ทำไม rojna ลงแรงจังครับ

กระทู้คำถาม
เป็นแบบนี้อีกแล้ว ในขนาดที่ดัชนีกำลังขึ้น rojna สวนกระแสลงซะงั้น

มีใครพอรู้ข่าวของ rojna บ้างมั๊ยครับ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 5
แต่เมื่อวาน กลับมีอีกกลุ่มวิเคราะห์ ตามนี้    

ROJNAสำลักข่าวดี รับทรัพย์คอนโดฯ จีน 3 พันลบ. ขายที่ให้ HONDA 1.6 พันไร่
ROJNA ข่าวดีหนุนราคาหุ้นเพียบ หลังประกาศเตรียมรับรู้รายได้คอนโดฯจากจีน 3 พัน
ล้านบาทในปีนี้ แถมขายที่ดินนิคมอุตสาหกรรมปราจีนบุรีให้ HONDA อีก 1,600 ไร่ โบรกฯมั่น
ใจกำไรปีนี้โดดเด่น โตไม่ต่ำกว่า 22% แถมได้ลุ้นเงินปันผลอีก 0.50 บาทต่อหุ้น แนะลุยซื้อเต็ม
ที่ พร้อมปรับเพิ่มราคาเป้าหมายเป็น 15.30-15.80 บาท
เป็นอีกหนึ่งบริษัทในกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมที่ถูกจับตามากเป็นพิเศษจากนักลงทุน สำหรับ
บริษัท สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จำกัด (มหาชน) หรือ ROJNA เพราะด้วยความโดดเด่นจากงาน
ในมือที่มีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ยอดขายที่ดิน และอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับการตอบรับอย่างดีจากทั้ง
ในและต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นโครงการคอนโดมิเนียมในประเทศจีน หรือแม้กระทั้งที่ดินโรง
งานอุตสาหกรรม ที่ล่าสุด HONDA ออกมาประกาศแล้วว่าจะซื้อที่ดินของ ROJNA ในจังหวัด
ปราจีนบุรีกว่า 1.6 พันไร่ เพื่อตั้งเป็นโรงงานผลิตรถยนต์ ทั้งนี้ ราคาหุ้น ROJNA ปิดการซื้อขาย
วานนี้ ที่ระดับ 13.90 บาท เพิ่มขึ้น 0.30 บาท หรือ 2.21% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 100.37 ล้านบาท

รับเน้นๆ 3 พันลบ.จากคอนโดฯในจีนเฟส 2
นางสาวอมรา เจริญกิจวัฒนกุล กรรมการ บริษัท สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จำกัด (มหาชน)
หรือ ROJNA เปิดเผยกับ eFinanceThai.com ว่า สำหรับโครงการคอนโดมิเนียมในฉางโจว
ประเทศจีน เฟสแรกได้ปิดการขายไปหมดแล้ว ซึ่งในเฟส 2 ได้เริ่มทยอยโอนให้ลูกค้าได้บางส่วน
ตั้งแต่ปลายปีก่อน และก็คาดว่าจะสามารถโอนให้ลูกค้าได้ครบทั้งโครงการให้แล้วเสร็จภายในปีนี้
โดยในเบื้องต้นบริษัทฯ จะรับรู้รายได้จากโครงการดังกล่าวเกือบ 3 พันล้านบาทในปีนี้
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังไม่มีแผนที่จะขยายโครงการใหม่ เนื่องจากต้องพิจารณาเกี่ยวกับ
ภาวะเศรษฐกิจในประเทศจีน รวมถึงทิศทางนโยบายการเงินและแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ
จึงต้องระมัดระวังในเรื่องของการลงทุนก่อน

มั่นใจ เยนอ่อนค่าไม่กระทบการลงทุน
นางสาวอมรา เปิดเผยถึงกรณีที่ค่าเงินเยนของประเทศญี่ปุ่นส่งสัญญาณอ่อนค่าว่า ในเบื้อง
ต้น พบว่าไม่มีผลกระทบกับแผนการลงทุนของผู้ประกอบการประเทศญี่ปุ่นที่จะเข้ามาลงทุนตั้ง
ฐานการผลิตในประเทศไทย เนื่องจากที่ผ่านมาประเทศญี่ปุ่นได้ประสบกับปัญหาภัยธรรมชาติ ส่ง
ผลให้เกิดการขาดแคลนทั้งในเรื่องของแรงงานและระบบสาธารณูปโภคต่างๆ โดยเฉพาะไฟฟ้า
แต่หลังจากที่ได้ปิดโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ลงจึงเป็นแรงผลักดันให้ผู้ประกอบการรายใหญ่ต้องออกมา
ลงทุนนอกประเทศญี่ปุ่นมากขึ้น แม้ว่าค่าเงินเยนจะอ่อนค่าก็ตาม เพราะข้อดีคือช่วยกระตุ้นภาค
การส่งออกของญี่ปุ่น
' การที่ค่าเงินเยนอ่อนค่าไม่ใช่ปัจจัยหลักที่จะมีผลต่อการลงทุนของนักลงทุนญี่ปุ่น ซึ่งเท
รนด์ของการเข้ามาลงทุนตั้งฐานการผลิตในไทยและอินโดฯ มีมาก่อนที่ค่าเงินเยนจะอ่อนค่า และ
ขณะนี้ก็ยังมีแนวโน้มที่นักลงทุนญี่ปุ่นจะเข้ามาตั้งฐานการผลิตในประเทศไทยมากขึ้น เพราะ
ระบบสาธารณูปโภคในประเทศ และแรงงานยังคงมีศักยภาพและเป็นที่น่าสนใจของนักลงทุนต่าง
ชาติ' นางสาวอมรา กล่าว

เล็งตั้งนิคมในอาเซียน
นางสาวอมรา เปิดเผยว่าบริษัทฯ ยังอยู่ระหว่างการศึกษาแผนการลงทุนก่อตั้งนิคม
อุตสาหกรรมในประเทศแถบอาเซียน เนื่องจากยังมีศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจที่ดีมาก
โดยเฉพาะในแง่ของการขยายตัวของอุตสาหกรรมต่างๆ แต่ยังไม่ได้เร่งสรุปในเร็วๆนี้ เพราะต้อง
พิจารณาถึงจังหวะในการลงทุนเป็นสำคัญ
'ตอนนี้ก็ยอมรับว่ากำลังศึกษาลู่ทางในการที่จะเข้าลงทุนก่อตั้งนิคมฯในประเทศแถบอา
เซียน แต่ยังตอบไม่ได้ว่าจะเข้าไปลงทุนในประเทศใด เพราะต้องขึ้นอยู่กับจังหวะในการลงทุน ซึ่ง
ธุรกิจนิคมฯ เป็นธุรกิจที่เราคุ้นเคยและการลงทุนในอาเซียนก็เป็นสิ่งที่คุ้นเคยอยู่แล้ว' นางสาว
อมรา กล่าว
ด้านยอดขายที่ดินปีนี้ ตั้งไว้ที่ 1.5 พันไร่ ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายยอดขายที่ดินในช่วง 2 ปี
(2555-2556) อยู่ที่ 3 พันไร่ ซึ่งขณะนี้ก็ได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนที่เข้ามาใช้ฐานการ
ผลิตในไทย
ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้ตั้งงบลงทุนปีนี้ 3 พันล้านบาท แบ่งเป็น งบลงทุนพัฒนาที่ดินในนิคมฯ จังหวัด
ปราจีนบุรี 2 พันล้านบาท หลังก่อนหน้านี้บริษัทฮอนด้า ได้เข้ามาตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ในพื้นที่ดัง
กล่าว ซึ่งแนวโน้มต่อไปอุตสาหกรรมชิ้นส่วนก็จะเข้ามาตั้งโรงงานเพิ่ม เพื่อรองรับการผลิต ขณะที่
นิคมในอำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง ใช้เงินลงทุนราว 1 พันล้านบาท เพื่อเป็นการรองรับลูกค้า
ที่จะมีเพิ่มขึ้นในอนาคต โดยเงินลงทุนจะมาจากการกู้จากสถาบันการเงินสัดส่วนประมาณ 70-
80% ที่เหลือจะนำมาจากกระแสเงินสดของบริษัทฯ

ส้มหล่น HONDA เตรียมตั้งโรงงานในพื้นที่ ROJNA กว่า 1.6 พันไร่
ทางบล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส ผู้บริหาร บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิต
และจำหน่าย รถยนต์ฮอนด้าในประเทศไทย เผยโรงงานผลิตรถยนต์แห่งใหม่ของฮอนด้า จะตั้งอยู่
ใน พื้นที่ ของบมจ.สวนอุตสาหกรรมโรจนะ ที่จังหวัดปราจีนบุรี มีพื้นที่ราว 1.6 พันไร่ เบื้องต้นมี
มูลค่า 17,150 ล้านบาท มีกำลังการผลิต 1.2 แสนคันต่อปี กำหนดเปิดเดินสายการผลิตในปี 58
พร้อมขยายกำลังการผลิตที่โรงงานอยุธยา
ทั้งนี้นักลงทุนอาจเข้าใจว่านิคมฯที่ขายให้ HONDA 1,600 ไร่ เป็นยอดขายปีนี้ แต่ใน
ความเป็นจริงบริษัทได้ขายไปแล้วตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่ HONDA เพิ่งประกาศ รวมยอดขายปีที่แล้ว
ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 2,850 ไร่ เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจากปี 54 ที่ขายได้ 400 ไร่
ซึ่งเป็นระดับปกติของบริษัท อาจกล่าวได้ว่ายอดขายปี 55 สูสีกับอันดับ 1 คือ AMATA ที่ขายได้
2,800 ไร่ในปี 55 เพราะตั้งแต่บริษัทขยายทำเลนิคมฯในเขตน้ำไม่ท่วมคือ ระยอง และ
ปราจีนบุรี ก็ทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ สิ่งที่ต้องติดตามต่อมาคือ
1) นิคมฯที่ HONDA ซื้อ นั้นมีขนาดใหญ่มาก จะสามารถโอนกรรมสิทธิ์หรือเป็นรายได้
ในปีนี้ทันหรือไม่ แต่จากการสอบถามบริษัท คาดว่าจะรับรู้รายได้ตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไปในระยะเวลา
2-3 ปีข้างหน้า อันเป็นไปตามความคืบหน้าการก่อสร้างสาธารณูปโภค และดำเนินการด้าน
เอกสารกับทางการ จึงมีส่วนทำให้ผลการดำเนินงานออกมาดีในอนาคต 2) เมื่อมีค่ายยานยนต์ไป
ตั้งโรงงาน ก็จะมี Suppliers ที่ทำชิ้นส่วนยานยนต์ตามมาซื้อนิคมฯจาก ROJNA อีกมาก
คำแนะนำ ซื้อเพราะเห็นว่าปัจจุบัน ROJNA เป็นผู้นำตลาดนิคมฯปราจีนบุรีที่ใหญ่ที่สุดใน
ไทย ปัจจุบันมีที่ดินในมือประมาณ 2,200 ไร่ อนาคตจะขยายเป็น 7,000 ไร่ ราคาพื้นฐานเป็น
15.60 บาท ซึ่งประเมินด้วย P/E ปี 56 ที่ 14 เท่า และรวมประมาณการกำไรแฝงจากที่ดินเปล่า
ที่สุขุมวิทและรัตนาธิเบศร์ ราคาปิดมีส่วนเพิ่มได้อีก 18% ส่วนคาดการณ์อัตราผลตอบแทนปันผล
ปี 56 น่าพอใจเป็น 2.9% คาดว่ากำไรหลักในปี 56 จะสูงสุดเป็นประวัติการณ์ตั้งแต่จัดตั้งบริษัท
มาที่ 1.7 พันล้านบาท เทียบกับปี 55 ที่มีกำไรหลักเพียง 122 ล้านบาท ซึ่งได้รับผลกระทบทาง
ลบจากน้ำท่วมปี 54

ลุ้นกำไรปี 56 โต 22% แตะ 1,568 ลบ.
บล.ฟินันเซียไซรัส เปิดเผยว่า ROJNA ฝ่ายวิเคราะห์ได้ปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น
15.80 บาท จาก 12.90 บาท จากการปรับประมาณการกำไรปกติปี 2556 ขึ้น 22% เป็น
1,568 ล้านบาท (+30% Y-Y) เพราะบริษัททำยอดขายปีก่อน (2.85 พันไร่) ได้ดีกว่าเป้า (1.7
พันไร่) จึงส่งผลต่อการรับรู้รายได้ที่มากขึ้นในปีนี้ ขณะที่ปีนี้ตั้งเป้าขายไม่ต่ำกว่า 1.5 พันไร่ (ฝ่าย
วิเคราะห์คาด 1.3 พันไร่) สำหรับกำไรในไตรมาส 4/2555 คาด -53% Q-Q หลังโอนที่ดินไป
มากแล้วในช่วง 9M55 แต่ดีขึ้นมาก Y-Y เพราะ ไตรมาส 4/2554 ถูกกระทบจากน้ำท่วม ยังคง
แนะนำซื้อ

เตรียมจ่ายปันผล 0.50 บาท/หุ้น
ทางบล.เคจีไอ ได้แนะนำซื้อ ROJNA โดยให้ราคาเป้าหมายใหม่ที่ 15.30 บาท เนื่อง
จากราคาหุ้นที่ปรับเพิ่มขึ้นมานี้ยังไม่สะท้อนแนวโน้มที่ดีขึ้นทั้งหมด เนื่องจากยอดขายที่ดินที่แข็ง
แกร่งในปี 2555 และแรงส่งที่ต่อเนื่องในปี 2556 รวมไปถึงโรงไฟฟ้าของบริษัทที่คาดว่าจะกลับ
มาเปิดดำเนินการตามปกติได้ในครึ่งแรกของปีนี้ ทั้งนี้เราได้ปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี
2556 ขึ้นอีก 20% เป็น 1.72 หมื่นล้านบาท โดยเราคาดว่า ROJNA จะจ่ายเงินปันผล 0.50 ต่อ
หุ้นหรือคิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ 3.9% ในปีนี้ ในขณะที่เราคาดว่ากำไรสุทธิใน
ไตรมาสที่ 4/55 จะอยู่ที่ 167 ล้านบาท ลดลง 50.2%QoQ จากยอดโอนที่ดินที่ลดลงในไตรมาส
นี้แต่พลิกกลับเป็นกำไรจากที่ขาดทุนสุทธิ 1.2 พันล้านบาทในไตรมาสที่ 4/54
ROJNA เปิดเผยว่ายอดขายที่ดินในปี 2555 อยู่ที่ประมาณ 2,850 ไร่ ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่าง
มากจาก 416 ไร่ในปี 2554 ซึ่งเป็นผลมาจาก 1) อุปสงค์ที่ดินที่แข็งแกร่งต่อที่ดินในนิคมฯ แห่ง
ใหม่ที่ระยองและปราจีนบุรี 2) อุปสงค์ที่ดินที่ฟื้นตัวของนิคมฯ ที่อยุธยาหลังจากที่ความเชื่อมั่น
ของนักลงทุนเริ่มกลับคืนมา ในปี 2556 บริษัทตั้งเป้ายอดขายที่ดินเอาไว้ที่ 1,000 ไร่ จากอุป
สงค์ที่ของที่ดินที่แข็งแกร่งจากนักลงทุนชาวญี่ปุ่น และอุปสงค์จากสร้างโรงไฟฟ้า SPP และ
โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์
ทั้งนี้คาดว่ากำไรสุทธิของ ROJNA ในไตรมาสที่ 4/55 จะลดลง QoQ แต่พลิกกลับเป็น
กำไรจากที่ขาดทุนสุทธิในไตรมาสที่ 4/54 โดยเราคาดว่า ROJNA จะรับรู้รายได้จาก backlog
ประมาณ 80-100 ไร่ในไตรมาสนี้ และคาดว่าบริษัทจะมีกำไรสุทธิ 167 ล้านบาท ลดลง 50.2%
QoQ แต่พลิกเป็นกำไรจากที่ขาดทุนสุทธิ 1.2 พันล้านบาทในไตรมาสที่ 4/54 ทั้งนี้เราได้รวม
กำไรพิเศษจากการขายสินทรัพย์ของ TICON ในไตรมาสที่ 4/55 เอาไว้ในประมาณการแล้ว
สำหรับกำไรสุทธิในปี 2555 คาดว่าจะอยู่ที่ 1.2 พันล้านบาท จากที่ขาดทุนสุทธิ 554 ล้านบาทใน
ปี 2554
ROJNA ได้ขาย “RDP Property Development Co.,Ltd” ซึ่งเป็นบริษัทลูกใน
ประเทศจีนออกไปที่ราคา 32 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 974 ล้านบาท
โดยเราคาดว่าบริษัทจะรับรู้กำไรจากการขายบริษัทลูกแห่งนี้ประมาณ 200 ล้านบาทในไตรมาสที่
1/56
อย่างไรก็ตามได้ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2555 เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 1.5% เป็น 1.2 พัน
ล้านบาท และปรับเพิ่มประมาณการปี 2556 ขึ้น 20% เป็น 1.7 พันล้านบาท จากการที่บริษัทตั้ง
เป้าหมายยอดขายที่ดินใหม่ไว้ที่ระดับสูง และการที่โรงไฟฟ้าของบริษัทจะกลับมาเปิดดำเนินการ
ตามปกติ ซึ่งทำให้เราปรับสมมติฐานยอดขายที่ดินปี 2555 ขึ้นจาก 1,500 ไร่ เป็น 2,850 ไร่
และปรับสมมติฐานปี 2556 ขึ้นจาก 1,000 ไร่ เป็น 1,300 ไร่



ที่มา อีไฟแนนซ์ไทย วันที่ 12/02/13
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่