บอกเล่าเก้าสิบ : มิตรภาพบนรถไฟ : จากซานต้าโมนิก้า และเคดาห์ มาเลเซีย พบปะ ณ เส้นทางสู่เวียงจันทน์

บอกเล่าเก้าสิบ : มิตรภาพบนรถไฟ : จากซานต้าโมนิก้า และเคดาห์ มาเลเซีย พบปะ ณ เส้นทางสู่เวียงจันทน์  (ฉบับเพิ่มเติมจากบนรถไฟ)

เขียนบนตู้รถไฟที่ 11 สายกรุงเทพ-หนองคาย ขบวนที่ 69 โดย Sony Xperia P (เพิ่มเติมบางส่วนที่ เวียงจันทน์ สปป.ลาว)

(ปกติสิงสู่อยู่เฉลิมไทยนะครับ แต่มีโอกาสได้เจอเรื่องดีๆระหว่างเดินทางจึงนำมาแบ่งปันกัน ผิดพลาดในการเขียนยังไงขออภัยด้วยนะครับ ^^ )

มีทริปด่วน(คำสั่งจากบอส)ให้เดินทางไปลาวโดยรถไฟตู้นอนกับเพื่อนร่วมงานอีกสองคน ซึ่งตอนขึ้นรถไฟก็มีเรื่องให้น่าตื่นเต้นกันมาก่อนเลยทีเดียว รถไฟขบวนที่ 69 กรุงเทพ หนองคาย บนตั๋วระบุเวลาไว้ 2 ทุ่ม ไปถึงหัวลำโพงตั้งแต่หนึ่งทุ่มครึ่ง ยังไงก็ทันแน่ๆ พอช่วงไกล้ 2 ทุ่มประกาศเรียก เพื่อนอีกคนไปเข้าห้องน้ำ ซึ่งเราคิดว่ายังไงก็ทันเพราะตอนเดินไปที่ชานชาลา เวลายังไม่ 2 ทุ่ม 5 นาทีเลยด้วยซ้ำ แต่พอไปถึงชานชาลาที่ 5 กลับว่างเปล่า และปายที่ขึ้นคือ "นราธิวาส เวลา 22.XX" งงสิครับพี่น้อง ถามนายสถาทีทราบความว่ารถออกไปแล้ว สองทุ่ม เป๊ง!!! .......... อาการตอนนั้น มึน งง และแบลงค์เป็นที่สุด อะไรฟระ ปกติชั้นขึ้นก่อนเวลา ดันเลทกันเป็น 20-30 นาที วันนี้ดันมาออกตรงเวลาเป๊งแบบไม่รีรอผู้ใด แต่ทันในนั้นเอง.......

กลุ่มชายฉกรรจ์ราว 5-6 คนกลุ่มนึงบึ่งมาที่เราสามคนที่กำลีังมึนงงกับเหตุการณ์ตกรถไฟ!! เข้ามาถามว่า "หนองคายใช่มั้ยๆ" เราพยักหน้า เขารีบพาเราให้ตามเขาไปโดยทันที พอวิ่งไปถึงด้านข้างหัวลำโพง กลุ่มชายฉกรรจ์กลุ่มนี้เร่งให้เราขึ้นซ้อนมอเตอร์ฺไซด์อย่างเร่งด่วน เพื่อที่จะจับรถไฟให้ทันที่สถานีสามเสน เพราะออกไปได้ไม่นาน ด้วยเหตุฉะนี้ การนั่งมอเตอร์ไซด์แบบผาดโผนที่สุดในชีวิตราวกับหนังแอ็คชั่นฮอลลีวู้ดจึงเกิดขึ้น !!!

มอเตอร์ไซด์ 3 คัน พาคน 3 คน ตามล่ารถไฟ!!!! บึ่งไปแบบเร็วมาก ไฟแดงไหนผ่าได้ ผ่า!!! และซิ๊กแซ็กซ่อกแซ่กกันแบบชำนิชำนาญเป็นอย่างยิ่ง .... แต่แล้ว สามเสนไม่ทัน วิ่งต่อไปบางซื่อก็ไม่ทัน ได้แต่เห็นท้ายรถลิบๆ แต่เนื่องจากถนนไม่ได้เลียบทางรถไฟไปโดยตลอด ทำให้คลาดรถไฟในที่สุด จนมอไซด์เอ่ยว่า "ไม่ทันไม่คิดตังค์"

แต่แล้วเมื่อถึงสถานีนึง  ซึ่งถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นพหลโยธิน ไปถึงปั๊บ ประกาศเรียกเตรียมตัวเพราะรถกำลังมาพอดี ใจชื้นกันถ้วนหน้า แต่...!!!

เมื่อทันก็ต้องคิดตังค์ ชายคนที่น่าจะเป็นหัวหน้ากลุ่ม ผมยาว ไว้หนวดสไตล์น้าอู๊ดเป็นต่อ แจ้งราคาที่แม้แต่หมายังตะลึง "สถานีละ 180 สามสถานี คนละ 560 บาท!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!"  

ด้วยจากการที่รถไฟก็กำลังมา คนเขาก็ร่างกายบึกบึน ทำให้เราไม่มีอำนาจในการต่อรองใดๆ ยอมจ่ายแต่โดยดี ซึ่งเขาเองก็พาไปส่งถึงชานชาลา สอบถามได้ความว่าทำแบบนี้ทุกวัน คนนึงที่มาส่งเพิ่งกระดูกหักใส่เหล็ก อีกคนนึงจมูกแหว่ง เพราะขี่เสียงตายแบบนี้ทุกวัน แต่ที่ประสบอุบัติเหตุคือขากลับ ไม่มีผู้โดยสาร ซึ่งที่คิดเรทนี้เพราะร่วมค่าเสี่ยงตาย (ซึ่งผมว่ามันก็เกินไปอยู่ดี) และยังไม่การบอกด้วยว่าคนไทยนะถึงคิดเรทนี้ ต่างชาติมาแบบนี้คิดราวๆ 700-900 เลยเชียว ซึ่งเวลาขึ้นรถประมาณ 2 ทุ่ม 40 นาที ซึ่งหลังจากขึ้นรถไปประมาณ 15 นาที สายโทรเข้ามา บอกว่าจากกรุงเทพ ถามว่าผมขึ้นรถหรือยัง!!! เอิ่ม เร็วไปหน่อยไหมครับพี่

หมดเรื่องตื่นเต้น มาเข้าเรื่องดีๆตามหัวข้อกันดีกว่า ทริปนี้มีโอกาสได้เจอคนสามคนโดยบังเอิญ จากการที่เราชอบอากาศแบบสบายๆชิลล์ๆ ที่เป็นธรรมชาติ จึงอดไม่ได้ที่จะเดินลัดเลาะไปที่รอยต่อรถไฟที่ประตูเปิดอยู่ หรือไปที่ตู้เสบียงเพื่อสัมผัสกับอากาศธรรมชาติ ไม่ว่าจะต้องทะลุกี่โบกี้ก็ตาม (ราวๆ 3-4 โบกี้)

ซึ่งตอนแรกที่ไปนั้นไม่ได้สั่งอะไรไปยืนดุ่มๆ แต่เพื่อนเราอยากกินเบียร์ขึ้นมา เราไม่รู้ราคา เห็นฝรั่งนั่งอยู่ 2 คนชายหญิงเลยหน้าด้านเข้าไปถามราคา ซึ่งเขาเองก็ไม่รู้ แค่สั่งมาดื่มกันก่อน เราก็บอกว่าไม่เป็นไร

แต่อาการอยากฟุึดฟิดฟอไฟของผมก็เกิดขึ้น เลยสานต่อบทสนทนาแบบเบื้องต้นไป ไปลงไหน มาจากไหน ไปไหรมาบ้าง ฯลฯ จากบทสนทนาเล็กๆเกิดกลายเป็นการคุยกันที่ค่อนข้างยาว จนพนักงานรถไฟมาไล่ บอกว่า ถ่้าจะนั่ง "ต้องสั่งอาหารหรือเครื่องดื่ม" เราเองก็ต้องออกไปโดยปริยาย แต่เนื่องจากยังไม่ถึงเวลานอน และอย่างที่บอก นั่งรถไฟทั้งที นั่งชั้นบนไม่เห็นวิว ไม่ตากอากาศโดยรอบก็เหมือนจะเสียผลประโยชน์ของการรถไฟไทยที่มอบให้ไป เลยชวนเพื่อนไปกันอีกรอบ

อ้อยอิ่งกันอยู่นานกว่าจะเดินไปถามได้ความว่าขวดละ 130 เอามาหนึ่งขวด เราเองไม่ค่อยกินหรอก แต่อยากตากอากาศ ให้เขาเอาแก้วเปล่าให้สองแก้ว สองคนนั้นยังคงอยู่ เขาก็เชิญเรานั่งด้วย ส่วนเพื่อนร่วมงานเราขอสูบบุหรี่ข้างนอก

สองคนนี้เป็นชาวอเมริกา จากซานต้า โมนิก้า แคลิฟอร์เนีย ฝ่ายชายชื่อคริสต์เป็นนักพัฒนาชิพคอมพิวเตอร์ ฝ่ายหญิงฮอลลี่เป็นมาร์เก้ตติ้ง และยังมีบล้อกส่วนตัวกับเพื่อนๆเล่าเรื่องราวต่างๆที่ได้พบเจอระหว่างการท่องเที่ยว ตามลิงค์นี้  http://www.aliceintikiland.com/

ซึ่งทั้งสองออกจากงานและออกท่องเที่ยวแบ็คแพ็ค 1 ปี ซึ่งไปมาแล้วทั้งเกาหลี ฮ่องกง กัมพูชา เวียดนาม ไทย และกำลังจะไปลาวประมาณสองสามสัปดาห์ แลกเปลี่ยนกันากมายไม่ว่าจะเป็นเพลง หนัง หนังสือ และจิปาถะอื่นๆ โดยเฉพาะเรื่องของสถานที่ท่องเที่ยวที่เราแนะนำเขาไป ไม่ว่าจะเป็น มิวเซียมสยาม /บ้าน จิม ทอมป์สัน/ คลองหลอด/ บราวน์ชูก้า แจ้ส/  สวนสันติ / ร้าน Joy Luck Club ฯลฯ แต่ที่สำคัญคือเขาอยากไปเที่ยวสถานที่สงบๆ ที่คนไม่พลุกพล่าน เลยแนะนำเกาะพยาม ระนอง และทับสะแก เกาะทะลุที่ประจวบ ซึ่งส่วนตัวผมคิดว่านักท่องเที่ยวไปไม่เยอะ ราคาถูก และที่สำคัญ มันไม่ป้อบปูลาร์เกิน จนเจริญและทำลายความงามที่แท้จริงของมันไป   ซึ่งเท่่าที่ได้คุย เขารู้เรื่องของไทยเยอะทีเดียว และที่สำคัญ เราบอกข้อมูลอะไรไป เขาเซิร์จหาข้อมูลในแท้ปเลทของเขาทุกครั้ง เพื่อดู Recommend ต่างๆ

คุยไปสักพักเพื่อนเราขอตัวกลับไปนอนก่อน (เรียกตั้งนานให้นั่งก็ไม่ยอมมา) เราเองก็คุยกันต่ออีกหลายเรื่องมากมายจนถูกคอกัน คุยกันจนตู้เสบียงปิด จึงแยกย้ายกันกลับมานอน

เช้าวันต่อมา รถไฟดีเลย์มาก เพราะ 8.45 เพิ่งจะถึงแถวๆห้วยเสียว ซึ่งถามเจ้าหน้าที่บอกว่ามีการเปลี่ยนหมอนราง(หรือรางเนี่ยล่ะ) ทำให้รถไฟแล่นเร็วมากไม่ได้ เราเลยไปที่ตู้สเบียงกะถามหาอาหารเช้า แต่ก็ต้องตะลึงกับราคาของ ไข่ 2 ฟิง ขนมปัง 1 แผ่น+เนยน้อยๆที่ชืดมาก + น้ำส้ม 1 แก้ว และกาแฟ สนนราคาชุดละ 140 บาท ด้วยความที่หิวมาก และต้องการมื้อเช้าเพราะจะถึงหนองคายตอน 11 โมง จึงยอมลงทุนกิน ซึ่งได้เจอกับสองหนุ่มสาวชาวอเมริกันอีกครั้ง ก็ยังแซวกันอยู่ว่า "เสียเยอะเป็นค่าบรรยากาศดีๆกับการนั่งกินบนรถไฟที่กำลังเคลื่อนที่"

ซึ่งมื้อเช้านี้เองได้รู้จักอีกคนหนึ่งชื่อ ชง เป็นชาวมาเลเซียซึ่งเป็นผู้จัดการและมาร์เก้ตติ้งบริษัท Multi purpose insurans เดินทางมากับอีกสองสามคน ไปเที่ยวลาวเช่นกัน

เริ่มต้นคุยเพราะเห็นเขาอ่านหนังสือ The Alchemist ของ Paulo Coelho หรือในชื่อไทย "ขุมทรัพย์ที่ปลายฝัน" ที่เรากำลังอยากหามาอ่านพอดี ได้มีโอกาสคุยหลายๆเรื่องได้รู้แนวความคิดต่างๆ ของเขา แลกเปลี่ยนกันหลากหลาย ชงรู้สึกสนใจมากที่ผมทำำอยู่กับนิตยสาร เพราะชงเองก็เป็น Editor ด้วยเช่นกัน เขาให้อยากให้เราเขียนสิ่งที่พบเจอบนรถไฟทั้งเรื่องดีและไม่ดี(ส่วนใหญ่ก็รู้ๆกันอยู่ล่ะนะว่าเรื่องไหน) เพื่อที่จะได้ปรับปรุง เพราะเขาคิดว่า "สื่อ" มีอำนาจสูงในการปลุกประชาชน และเขาเชื่อแบบนั้น ที่วันนึงสื่อจะทำให้คนที่อยู่เฉยๆ หันมาใส่ใจเรื่องรอบตัวมากขึ้น ปลุกพวกเขาให้ทำอะไรบางอย่างเพื่อเปลี่ยนแปลงโลกนี้ ซึ่งก็คุยเรื่องการเมืองประเทศโน่นนี่ประปราย ซึ่งไทยก็ร่วมอยู่ด้วย ไม่ว่าถกกันเรื่องนโยบายต่างๆ (ต่างชาติเองก็รู้เรื่องนโยบายรถคันแรกนะ เพิ่งรู้ว่าดังขนาดนี้) เหตุผลของรัฐบาล คุยเรื่องรถติด ที่เขามีโจ๊กมาให้ 2 โจ๊กคือ "ที่บ้านเค้า รถติดอยู่ 2 เวลา คือ แปดโมงกับ 4 โมงเย็น แต่กรุงเทพติดอยู่เวลาเดียว .... 24 ชั่วโมง" ส่วนอีกโจ๊กหนึ่งที่เค้าเรียกกันคือ "Bangkok is the Biggest Car Park in the World" นอกนั้นก็คุยเรื่องจิปาถะหลายๆเรื่อง

แต่สิ่งที่ทำให้ยิ้มออกที่สุดคือ การที่เขาประทับใจกับน้ำใจไมตรี รอยยิ้ม และความเป็นกันเองของคนไทย ที่ทำให้เขารู้สึกว่าปลอดภัยที่สุดกว่าเที่ยวที่อื่น ชง ได้เอ่ยขึ้นมาประมาณว่า คนไทยมีรอยยิ้มที่เป็นธรรมชาติ และยิ้มแย้มเสมอ มาจากสังคมหรือพื้นเพของคนไทยที่อัธยาศัยดี ต้อนรับขับสู้ ทำให้เเขาคิดว่าในบรรดาแถบนี้ เมืองไทยเป็นเมืองที่น่าท่องเที่ยวมากที่สุด เขารู้สึกดีกับเมืองไทยเป็นพิเศษ ส่วนคริสต์เอ่ยว่าเขาเคยไปประเทศอื่น เขาต้องระวังตัวตลอดเวลาว่าจะมีใครหลอกลวงเขา หรือโกงเขา เวลามีใครทำดีด้วยก็ต้องคิดไว้ก่อนว่าหลอก แต่กับคนไทยไม่ เราเองก็บอกว่ามันมีทุกที่นั่นแหละไทยห็มี แต่เขาก็ตอบกลับว่า สำหรับไทยเขาไม่ต้องคอยระวังไปทุกที่ แต่เขาก็เจอบ้างเช่นพวกตุ๊กๆ ซึ่งคำที่คริสต์ใช้คือ "Professional" เพราะหว่านล้อมได้เก่งมาก แต่โดยรวมก็รู้สึกดีกว่าที่อื่น และอยากไปหลายๆที่ในเมืองไทย

ได้ยินแบบนี้แล้วก็อิ่มใจที่ได้รู้จักคนที่ชื่นชอบในแง่มุมที่ดีของคนไทย มากกว่าส่วนที่มืด ฟอนเฟะอย่างที่หลายๆคนมอง เพราะทุกที่ก็ย่อมมีปนๆกันไป ขึ้นอยู่กับมุมมองว่าเราจะเลือกมองแบบไหน ซึ่งเห็นแบบนี้เราคนไทยก็ควรที่จะหันมามองตัวเองกันสักเล็กน้อยว่าสิ่งที่เรากำลังทำและแสดงให้คนต่างแดนเห็นนั้น เป็นเช่นไร เพื่อที่เขาจะประทับใจและเข้ามาเมืองไทยกันมากขึ้น ด้วยเอกลักษณ์ "ยิ้มสยาม" ของเรา ที่อยากให้อยู่คู่คนไทยตลอดไป

ได้มีโอกาสแนะนำไปหลายที่ในกรุงเทพซึ่งเขาบอกว่ากลับมาไทยแล้วคงมีโอกาสได้เจอกัน อาจนัดกินข้าว จิบเบียร์กัน ซึ่งก็ได้แลกนามบัตรขอเมลล์กันเรียบร้อย

ขอบคุณการเดินทางครั้งนี้ที่เป็นโอกาสอันดีและได้มีประสบการณ์น่าประทับใจกับมิตรภาพของเพื่อนใหม่จากต่างแดนทั้งสามท่าน และประสบการณ์การๆตกรถที่น่าตื่นเต้นและเป็นบทเรียน ขอบคุณพระเจ้า ^^

ขอบคุณมากครับที่ติดตามอ่านจนจับกับนักเขียนมือใหม่ ^^
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่