จอมเวทไร้พลัง ตอนที่ 11

กระทู้สนทนา
เสียงใครบางคนกำลังร้องไห้ อิกริดในสภาพคล้ายหมอกควันคิด รอบด้านเปลี่ยนสภาพไป ป่ารอบด้านเลือนรางเปลี่ยนสีสัน ดวงตะวันพลังลอยขึ้นเหนือหัวฉายแสงสว่างรอบบริเวณ จากแมกไม้สีเขียวขจีกลับกลายเป็นห้องแถวยาวกลางแหล่งชุมชน หากอิกริดยังดมกลิ่นได้เขาคงได้กลิ่นขนมปังอบใหม่ของร้านขนมปัง หรือกลิ่นเหม็นอับของตรอกเล็กๆซึ่งบรรจุด้วยห้องแถวนับสิบๆห้อง

      เสียงร้องไห้ยังดังไม่หยุด ดวงตาที่ไม่มีอยู่จริงของอิกริดสอดส่ายหาต้นเสียง เขาคาดว่าจะพบคนคุ้นหน้าได้ที่นี่

      ร่างโปร่งแสงของอิกริดไปหยุดหน้าเด็กคนหนึ่งที่กำลังนั่งงอตัว ร้องไห้อยู่ข้างประตูห้องๆหนึ่ง อายุน่าจะประมาณสิบปี ร่างเล็กบอบบางสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว เสื้อผ้าสีขาวมอมแมมไปด้วยฝุ่นโคลน ผู้คนที่ผ่านไปมามองเขาด้วยความสงสารทว่าไม่มีใครสักคนยื่นมือเข้ามาช่วย เหลือ

      “ข้าสั่งเอาไว้ว่าอย่างไร! หากยังต่อเกวียนไม่เสร็จไม่ต้องกิน!” ต้นเหตุความกลัวของเด็กน้อยคือเสียงตวาดลั่นของชายร่างท้วมคนหนึ่ง เทียบกับเด็กตรงหน้าแล้วดูเหมือนกับหมูอ้วนที่จ้องมองลูกงูตัวน้อยด้วยความ หิวโหย ม้าสีเทาข้างๆยังดูอ้วนพีกว่าเด็กคนนั้นเสียอีก “แถมยังไปขอคนอื่นกินอีก! อย่างนี้ข้าก็กลายเป็นอะไร คนอื่นจะมองข้ากับนายท่านอย่างไร ในเมื่อคนที่อยู่ในความดูแลเที่ยวเดินไปทั่วเพื่อขออาหารจากคนนอก!”

      “ข้าหิวขอรับ” เสียงครวญครางจากเด็กน้อยไม่ช่วยอะไรเลยสักนิด “ข้าไม่ได้กินอะไรมาสามวันแล้ว แถมยังเหลืออีกห้าหลังที่ต้องต่อ ข้าทำคนเดียวไม่ไหว”

      อิกริดคิดว่าเด็กคนนี้ช่างอ่อนแอเหลือทน แต่เจ้าอ้วนที่เริ่มเห่านั่นน่ารำคาญยิ่งกว่า

      “เจ้ามันหนอนเมือกจอมขี้เกียจ!” ร่างเล็กเริ่มหลั่งน้ำตาอีกครั้ง “กับอีแค่เกวียนเจ็ดแปดหลังสามวันยังต่อไม่เสร็จ เจ้ายังต้องไปเตรียมมัดฟางเป็นอาหารม้าสำหรับเดินทางอีกหนึ่งเดือน แล้วเมื่อไรเราจะได้ออกค้าขายกัน! เป็นความผิดของเจ้าที่ทำให้เกวียนเก่าทั้งหมดไหม้จนใช้ไม่ได้ หนีมาไกลขนาดนี้คิดว่าจะรอดไปได้หรือ กลับไปคฤหาสน์กับข้า เจ้ามีงานต้องทำต่อ”

      “แล้วพวกเจ้าก็จำใส่หัวเอาไว้” ชายอ้วนหันไปคำรามกับคนผ่านไปมา ซึ่งเป็นคนที่อาศัยอยู่แถบนั้น “หากใครให้ความช่วยเหลือเจ้าเด็กคนนี้อีก จะต้องเจอกับข้า!”

      อิกริดหันมองไปรอบตัว เขาต้องจ้องมองสิ่งใดกัน บางทีอาจเป็นอดีตของใครสักคน เขาสะดุดกับผมของเด็กน้อยคนนั้น สีของมันคุ้นตาอย่างบอกไม่ถูก เป็นไปไม่ได้หรอก อิกริดส่ายหน้ากับตัวเองแล้วหันไปมองทางอื่นเพื่อหาสิ่งที่ต้องดู

      กระทั่งมีคำหนึ่งหลุดออกมาจากเจ้าอ้วนท่าทางเหม็นเหงื่อคนนั้น

      “ลุก! แล้วเดินไปได้แล้วเวเบอร์! หรือจะให้ม้าข้าลากไป”

      หากยังมีร่างอยู่อิกริดคงลืมตาโพลงอ้าปากค้าง เด็กคนนั้นคือเวเบอร์หรือ เวเบอร์คนนั้น! หรือผู้กล้าพัวร์รีนจะเบื่อจึงสร้างภาพขึ้นเองเหมือนสร้างละครฉากหนึ่ง

      เด็กชายยันตัวลุกขึ้นอย่างไร้เรี่ยวแรง แล้วเดินตามม้าที่แบกหมูอ้วนจอมยโสเอาไว้บนหลัง มุ่งหน้าสู่คฤหาสน์หลังใหญ่ที่สุดสายตา

      แววตาสีพระจันทร์แดงของเด็กน้อยแข็งกร้าวขึ้นชั่วลมหายใจหนึ่ง แล้วก็แผ่วลงกลับเป็นโศกสลดอย่างเดิม คงมีอะไรสักอย่างในใจของเด็กน้อยที่ทำให้ไม่กล้าลุกขึ้นสู้

      เวเบอร์ก็เคยมีช่วงเวลาแบบนี้ด้วยหรือ ดูจากร่างผอมซูบข้อมือเรียวเล็กแล้วคงไม่ได้รับการเลี้ยงดูอย่างที่ควรแน่ มันต่างกับภาพที่เห็นก่อนหน้านี้ราวฟ้ากับเหว

      ในที่สุดอิกริดก็นึกประวัติเวเบอร์ที่เขารู้ออก ช่วงหนึ่งของชีวิต เวเบอร์ต้องไปอาศัยอยู่กับญาติที่ทำการค้า ก่อนได้พบกับผู้กล้าพัวร์รีน ไม่มีใครรู้ว่าตอนนั้นเป็นอย่างไร ไม่มีใครพบบันทึกเลยสักฉบับ มันดูน่าสงสัยในความคิดของอิกริด

      ในฉับพลันแสงสว่างก็ค่อยๆดับลง ดวงอาทิตย์ยามบ่ายมอดแสงลงอย่างผิดธรรมชาติ ฉากห้องแถวเลือนรางแล้วกลายเป็นความมืดมิดราวเที่ยงคืนอยู่พักหนึ่ง ราวกับกำลังเฟ้นหาอดีตออกมาให้อิกริดได้ชมอีก

      เวเบอร์ก็เคยอ่อนแอเหมือนกัน เหมือนกับเขา

      นานเท่าไรไม่รู้ได้ที่อิกริดตกอยู่ในห้วงภวังค์แห่งความคิด ผู้กล้าพัวร์รีนต้องการอะไรกันแน่จึงให้เขาเห็นภาพเหล่านี้ เหลียวมองอีกครั้งรอบด้านก็กลายเป็นทางด่านกว้างกลางป่าโปร่ง กลางทางมีซากเกวียนพ่อค้าที่เพิ่งหักพังสดๆร้อนๆ ข้าวของกระจัดกระจายเคียงไปกับซากศพของผู้คน มีจำนวนหนึ่งโพกหัวด้วยผ้าสีดำราวกับเป็นสัญลักษณ์ของกลุ่ม

      “อย่างน้อยเราก็ช่วยได้คนหนึ่ง!” เสียงเรียบดุจกำมะหยี่อุทานด้วยความโล่งใจ

      ที่อยู่ตรงนั้นคือคนที่อิกริดนึกถึงอยู่เมื่อครู่ ผู้กล้าพัวร์รีนในชุดคลุมสีม่วงดอกไลแลคเปล่งประกายประหลาด ห่างไปไม่ไกลเทพีเฟเรซิสในชุดเกราะสีเงินกำลังเก็บดาบเข้าฝักอย่างสงบ แล้วก็มีพรรคพวกของผู้กล้าอีกสองคนกำลังพิจารณาสิ่งที่เคยเป็นสินค้าบนขบวน เกวียนอย่างเสียดายขณะควบคุมม้าเทียมเกวียนไม่ให้เตลิด

      ผู้รอดชีวิตจากที่เกิดเหตุคือเด็กผู้ชายคนเดิมแต่โตขึ้นเล็กน้อย ทว่าร่องรอยความโหดร้ายที่ถูกกระทำยังปรากฏที่แววตา ใบหน้า และแขนขา เสื้อผ้าใหญ่ขึ้นแต่ยังมอมแมมเหมือนเดิม ราวกับนำผ้าขี้ริ้วมาสวมใส่

      “ของพวกนี้ข้าพอได้ไหมพอล” พรรคพวกคนหนึ่งของผู้กล้าพิจารณาข้าวของที่ยังไม่เสียหายมาก

      พรรคพวกผู้กล้าก็คนล่ะนะ หากอิกริดถอนหายใจได้คงทำไปแล้ว

      “พวกเราคือผู้กล้าของเด็กๆนะพีเตอร์” อดีตผู้กล้ากล่าว อิกริดกำลังจะเอ่ยชมในใจอยู่แล้วหากไม่ได้ยินประโยคถัดไป “เราต้องตกลงกับผู้รอดชีวิตก่อนว่าจะเรียกค่าช่วยเท่าไร พอเสร็จก็เข้าหมู่บ้านหรือเมืองที่ใกล้ที่สุดเพื่อหาพยาน จากนั้นจึงค่อยกลับมาขนด้วยมนตร์เคลื่อนย้าย ข้าก็อยากได้ชุดเครื่องเงินตรงนั้นเหมือนกัน หรือเจ้าว่าอย่างไร พวกเราเป็นคนช่วยชีวิตเจ้านะ”

      “เอาไปเลย แค่ปล่อยข้าเป็นอิสระก็พอแล้ว” เวเบอร์ในสมัยนั้นอายุประมาณสิบห้าปี ตัดผมสั้น แขนขาผอมลีบเหมือนกระดูกซี่โครง อิกริดไม่รู้ว่าเวเบอร์มีชีวิตอยู่ได้อย่างไร และไม่อยากรู้ด้วย

      อดีตผู้กล้าขมวดคิ้วเพื่อมองดวงตาอีกฝ่ายให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ความประหลาดใจผุดขึ้นบนสีหน้าอย่างปิดไม่มิด

      “ข้าเปลี่ยนความทรงจำของเขาให้ก็ได้” เทพีเฟเรซิสเอ่ยขึ้นอย่างเสียไม่ได้ ปีกสีขาวพิสุทธิ์โบกสะบัดในภาพฝันของอิกริด ไม่ว่าเมื่อไรพระนางก็สวยจนลืมไม่ลง

      “ชื่อสกุลของเจ้า คงไม่ใช่เฟียร์เลสหรอกนะ ข้าเดาจากดวงตาคู่นั้น” อดีตผู้กล้ายกมือห้ามว่าที่ภรรยา เวเบอร์ในอดีตพยักหน้าอย่างอ่อนล้า “เจ้ารู้หรือไม่ ตำนานของดวงตาที่เจ้าครอบครอง พลังที่ได้รับเพื่อตอบแทน”

      เด็กหนุ่มผอมบางพยักหน้าแล้วเบือนหน้าหนี ราวกับเพิ่งถูกสัมผัสบนบาดแผลเก่าแก่ที่อยากจะลืม

      “แล้วเหตุใดเจ้าไม่สู้ ในเมื่อเจ้ามีพลังอยู่แล้ว”

      “ข้าเหนื่อยมากพอแล้ว ข้าถูกล่ามไว้ใช้ด้วยคาถาของตาแก่ตรงนั้น” อิกริดหันไปมองตามนิ้วของเวเบอร์ ชายอ้วนผิวคล้ำนอนกองกับพื้น ร่างนั้นปกคลุมด้วยเลือดสีแดงฉานเหมือนซอสมะเขือบนก้อนเนื้อสัน “จะตายก็ตายไม่ได้ ทำได้แค่อยู่อย่างทรมาน”

      เหมือนกันเหลือเกิน เขาพอเข้าใจความรู้สึกของเวเบอร์ตอนนี้ เหนื่อยหน่ายกับชีวิต แทบอยากตายแต่ตายไม่ได้

      “ตอนนี้ข้าสามารถตายได้แล้ว” เวเบอร์ในอดีตพูดอย่างมีความหวัง ผิดกับดวงตาที่หม่นหมอง “ได้โปรดให้ข้าตาย แล้วพวกท่านจะเอาของนั่นก็เอาไป มันไม่ใช่สมบัติของข้า”

      “คิดจะทำอะไรเล่นแก่เบื่อบ้างหรือไม่” อดีตผู้กล้าพูดทีเล่นทีจริง มุมปากเผยอยิ้มอย่างเปิดเผย “ข้าจะบอกวิธีให้”

      “ให้ข้าเชือดคอเขาเสียก็สิ้นเรื่อง” ว่าที่เทพีโผล่งขึ้น

      “ไหนๆเจ้าอยากตายแล้วก็มาเป็นของเล่นของข้าดีกว่า มาทำประโยชน์ให้ข้า เจ้าก็แค่ทำตามที่ข้าบอก หากเจ้าหมดสนุกจะตายตอนไหนก็เชิญ แต่ไม่ใช่ตอนนี้”

      “แล้วจะให้ข้าทำอะไร”

      อดีตผู้กล้าดูเริงร่าขึ้นเมื่ออีกฝ่ายเข้าใจอะไรได้รวดเร็ว

      อิกริดไม่รู้ว่าอดีตผู้กล้ากำลังเล่นอะไรอยู่ ตามบันทึกเขาจะรับเวเบอร์เป็นน้องบุญธรรมไม่ใช่หรือ

      “ทิ้งทุกอย่างนอกจากชื่อเอาไว้เบื้องหลัง! อดีต! ตัวตน! ความต้องการ!” อดีตผู้กล้ายิ้มอย่างมีเลศนัย “แสดงละครเป็นน้องชายบุญธรรมของข้า ก็แค่อยู่ไปวันๆไม่ต้องทำอะไร คอยดูว่าข้าพอจะเป็นครูสอนเวทมนตร์ได้หรือไม่ สำหรับเจ้าก็แค่เปลี่ยนเจ้านายเท่านั้น แค่อยู่เฉยๆมันไม่ตายหรอกนะ”

      เงาอดีตของเวเบอร์พยักหน้าอย่างสิ้นหวัง ภาพรอบด้านก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง

      คราวนี้ภาพปรากฏขึ้นเป็นฉากๆตรงหน้าของอิกริด เวเบอร์ในอาคารหลักของตระกูลผู้ใช้เวทมนตร์ เป็นจุดหดหู่หนึ่งเดียวในฉากที่เฉิดฉาย

      “ข้าต้องพูดแบบนั้นเพื่อให้กันไม่ให้เขาฆ่าตัวตายเสีย” เงาของอดีตผู้กล้าพัวร์รีนปรากฏขึ้นข้างอิกริด สีหน้าแจ่มใสกำลังรำลึกถึงอดีต อดีตผู้กล้ากำลังพูดกับอิกริดโดยตรง ดูจากใบหน้าแล้วแก่กว่าในภาพฝันเมื่อกี้ บางทีนี่อาจเป็นตัวจริง

      “เจ้าเคยเจอแมวจรหรือไม่ ตอนแรกมันจะระแวงเรา สงสัยทั้งสายตาและคำพูด ไม่เชื่อใจอีกฝ่ายง่ายๆ เวเบอร์ตอนแรกก็เป็นอย่างนั้น ข้าต้องใช้เวลาพอสมควรทำให้เขารู้สึกดีขึ้นแล้วเปลี่ยนเป็นคนใหม่โดยสมบูรณ์ เกือบสมบูรณ์น่ะนะ...พอเริ่มเข้าที่เขาก็ดูดซับและรองรับวิชาความรู้อย่าง หิวกระหายราวทะเลสาบไร้ก้น เริ่มมีเพื่อนฝูงเล็กๆรวมไปถึงคนรัก จนกระทั่ง...”

      เงาของอดีตผู้กล้าหยุดมองอิกริดด้วยแววตาประหลาด ความเมตตาปรานีฉายออกมาท่วมท้นราวกับเป็นผู้ให้กำเนิดเขาจริงๆ

      “ประเด็นของเรื่องนี้คือเจ้าสองคนเหมือนกัน พบความเศร้าโศกเสียใจคล้ายๆกัน เวเบอร์ฆ่าพ่อส่วนเจ้าฆ่าแม่ทางอ้อม รู้หรือไม่ว่าหลังจากนั้นเวเบอร์ทำอย่างไรกับคนที่ล่วงรู้อดีตของเขา หมอนั่นจับไปซ้อมปางตายแล้วปรับความทรงจำส่วนนั้นใหม่ให้ลืมไปเสีย ในโลกนี้พลังคือทุกสิ่ง สุข ทุกข์ สนุก เศร้าหมอง รัก เกลียด ทุกอย่างต้องใช้พลังทั้งสิ้น หากไร้พลังแม้จะตายก็ยังทำไม่ได้ แต่สามารถเกิดใหม่ได้ ถือกำเนิดขึ้นมาใหม่เพื่อพบกับพลังอำนาจ”

      แล้วอิกริดก็เห็นแล้วว่าพลังของเวเบอร์มากมายเพียงไร สุดท้ายแล้วเวเบอร์ก็เลือกใช้พลังเพื่อมีชีวิตอยู่ ไม่ใช่เพื่อความตาย

      “เจ้าอยากมีพลังแบบนั้นบ้างหรือไม่ แค่ทิ้งทุกสิ่งเอาไว้เบื้องหลัง นอกจากชื่อเท่านั้น” อดีตผู้กล้ากำลังล้อเล่นกับเขาอยู่แน่ๆ อิกริดไม่รู้และไม่สนใจอีกแล้วว่าอดีตผู้กล้าต้องการอะไรกันแน่

      แต่สิ่งที่ปรากฏขึ้นในใจของอิกริดคือความโลภที่มากมายมหาศาล เขาอยากได้พลังแบบเวเบอร์บ้าง พลังที่เหนือล้ำจนทุกคนยอมสยบ แม้อีกฝ่ายเป็นผู้ยิ่งใหญ่มาจากไหนก็ทำอะไรเขาไม่ได้ พลังที่ทำให้เทพเจ้าตะลึงงันเมื่อได้พบ เขาไม่มีอะไรแบกรับเอาไว้แล้วนี่นา ถึงแม้มีเขาก็ไม่อยากรับเอาไว้อีกแล้ว

      “นื่คือภาพแสดงตัวตนของเวเบอร์โดยอุปมา เจ้าเห็นว่าอย่างไรล่ะ”

      สิ้นเสียงความมืดก็เข้าปกคลุม อิกริดคาดว่าจะเห็นท้องฟ้าแต่เปล่าเลย ทั้งหมดมีเพียงความมืดเท่านั้น ไม่มีแม้แสงจากดวงดาวหรือดวงจันทร์ เสมือนว่าทุกสรรพสิ่งถูกดูดกลืนจนกลายเป็นความมืดไปหมดแล้วกระนั้น

      “ใช่แล้ว ตัวตนของเวเบอร์คือความมืด ความมืดที่กลืนกินได้ทุกสรรพสิ่ง แม้แต่ความมืดด้วยกันหรือแสงสว่างที่เรียกว่าความหวัง” เสียงของอดีตผู้กล้าดังจากข้างๆ อิกริดมองไม่เห็นอะไรนอกจากความมืดจึงมองไม่เห็นอดีตผู้กล้าด้วย “เจ้าคิดว่าตัวเจ้าจะรองรับความมืดทั้งหมดนี้ได้หรือไม่”

      ต้องลอง! บัดนี้ความโลภเข้าบังตาอิกริดเสียแล้ว อนุสติของเขาเถียงขึ้นว่าหากตื่นขึ้นจะต้องไปสู้กับเวเบอร์ที่หลุดพ้นความ เป็นมนุษย์ไปเรียบร้อยแล้ว

      “ให้ข้าตื่นเถิด ได้โปรด!” อิกริดพูดโดยไม่คิด ตอนนี้เขาไม่คิดอะไรอีกแล้วนอกจากพลังที่เขาอาจแย่งจากเวเบอร์ได้ “แล้วค่อยหาวิธีทีหลัง”

      เสียงร่ายคาถาของอดีตผู้กล้าดังขึ้นเบาๆ อิกริดลืมตาตื่นขึ้นทันที...

(มีต่อ)
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  แต่งนิยาย
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่