ค่อยเท่าไหร่เนี่ยจากมีโอกาสได้ใช้ แต่ชุดเธอจำเป็นจะต้องส่งคืนเพราะนอกจากจะสไตล์หญิงจ๋าแล้ว ก็ไม่เหมาะกับการใส่ไปทำงานซักเท่าไหร่ จะให้เธอใส่ชุดเดรสไปผัดข้าวในครัวคงเป็นที่ขำขันของสองหนุ่มพนักงานร้านไม่น้อย เธอจึงต้องส่งเมล์ไปหาเขาเพื่อจะคืนของให้
เขาก็ตอบกลับมาว่า “ในที่สุดคุณก็ติดต่อผมมาจนได้ ผมไม่รับคืนหรอกเป็นหน้าที่ที่พี่ชายจะต้องดูแลน้องสาวจะเอาไปขายผมก็ไม่ว่าเพราะประเทศไทยคงมีราคาสูงใช่เล่น”เขาตอบมาเพียงเท่านี้เธอก็ดีใจเป็นลิงโลด ถ้าราคาสูงทำไมเขาไม่เอาไปขายเองเล่า ถึงจะดีใจแบบนั้นแต่เธอก็จำต้องเก็บชุดไว้ในตู้เสื้อผ้าโกโรโกโสของเธอ
ส่วนเรื่องชายหนุ่มอีกคนไม่ต้องพูดถึงหลายเดือนผ่านเขาก็ไม่โผล่หน้ามาแม้ซักนิด มีเพียงจดหมายต่อรองมาเป็นระยะแต่เธอก็ไม่คิดจะเปิดอ่าน ต่อรองได้ต่อรองไปแต่เธอไม่อ่านใดๆทั้งสิ้นจะทำไมเล่า ถึงในใจจะกลัวเรื่องที่ดินอยู่บ้างแต่ถ้าเขารู้เขาต้องเอาเอกสารมาฟาดหน้าเธอแน่ เช่นเดียวกับที่ทำคราวก่อน
“เจ๊ นั่งเหม่ออะไร”
“เหม่อ เหม่ออะไรของแก”
“โถ่ผมเรียกเจ๊เป็นสิบๆครั้งละไม่มองผมบ้าง”ชายหนุ่มยืนหน้ามาถามอย่างหงุดหงิด
“จะเอาอะไร”
“เบิกเงินสิเจ๊นี่มันปลายเดือนนะครับ”
“อีพงษ์!!ยังไม่ทันจะได้เปิดร้านเอ็งจะเบิกเงินตลอดเลยหรือยังไง”
“เจ๊แต่วันนี้มันวันสุดท้ายของเดือนนะเจ๊”ชายหนุ่มบ่น ทำท่าออดอ้อนเกาะติดอยู่บนไม้ถูกพื้น
“ไม่มีพรุ่งนี้ค่อยว่ากันยังไม่ได้เบิก”เธอเอามือปัดไล่ชายหนุ่มกลางอากาศอย่างเบื่อหน่าย “ทำงานไปเถอะน่า ไม่เบี้ยวหรอก”
“รู้ว่าไม่เบี้ยว”เขาทำน้ำเสียงหงุดหงิด
กริ้งๆ โมบายที่ประตูดังขึ้น
“ร้านยังไม่เปิดคะ”
“ผมมาแจ้งข่าวให้ทราบครับ”ชายในชุดเสื้อสูทสีดำคนหนึ่งเดินเข้ามาในร้าน เขามาพร้อมกระเป๋าทรงเจมส์บอนด์ในมือ ชุดนี้เหมือนเคยเห็นที่ไหน
“ลุงเหมือนหลุดออกมาจากหนังเลยเจ๊”คนที่อยู่ใกล้ยื่นหน้ามากระซิบข้างหู ยิ่งพินิจเครื่องแบบสีดำพร้อมกับกระเป๋านั่นเธอก็ยิ่งคุ้นตาอย่างบอกไม่ถูก
“ชี้แจงเรื่องอะไรเหรอคะ”เอวาเอ่ยน้ำเสียงเรียบเดินเข้าไปเชิญชายหนุ่มนั่งบนโต๊ะ
“เจ้านายของผมเสนอที่จะปลดหนี้ให้ที่ร้านคุณฟรีๆเพื่อแลกกับ...”ข้อเสนอเรื่องเงินและกับทุกสิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเจ้านายเขาเป็นใครสูทสีดำกระเป๋าเจมส์บอนด์ปรากฏชัดในความทรงจำเธอขึ้นมาทันที
“ฉันไม่ต้องการ เอาไปบอกเจ้านายคุณด้วยนะคะว่าถ้าจะมาแลกเงินกับฉันโปรดใสหัวไปคะ อ่อแล้วอีกอย่างธุรกิจฉันเจริญรุ่งเรืองดีคะ”เธอยิ้มหวานให้ทนายในชุดดำ คนออยู่หลังเคาน์เตอร์เองก็ระลึกได้เช่นกัน
“เจ้านายผมฝากบอกคุณว่า ถ้าเธอปฏิเสธบอกเธอไปว่าร้านนี้อาจจะไม่มีอีกต่อไป”คนฟังกลืนก้อนสะอึกลงคอทันที “ผมให้เวลาคุณหนึ่งอาทิตย์ในการตัดสินใจ หนึ่งอาทิตย์แรกคุณจะไม่มีบ้าน อาทิตย์ที่สองคุณจะไม่มีแม้แต่ร้านจะให้ทำมาหากินให้เลือกเอาแล้วกันครับ ส่วนไม่มีบ้านคุณสามารถเอาของที่บ้านมาฝากไว้ที่บ้านผมก่อนได้”ทนายกระซิบเสียงเบาเพื่อไม่ให้ใครได้ยิน กระแสคำพูดวิ่งเข้าสมองน้อยๆอย่างรวดเร็ว ถึงคุณทนายตรงหน้าจะหน้าไม่ตายเท่าชายที่เธอเคยพบมาก่อน แต่หน้าเขาก็ปรากฏแจ่มชัดแบบไม่ต้องสงสัย เธอยังจำหน้านิ่งเฉยของเขาได้ดี
“ช่วยบอกเขาทีนะคะว่าฉันอยากพบเขา”น้ำเสียงแหบพร่าถูกกลั่นออกมาจากลำคอ
“ไม่มีปัญหาครับเจ้านายผมจะมาพบคุณภายในเย็นวันพรุ่งนี้แน่นอน”เขาวางแผนทุกอย่างไว้หมดแล้วกระทั่งคาดการณ์ว่าเธอจะต้องการพบเขาแน่ๆ ทนายหนุ่มพูดจบก็ขอตัวกลับทันที
ทิ้งให้หญิงสาวนั่งหมดสภาพอยู่บนเก้าอี้เหมอลอยมองตามทนายหนุ่มนั่งรถหรูออกไป เขามีทนายกี่คนกัน แล้วเขาทำแบบนี้ได้อย่างไรกัน ไม่ต้องสงสัยอีกต่อไปคำพูดเขาเมื่อหลายเดือนก่อนวิ่งวนเข้ามากระแทกก้านสมองเธออย่างจัง ‘คุณรู้ว่าผมรวย คุณควรจะรู้อีกว่าคนรวยทำอะไรได้หลายอย่าง’ นั่นคือสิ่งที่เขาพยายามจะเตือนเธอสินะ เธอนั่งถอนหายใจหมดอาลัยตายอยากไหลร่างบางลงตามเก้าอี้แทบจะลงไปนอนอยู่กับพื้นอย่างมดเรียวหมดแรง
“เจ๊ เจ๊!!”
“อะไร!! มีอะไรก็ไปทำสิ!”เธอตะหวาดผนักงานผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่กลับ
“ผมทำอยู่ เจ๊อ่ะขวางทางผม ลุกๆ ผมจะถูกพื้น”เอวาทำหน้าเบ้ใส่หนุ่มเกาหลีอย่างหมั่นไส้ รีบลุกเดินฉับๆออกไปทันที เธอจะทำยังไงดีหล่ะทีนี้เขารู้หมดแล้วว่าเธอไม่มีอะไรจะไปต่อรอง
“แกมันเลว”เธอสบถออกมาออย่างเข่นเขี้ยว คนฟังถลึงตาใส่เงยหน้าจากพื้นพุ่งสายตามาที่ร่างบางทันที
“ผมให้เจ๊ลุกแค่นี้เจ๊ต้องด่าผมขนาดนี้เลยเหรอ”
“โอ๊ะไอ้นี่!!!”พูดจบเธอก็ทำท่าไม่ได้ดั่งใจเดินหนีเข้าครัวไป ทิ้งให้คนงงก็งงต่อไปกับอารมณ์แปรปรวนของผู้หญิง
“คุณต้องการอะไรว่ามา”ครั้งนี้เขาไม่ได้มาพร้อมกับชายหนุ่มหน้าสวยคนนั้นแต่เป็นบุคคลที่มีลักษณะใกล้เคียงกับเขา ใบหน้าหล่อเหลาใกล้เคียงกันแต่ออกไปทางละตินนิดหน่อย ขณะที่นัยน์ตาสีฟ้าใสนั้นสามารถบอกความรู้สึกได้ผิดกับคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าเธอ ‘สัมภาษณ์งานรึไงเนี่ย!!’ แค่มองเธอก็รู้สึกเหมือนลมจะจับ
“ฉันขอผ่อนไปก่อน”
“ผ่อน...”
“คือยืดระยะเวลาออกไป”
“ช้าเร็วก็ต้องแต่งหนึ่งปีเท่ากัน สู้แต่งเร็วเลิกเร็วไม่ดีเหรอ”คนที่อยู่ข้างๆพูดขึ้นในที่สุด เสียงนั้นนุ่มชวนฟังกว่าชาร์ลที่อยู่ตรงหน้าเธอมาก แต่คำพูดเขาก็ทำให้เธออึกอัก
“มันก็จริง แต่... ฉัน ไม่เคยเจอหน้าคุณชาร์ลมาก่อน คุณจะให้ฉันแต่งงานกับใครทันทีไม่ได้”
“แล้วจะเอายังไง”ชาร์ลพูดเสียงเรียบ จะเอายังไงถามฉันตอนนี้ฉันก็ไม่รู้ เธอบ่นในใจ หลังจากทุ่มเทเวลาคิดมาทั้งคืนแต่เธอก็คิดไม่ออกอยากจะไม่แต่งไม่แต่งอยู่ท่าเดียวแต่ถ้าทำอย่างนั้นทั้งบ้านทั้งร้านก็โดนยึดหมด
“ฉัน ฉันก็ยังไม่รู้”
“ถ้าคุณบอกว่าคุณเพิ่งเคยเจอหน้าเลยแต่งไม่ได้ เพราะฉันนั้นผมขอเสนอให้คุณไปอยู่ที่อังกฤษกับชาร์ลเลย หรือไม่ก็ให้ชาร์ลมาที่นี่ลองคบกันดูก่อน”นัยน์ตามรกตคมกริบหันไปมองเพื่อนที่นั่งออกความเห็นอยู่ด้านข้าง จริงอยู่ที่ชายด้านข้างมีตรรกะศาสตร์เป็นเลิศแต่มันจะมากไปมั๊งที่เสนอให้เขามาที่นี่
“ผมจะไม่มาที่นี่แน่”
“ฉันก็ไม่ไปที่นั่น ที่นี่มางานที่ฉันต้องทำ”
“ถ้าพวกคุณไม่ลดลากันคนละครึ่งทาง แล้วจะไปเจอกันตรงไหนได้หล่ะครับ สุดโต่งจนสวนทางกันทั้งคู่แบบนี้”
“ใครว่าฉันอยากจะไปเจอคะ”เอวาพรวดออกไปอย่างรวดเร็ว เป็นอย่างที่โดมินิคว่าจริงๆนั่นแหละ หญิงสาวคนนี้เป็นคนตรงจัดจริงๆด้วยไม่คิดจะผ่อนจะลดใดๆทั้งสิ้น เหมาะเพื่อนเขาสุดๆจนแทบจะเป็นเส้นขนานกัน คุณพ่อคิดอะไรอยู่ครับผมปวดหัว ไมเคิลมองสองหนุ่มสาวอย่างพิจารณ์อีกครั้ง
“คุณเป็นคนที่ไม่มีทางเลือก”เขาควบคุมพนักงานโดยให้ทางเลือกพวกนั้นจนเคยตัว แต่คนตรงหน้าไม่ใช่พนักงาน มันก็ยากหน่อยที่หล่อนจะเลือกอะไรซักอย่างเพราะถ้าหากหล่อนยอมทนไร้บ้านไปซักหนึ่งปีมรดกของพ่อชาร์ลก็เป็นของหล่อน และผู้หญิงก็ทนเก่งพอตัว ไมเคิลวิเคราะห์
“ฉันต้องการเวลา แต่งงานมันไม่ใช่เรื่องเล็กของผู้หญิงนะคะคุณ”
“แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่”ไม่ใช่เรื่องใหญ่ พูดมาได้ยังไง เธอพ่นลมหายใจออกมาอย่างเหลือเชื่อ มันทั้งชีวิตของฉันเลยนะเว้ยผู้หญิงแต่งงานแล้วใครจะไปเอาว่ะ หล่อนรู้ตัวดีว่าไม่ได้สะสวยแถมยังนิสัยห้าวเกินจะแกงจะหาผู้ชายซักคนในชีวิตยังลำบาก 25 ปีที่ผ่านมาที่เข้ามาจีบหล่อนก็มีแต่รุ่นพี่รุ่นน้องที่เป็นดี้ทั้งนั้น ขืนแต่งงานแล้วต่อให้จะบอกว่าไม่เคยมีอะไรกันใครจะเชื่อ แต่งกับฝรั่งอีกยิ่งแล้วใหญ่เกิดมาต่อให้พูดภาษาได้มากมายแค่ไหนอ่านนิยายไปเยอะแยะ ผู้ชายจะเปลี่ยนเทรนกี่ครั้งเธอก็ยังชอบชายไทยผิวเข้มอยู่นั่นเอง
“ใหญ่มากสำหรับฉันคะ”ในที่สุดเธอก็ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน คิดๆดูเขาคงไม่เข้าใจชีวิตชาวบ้านทั่วไปสินะ “การแต่งงานของผู้หญิงเป็นเรื่องใหญ่มากคะ ยิ่งถ้าผู้หญิงแต่งงานแล้วครั้งหนึ่งใครจะเอาคะฉันเป็นหญิงไทยนะคะคุณ นิยมแต่งงานกันแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ถ้าฉันเลิกกับคุณยังไงเสียฉันก็ต้องกลับมาเมืองไทยจริงมั๊ยคะ แล้วฉันก็ต้องใช้ชีวิตแบบไทยเพราะฉะนั้นสำหรับสังคมฉันมันใหญ่มากคะ”เอวาพยายามอธิบายอย่างใจเย็น
“นี่มันปีสองพันสิบสาม”
“สังคมฉันมันไม่ได้เปลี่ยนไปตามการเวลาเหมือนสังคมคุณ ค่านิยมประเพณีมันไม่ได้เปลี่ยนไปง่ายขนาดนั้น เพราะฉะนั้นเห็นใจฉันด้วยเถอะคะ”
“คุณก็รอร้านและบ้านคุณถูกยึดไป”เขาพูดออกมาอย่างง่ายได้ไม่สะท้านซักนิด
“คุณไม่เข้าใจฉันเลยเหรอคะ”ไมเคิลนั่งเก็บข้อมูลนิ่ง เขาจะไปเข้าใจอะไรเล่าเขาเป็นนักธุรกิจที่เห็นผลประโยชน์มาที่หนึ่ง ไม่ได้เห็นค่าวัฒนธรรมประเพณีค่านิยมอะไรพวกนั้นมากนักหรอก ยิ่งไอ้ที่น้องสะใภ้พูดไปทั้งหมดมันเป็นประโยชน์เข้าตัวเธอทั้งสิ้นคนที่แสวงหาแต่ผลประโยชน์และจุดมุ่งหมายในชีวิตของตัวเองอย่างชาร์ลเขาไม่มีวันยอมรับมันแน่
----------------------------------------------------------------------
มีข้อผิดพลาดด้านสะกดคำผิดอะไรรบกวนบอกด้วยนะคะ
ขอบคุณที่หลงเข้ามาชมคะ ^^